SERPs คือหน้าผลการค้นหาของ Google ที่แสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาของผู้ใช้ SERPs มักจะประกอบด้วยผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (organic search results), ผลการค้นหาจาก Google Ads ที่จ่ายเงิน (paid Google Ads results), Featured Snippets, Knowledge Graphs และผลการค้นหาแบบวิดีโอ (video results)
โดยสรุปก็คือ
เมื่อคุณพิมพ์ (หรือพูด) อะไรบางอย่างใน Google และ SERPs คือสิ่งที่คุณได้รับกลับมา
แม้ว่า Google มีคุณสมบัติ SERP หลายสิบอย่างที่ปรากฏบนหน้าแรก แต่สองหมวดหมู่ที่สำคัญที่สุด คือ ผลลัพธ์ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น และ ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์ที่จ่ายเงินมาจากผู้ลงโฆษณาที่เสนอราคาสำหรับคีย์เวิร์ดผ่าน Google Ads
แม้ว่า Google Ads จะคำนึงถึงความเกี่ยวข้องของโฆษณา แต่การวางตำแหน่งโฆษณาส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับว่าใครจ่ายค่าโฆษณาสูงที่สุด
ผลการค้นหาแบบธรรมชาติคือตำแหน่ง ซึ่งถูกกำหนดโดยอัลกอริทึมของ Google ให้เป็นผลลัพธ์โดยรวมที่ดีที่สุดและเกี่ยวข้องที่สุดสำหรับการค้นหา
SERPs สำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร?
SERPs กำหนดว่าเว็บไซต์ของคุณจะปรากฏบนหน้าแรกของ Google อย่างไร
ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณบนหน้าแรกของ Google สำหรับคำหลัก “วิธีเริ่มต้นเว็บไซต์”
จนกระทั่งคุณเห็นว่าฟีเจอร์ต่าง ๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERP) ดันผลลัพธ์อันดับ 1 ลงไปอยู่ต่ำกว่าหน้าจอที่เห็นโดยไม่ต้องเลื่อน
แม้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะติดหน้าแรกของผลการค้นหาแล้ว แต่ก็ยังอาจมีจำนวนคลิกน้อย
ในทางกลับกัน หน้าผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดคำว่า “link building” อาจมีคู่แข่งน้อยกว่าคีย์หลักคำอื่นๆ ทำให้โอกาสในการติดอันดับสูงขึ้น
เมื่อหน้าผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ด “link building” มีเพียง 10 อันดับ ซึ่งเป็นผลการค้นหาแบบธรรมชาติทั้งหมด นั่นหมายความว่าเว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะได้รับคลิกสูง เนื่องจากมีคู่แข่งน้อยกว่าคำอื่นๆ
การประเมิน SERPs ไม่เพียงแค่ดูจำนวนคลิกที่เว็บไซต์ของคุณได้รับ แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น การค้นหาที่ไม่คลิก ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำ SEO
ข้อมูลจาก Sparktoro ชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่ผู้ใช้ Google จะได้รับคำตอบหรือข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของตนเองโดยตรงจาก Google โดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ใดๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการค้นหาแบบ “no-click”
เมื่อ Google สามารถแสดงข้อมูลที่ตรงกับคำถามของผู้ใช้ผ่าน Featured Snippets หรือคุณสมบัติ SERP อื่นๆ ผู้ใช้มักจะไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ใดๆ ทำให้เกิดการค้นหาที่ไม่คลิก
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณค้นหา when did Google Strat ( Google เกิดขึ้นเมื่อไหร่)
