Heading Tag คืออะไร ? ทริคง่ายๆ ช่วยทำให้ติดอันดับง่ายขึ้น

Heading Tag

การทำเว็บไซต์ให้ดี นั้นต้องมาจากการที่ตัวเว็บมีโครงสร้างที่ดี เพื่อที่จะทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจ และเข้าใช้งานอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญในการทำเว็บไซต์นอกจากการดูคีย์จาก แบรนด์คู่แข่ง นั่นก็คือ การใส่ Heading Tag เข้าไปในเนื้อหาของหน้าเพจด้วย เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์นั้นมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญก็ยังช่วยทำให้มีโอกาสติดอันดับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

Heading Tag คืออะไร มีความสำคัญยังไง ?

Heading Tag หรือ HTML Tag นั้นคือสิ่งที่จะกำหนดหัวข้อต่างๆภายในหน้าเพจนั้น เพื่อที่จะทำให้ทุกท่านเข้าใจได้ว่าอันไหนคือ หัวข้อหลัก หัวข้อย่อย ซึ่งปัจจุบันหัวข้อให้เลือกตั้งแต่ H1 จนถึง H6 โดยแต่ละหัวข้อเองก็จะมีความสำคัญที่แตกต่างกันออกไปด้วย และวันนี้เราก็จะมาบอกให้กับทุกท่านได้เข้าใจกันว่า heading คือ และในแต่ละหัวข้อนั้นมีความหมายว่าอะไรบ้าง

Heading Tag คืออะไร
  • H1 หัวข้อหลัก

ในส่วนของ H1 นั้นคือส่วนที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากจะบอกถึงหัวข้อหลักของหน้าเพจนั้น ว่าเกี่ยวกับอะไร ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO เลยทีเดียว และที่สำคัญจะมี H1 ได้เพียงแค่ 1 อันต่อหนึ่งหน้าเพจเท่านั้นด้วย

  • H2 หัวข้อรอง

เป็นหัวข้อที่หมายถึง บทต่างๆ ภายในเว็บไซต์ ซึ่งสามารถที่จะมีหลายหัวข้อภายในเว็บเดียวได้ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ใช้งานรู้ว่าบทความที่กำลังอ่านอยู่ในส่วนไหนนั่นเอง

  • H3 – H6 หัวข้อย่อย

เป็นหัวข้อย่อย ที่จะอยู่ต่อจาก H2 ลงไปอีก ซึ่งจะหมายถึงเนื้อหาต่างๆภายในบทนั้นๆ โดยในส่วนนี้อาจจะใส่เพียงแค่ H3 – H4 หรืออาจจะไม่ใส่เลยก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่แนะนำให้ใส่ข้ามลำดับ เพราะควรที่จะเรียงกันเป็น H1 > H2 > H3 > H4 ตามหลัก search engine optimization

ตัวอย่างการใช้ การเขียนหัวข้อที่ถูกต้อง

ลองมาดูตัวอย่างจากเว็บไซต์ข่าวชื่อดัง เพื่อเข้าใจภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า หัวข้อ หัวเรื่อง ช่วยจัดระเบียบข้อมูลได้อย่างไร

  • H1: วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ส่งผลกระทบหลายจังหวัด
  • H2: สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
  • H3: พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก
  • H3: มาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน
  • H2: แนวโน้มสภาพอากาศในช่วง 7 วันข้างหน้า
  • H3: การพยากรณ์ปริมาณน้ำฝน
  • H3: การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานรัฐ

จะเห็นได้ว่าการจัดลำดับหัวข้อด้วย H1, H2, และ H3 ช่วยให้บทความดูมีโครงสร้างชัดเจน ผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพรวมของเนื้อหาได้ทันที และเลือกอ่านเฉพาะส่วนที่สนใจได้อย่างสะดวก

ประเภทของ Heading Tag และบทบาทของแต่ละระดับ

ส่วนหัวข้อ ถูกแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ H1 ถึง H6 โดยแต่ละระดับจะมีหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • H1: หัวข้อหลักที่สุดของหน้า เป็นชื่อเรื่องใหญ่ที่สรุปเนื้อหาทั้งหมด ควรมีเพียง 1 แท็กต่อหน้าเท่านั้น
  • H2: ใช้สำหรับหัวข้อหลักย่อย เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ หรือหมวดสำคัญ
  • H3: เป็นหัวข้อย่อยภายใต้ H2 เพื่ออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม
  • H4: ใช้ขยายความหัวข้อภายใต้ H3 อีกที
  • H5: รายละเอียดในระดับลึกกว่านั้น ใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น
  • H6: หัวข้อย่อยที่สุด มักใช้ในเนื้อหาที่ซับซ้อนมาก ๆ

ในทางปฏิบัติ เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะใช้เพียง H1 ถึง H4 ก็เพียงพอแล้ว เพราะการใช้ Heading ที่ลึกเกินไป (ถึง H5 หรือ H6) มักทำให้โครงสร้างซับซ้อน และอาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกสับสน

เทคนิคการตั้ง หัวข้อ ให้ถูกหลัก seo

แน่นอนว่าปกติแล้วหลายท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า การตั้งหัวข้อให้ถูกต้องนั้นต้องทำยังไงบ้าง และส่วนใหญ่ก็จะวางกันแบบไม่ได้คิดอะไร ทำให้ผิดหลักของการตั้งหัวข้อ ซึ่งในวันนี้เราก็จะมาแนะนำเทคนิคการจัดวางให้กับทุกท่านได้รู้จักกัน เพื่อที่จะทำให้เว็บมีโอกาสติดอันดับมากขึ้นกว่าเดิม โดยจะแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อหลักๆดังนี้