เมื่อ Google สามารถตอบคำถามของคุณได้โดยตรงบนหน้าผลการค้นหา (เช่นผ่าน Featured Snippets) คุณอาจไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ใดๆ เนื่องจากคุณได้คำตอบที่คุณต้องการแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่คุณต้องกำหนดเป้าหมายคีเวิร์ดที่ไม่มีคุณสมบัติ SERP มากเท่าไหร่นัก ซึ่งมันอาจจะทำให้คุณมีความโดดเด่นมากกว่าคนอื่น
องค์ประกอบทั่วไปของ Google SERP
ผลการค้นหาแบบธรรมชาติ
ผลการค้นหาแบบธรรมชาติถูกกำหนดโดยอัลกอริทึมที่ซับซ้อนของ Google (ซึ่งมีการจัดอันดับมากกว่า 200 รายการ)
Google ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของอัลกอริทึมที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ แต่ได้เปิดเผยบางส่วนของปัจจัยที่สำคัญในการจัดอันดับ
- Off-page SEO signals ( จำนวน backlinks ที่กลับมายังเว็บไซต์)
- On-page SEO signals (คีย์เวิร์ดหลักที่ใช้บนหน้าเพจของคุณ)
- ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed)
- การนำเสนอความน่าเชื่อถือของแบรนด์
ผลการค้นหาแบบธรรมดาที่เป็นมาตรฐานจะประกอบด้วย
- Page Title: หัวข้อของหน้าเว็บ
- Page URL: ที่อยู่เว็บไซต์
- Meta description: คำอธิบายสั้น ๆ ของหน้าเว็บ
Google มักจะเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับผลการค้นหาแบบธรรมดา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น หาก Google คิดว่าวันที่เผยแพร่ของหน้าเว็บมีความสำคัญ พวกเขาจะแสดงวันที่นั้น
การแสดงลิงก์ย่อยเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ Google ใช้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และอาจช่วยเพิ่มอัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์
ลิงก์ย่อยเป็นลิงก์ที่ปรากฏใต้ผลการค้นหาหลัก ซึ่งเชื่อมโยงไปยังหน้าย่อยภายในเว็บไซต์หรือหน้าเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบนเว็บไซต์เดียวกัน
เมื่อคุณใช้ Schema บนหน้าเว็บของคุณ Google จะสามารถเข้าใจข้อมูลบนหน้าเว็บได้ดีขึ้น และอาจเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ดาวรีวิว รูปภาพ หรือข้อมูลเหตุการณ์ให้กับผลการค้นหาของหน้าเว็บของคุณ
ผลการค้นหาแบบมีค่าใช้จ่าย (การยิงแอด)
ผลการค้นหาแบบมีค่าใช้จ่าย หรือ การยิงแอด จะมีไอคอน “Ad” ขนาดเล็กที่มุมบนซ้ายของส่วนของผลการค้นหา
ข้อมูลจาก Rank Ranger แสดงให้เห็นว่าบนหน้าแรกของผลการค้นหา มีโอกาสสูงถึง 51.61% ที่จะพบโฆษณา
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีโฆษณาปรากฏบนหน้าผลการค้นหา โดยเฉลี่ยแล้วจะมีโฆษณาประมาณ 3.10 รายการต่อหน้า
เมื่อมีคำค้นหาที่มีการแข่งขันสูงและจ่ายค่ายิงแอดสูง Google อาจเพิ่มโฆษณาที่ด้านล่างของหน้าผลการค้นหา นอกจากตำแหน่งโฆษณาที่ด้านบนหรือด้านข้างที่มีอยู่แล้ว
เนื่องจากโฆษณาปรากฏที่ด้านบนและด้านล่างของหน้า โฆษณาเหล่านั้นอาจทำให้มองไม่เห็นผลการค้นหาแบบธรรมชาติ
ถึงแม้ว่าเราจะไม่แนะนำให้ทำ คีย์เวิร์ดที่มีการยิงโฆษณาสูง เพราะโฆษณาเหล่านั้น อาจทำให้ผลลัพธ์ของการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณไม่ดีนัก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่า มีคนสนใจคีย์เวิร์ดเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก
ทาง Seo Guru มักจะเลือกใช้คำหลักที่มีการแข่งขันสูงและมีโฆษณาจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าแม้จะได้รับคลิกน้อยลง แต่คลิกเหล่านั้นจะมีคุณค่ามากกว่า
Featured Snippets
Featured Snippets เป็นเครื่องมือในการเพิ่มการมองเห็นและดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
ตัวอย่าง
ข้อมูลจาก Ahrefs แสดงให้เห็นว่ามีโอกาส 12% ที่ผลการค้นหาจะมี Featured Snippets ปรากฏอยู่
Featured Snippets แบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่
- FAQ : ย่อหน้าสั้น ๆ ในการตอบคำถามประเภท “คืออะไร” และ “คือใคร”
- Bulleted List : สำหรับการจัดอันดับและ “Best of” lists (รายการที่ดีที่สุด)
- Numbered List : ใช้กับเนื้อหาที่ให้คำแนะนำทีละขั้นตอนในการทำสิ่งต่างๆ เช่น โครงการ DIY สูตรอาหาร หรืองานต่างๆ
- Tables : การแสดงข้อมูลด้วยภาพของวันที่ ราคา หรือข้อมูลใด ๆ ที่นำเสนอในตาราง เรียกว่า “แผนภูมิ”
แม้ว่าส่วนใหญ่ของ Featured Snippets จะประกอบด้วยข้อความก็ตาม
Google ได้เริ่มเพิ่ม ‘Video Featured Snippets’ ลงในผลการค้นหาแล้ว
เมื่อ Featured Snippets ปรากฏที่ด้านบนของ SERPs ผลการค้นหาแบบธรรมชาติจะเลื่อนลงไปด้านล่างของหน้า ทำให้ผู้ใช้เห็นได้ยากขึ้นและอาจคลิกเข้าไปดูน้อยลง
เนื่องจาก Featured Snippets มักปรากฏอยู่เหนือผลการค้นหาแบบธรรมชาติบนหน้าแรก หลายคนจึงเรียกตำแหน่งนี้ว่า “ตำแหน่งที่ 0” เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีตำแหน่งที่สูงกว่าผลการค้นหาแบบธรรมชาติ
Featured Snippets เป็นโอกาสสำหรับเว็บไซต์ของคุณที่จะได้รับการมองเห็นและการคลิกมากขึ้น เนื่องจากจะปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหาและให้ข้อมูลที่ตรงประเด็นกับคำถามของผู้ใช้
และเมื่อเนื้อหาของคุณปรากฏใน Featured Snippets คุณอาจพบว่าอัตราการคลิกเข้าชมแบบธรรมชาติของคุณสูงมาก
ตัวอย่าง เช่น
เว็บไซต์ของคุณได้ปรากฏใน Featured Snippets สำหรับคำค้นหาคำว่า “link building tools” ซึ่งหมายความว่าเนื้อหาของคุณได้รับการคัดเลือกให้แสดงในกล่องคำตอบที่เด่นที่สุด
และตามข้อมูลจาก Google Search Console เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่อัตราการคลิกเข้าชม (CTR) ของ Seo Guru อยู่ที่ 8.3%
Direct Answer Box
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า 18% ของผลการค้นหาใน Google จะมี Direct Answer ปรากฏอยู่ ซึ่งเป็นคำตอบที่ตรงกับคำถามของผู้ใช้และไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์เพิ่มเติม
ตัวอย่าง
คำตอบที่ Google ให้ถือว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับ Featured Snippet ที่ไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาหรือลิงก์ไปยังคำตอบ
Knowledge Graph and Knowledge Panel
Knowledge Graphs และ Knowledge Panels มักจะปรากฏทางด้านขวาของผลการค้นหาแบบธรรมชาติ
Knowledge Graphs และ Knowledge Panels เป็นผลมาจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
Local Packs
Local Packs จะปรากฏสำหรับการค้นหาในพื้นที่นั้นๆ เช่น “ร้านอาหารมีนบุรี” และ “ร้านอาหารใกล้ฉัน”
Google สามารถระบุได้ว่าผู้ใช้ต้องการผลการค้นหาในพื้นที่นั้นๆ แม้ว่าผู้ใช้จะไม่ได้ระบุคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ก็ตาม ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหาคำทั่วไป เช่น “ช่างประปา” Google อาจแสดง Local Packs ที่มีช่างประปาในพื้นที่ของคุณ
Google Image Results
Google จะแสดงผลการค้นหาจาก Google Images สำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับภาพ เช่น คำว่า แมวน่ารัก
Video Resuls
เมื่อคุณค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอ Google มักจะแสดงผลการค้นหาในรูปแบบของแพ็ควิดีโอ 3 อันขึ้นมา