1. การวางโครงสร้างหน้าเพจ

ปกติแล้วการวางโครงสร้างหน้าเพจ นั้นจะถูกจัดวางให้เรียงต่อๆกัน และถ้าหากเรากำลังจะเริ่มทำหน้าเพจใหม่ก็ให้เราวางแผนการวางหัวข้อเอาไว้ก่อนได้เลย ว่าจะมีหัวข้ออะไรบ้าง และควรอยู่ในตำแหน่งไหนบ้าง โดยจะยกตัวอย่างจากการขายเสื้อผ้าดังนี้

  • H1 = เว็บขาย เสื้อผ้า เครื่องประดับแฟชั่น นำเข้า
  • H2 = เสื้อผ้า
    • H3 = เสื้อผ้าผู้ชาย
    • H3 = เสื้อผ้าผู้หญิง
  • H2 = เครื่องประดับแฟชั่น
    • H3 = เครื่องประดับผู้ชาย
    • H3 = เครื่องประดับผู้หญิง

**สามารถที่จะใช้แอพส่วนขยาย SEO META in 1 CLICK ในการช่วยเช็คการจัดวางของแต่ละเว็บไซต์ได้ โดยเป็นส่วนขยายที่สามารถโหลดมาใช้งานได้ฟรีๆผ่านบราวเซอร์ Chrome หรือ Brave

2. ใส่ Keyword ลงไปในหัวข้อ

Heading Tag keyword

การที่เราใส่คีย์เวิร์ดลงไปในหัวข้อ นั้นจะช่วยทำให้ผู้เข้าใช้รู้ได้ว่า เว็บนี้นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แถมยังช่วยทำให้ กูเกิ้ลบอท นั้นจัดอันดับเว็บไซต์เรา ให้ไปอยู่ในหมวดที่ถูกต้องอีกด้วย โดยปกติแล้วหลายคนนั้นจะใส่คีย์เวิร์ดเอาไว้เฉพาะ หัวข้อหลักเพียงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างไรควรที่จะใส่เอาไว้ใน หัวข้อรองด้วย โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ทุกหัวข้อในเว็บเพจ แต่ก็ควรมีอย่างน้อยอย่างละ 1 จุดในตำแหน่ง หัวข้อหลัก กับ หัวข้อรอง เช่นเดียวกันในตำแหน่งหัวข้อย่อย ก็สามารถใส่ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งการหาคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดนำมาใช้ก็สามารถอ่านได้ที่ วิธีหา keyword

3. ปรับแต่ง Featured Snippets

Heading Tag zero position

เป็นส่วนที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ มีโอกาสขึ้นไปแสดงอยู่ในตำแหน่ง Zero Position ที่เรียกได้ว่าอยู่สูงกว่าอันดับ 1 ซึ่งจากวิเคราะห์ก็เชื่อว่ามาจากการ ปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์ ใส่หัวข้อหลักๆให้ครบถ้วน โดยเฉพาะการใส่อันดับความสำคัญของแต่ละประเภทอย่างละเอียด แน่นอนว่าการอยู่ในตำแหน่งนี้ก็จะช่วยทำให้ผู้ใช้งานเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

ทำไม Heading Tag ถึงสำคัญต่อทั้ง SEO และผู้อ่าน

  1. ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้ดีขึ้น การใช้ Heading อย่างเป็นระบบช่วยให้บอทของ Google มองเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาแต่ละส่วนได้ชัดเจน
  2. เพิ่มความน่าอ่านของบทความ ผู้อ่านสามารถสแกนเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เหมาะกับยุคที่คนอ่านชอบ “อ่านแบบเร็ว ๆ แต่เข้าใจครบ”
  3. สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี (UX) เว็บไซต์ที่จัดโครงสร้างเนื้อหาชัดเจน จะทำให้ผู้ใช้อยู่บนหน้าเว็บนานขึ้น และมีแนวโน้มกลับมาอ่านซ้ำ

Heading Tag ไม่ใช่แค่โค้ดธรรมดาในเว็บไซต์ แต่มันคือ เครื่องมือสำคัญที่ทำให้เนื้อหามีชีวิตและเป็นระบบ เมื่อคุณใช้ H1 ถึง H4 อย่างถูกต้อง เนื้อหาของคุณจะไม่เพียงแค่น่าอ่าน แต่ยังมีพลังในการผลักดัน SEO ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่งอีกด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว โครงสร้างที่ดี คือรากฐานของเนื้อหาที่แข็งแรง

Seoguru closing

ทั้งนี้ถ้าหากใครที่กำลังเริ่มทำหน้าเพจ หรือหน้าเพจของตัวเอง ยังมีการจัดวางหัวข้อที่ไม่ถูกหลัก ก็สามารถจัดตามบทความนี้ได้เลย บอกเลยว่าเว็บของท่านจะมีผู้เข้าใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม แถมยังมีการจัดอันดับเว็บที่ดีขึ้นอีกด้วย เพราะว่าเป็นการจัดอันดับแบบถูกหลัก Heading Tag เลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากใครยังไม่มั่นใจว่าจะจัดวางได้ถูกต้องหรือเปล่า ก็สามารถที่จะมาจ้างทีมงาน seoguro ให้ทำอันดับเว็บไซต์ได้เลย บอกเลยว่าทุกท่านจะไม่ผิดหวังที่เลือกใช้บริการกับทางเว็บเราแน่นอน