ซึ่งจะเป็นคลิปจากยูทูปถึง 88%
Google อาจพิจารณาคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้ค้นหา เพื่อตัดสินใจว่าควรแสดงวิดีโอในผลการค้นหาหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ค้นหา “วิธีการทาสีโรงรถ” อาจต้องการดูวิดีโอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Google แสดงวิดีโอสำหรับคำค้นหานั้น
People Also Ask
People Also Ask เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ Google มักจะแทรกไว้ตรงกลางของ SERP
เมื่อคุณคลิกที่คำถามใดๆ ในฟีเจอร์ “People Also Ask” Google จะแสดงคำตอบสำหรับคำถามนั้นให้คุณดู
Moz ระบุว่าประมาณ 58% ของผลการค้นหาบน Google จะมีฟีเจอร์ “People Also Ask” ปรากฏอยู่
เคล็ดลับ: ส่วน “People Also Ask” เป็นแหล่งไอเดียสำหรับการทำคอนเท้นที่ยอดเยี่ยม
เมื่อคุณค้นหาคำว่า “keyword research” Google จะแสดงคำถามที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ เช่น “วิธีทำ keyword research” “เครื่องมือ keyword research” เป็นต้น
คำถามที่ปรากฏใน “People Also Ask” เป็นคำถามที่ผู้คนสนใจและต้องการคำตอบ ดังนั้นจึงสามารถนำคำถามเหล่านี้มาใช้เป็นหัวข้อในการสร้างเนื้อหาต่างๆ เช่น บทความบล็อก วิดีโอ หรือพอดแคสต์
(X) Twitter Results
Google สามารถดึงทวีตล่าสุดจากบัญชี Twitter มาแสดงในผลการค้นหา
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหา “SEMrush” จะแสดงบัญชี Twitter ของพวกเขา พร้อมด้วยลิงก์ไปยังทวีต 3 โพสต์ล่าสุด
Top Stories
ลิงก์เหล่านี้เชื่อมโยงไปยังบทความข่าวที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเฉพาะ
Google ใช้อัลกอริทึมเพื่อเลือกข่าวที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้มาแสดงใน Top Stories
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหาคำหลัก “weight loss” (การลดน้ำหนัก) ปริมาณการค้นหาสำหรับคำนี้ค่อนข้างคงที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณค้นหา “Weight Loss” จะมีส่วน Top Stories ปรากฏใน SERPs เสมอ
หมายเหตุ: เว็บไซต์ของคุณจะต้องได้รับการอนุมัติจาก Google News เพื่อเข้าสู่ส่วน Top Stories
Google Shopping Results
เมื่อผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ Google Shopping จะแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นั้น ซึ่งจะประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น รูปภาพ ชื่อ ราคา และรายละเอียด
ตัวอย่าง เช่น
Google Shopping Results ไม่ได้ประกอบด้วยโฆษณาทั้งหมด แต่ยังมีผลการค้นหาแบบธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ปรากฏอยู่ด้วย
Google Shopping Results มักจะปรากฏที่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา ซึ่งอยู่ด้านบนของโฆษณา ทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกจากผู้ใช้สูงกว่า
เรียนรู้เพิ่มเติม
คำศัพท์เกี่ยวกับคุณสมบัติของ SERP : เป็นรายการที่รวบรวมคุณสมบัติต่างๆ ที่ Google ใช้ในหน้าผลการค้นหา (SERP) ในปัจจุบัน
วิธีทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในกล่องตอบคำถามของ Google : วิดีโอที่เป็นประโยชน์จาก Moz เกี่ยวกับการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่ง “อันดับ 0” Featured Snippet
สนใจปรึกษาเกี่ยวกับการทำ SEO แบบมืออาชีพ สามารถติดต่อได้ที่ LINE SEO GURU !!