เทคนิคการทำบทความ Semantic SEO ให้เหมาะกับยุค AI

Semantic SEO

เทคนิคการทำบทความ Semantic SEO หรือ การทำบทความ SEO เพื่อให้เหมาะกับยุคสมัยที่ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ใครๆต่าง็ทราบดีว่า Google เป็นสิ่งที่คนนิยม ที่จะใช้ค้นหาข้อมูลบนออนไลน์มากที่สุด อันดับ 1 ของโลก ซึ่ง Google เองก็ได้นำ AI เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและหาคำตอบที่แม่นยำให้กับผู้ค้นหา หรือ ผู้ใช้งาน ส่งผลให้การทำ Search Engine Optimization (SEO) จะต้องปรับตัวให้มีความสอดคล้องและความนิยมในโลกปัจจุบัน

ซึ่งแนวคิดของ Semantic SEO จึงมีความสำคัญอย่างมากในการทำบทความ SEO เพื่อที่จะให้อันดับเว็บไซต์ขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆได้

สำหรับบทความนี้ Seo Guru จะพามาทำความรู้จักกับ Semantic SEO ว่าคืออะไร ความสำคัญมีอะไรบ้าง และวิธีการที่จะนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเว็บไซต์ของท่าน เพื่อผลลัพธ์ในการทำ SEO ที่ดีขึ้นนั่นเอง

Semantic SEO คืออะไร

Semantic

Semantic SEO คือ กลยุทธ์และวิธีการทำบทความ SEO เพื่อสร้างเนื้อหาให้ออกมาเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ซึง่จะเป็นการวิเคราะห์อย่างละเอียด ว่า ผู้ค้นหา ต้องการอะไร มีหัวข้ออะไรบ้าง และจะต้องนำเสนอหัวข้อตามความต้องการนั้น ได้อย่างครอบคลุม และตรงตามความต้องการมากที่สุด

ตัวอย่างการค้นหา เช่น ค้นหาคีย์เวิร์ดคำว่า “เครื่องสำอางค์ถูกและดี” การทำ Semantic SEO จะไม่ได้แสดงเฉพาะผลลัพธ์ของเครื่องสำอางค์ถูกและดีเท่านั้น จะวิเคราะห์และแสดงผลที่เจาะลึกมากกว่านั้น เช่น แสดงผลเครื่องสำอางที่เหมาะกับสีผิวแบบไหนบ้าง เทคนิคการใช้เครื่องสำอางให้ติดทน และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและคิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ค้นหา

การที่ให้ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและละเอียด จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีในการค้นหาให้กับผู้ใช้งานมากขึ้น จะช่วยเพิ่มโอกาวให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆได้

Semantic SEO กับ Traditional SEO ต่างกันอย่างไร

ทั้ง 2 แบบ มีความแตกต่างกันคือ เป็นแนวคิดของการเขียนเนื้อหาบทความที่แตกต่างกัน

semantic search

การทำ  Traditional SEO คือการสร้างเนื้อหาออกมาแบบเฉพาะเจาะจง โดยเมื่อทราบคีย์เวิร์ดที่จะเขียนแล้ว ก็จะเขียนเนื้อหาของเรื่องนั้นออกมาแบบเจาะจง และมาใส่คีย์เวิร์ดเพิ่ม

แต่การทำ Semantic SEO มีความแตกต่างคือ วิเคราะห์เป้าหมายของผู้ใช้งานจากคีย์เวิร์ดว่ากำลังหาอะไร มีวิธีการอย่างไร รายละเอียดมีอะไรบ้าง หรือ ข้อมูลในสิ่งที่หามีอะไรบ้าง ซึ่งก็คือ การเขียนเนื้อหาอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องลงไปด้วยนั่นเอง

ตัวอย่างความแตกต่างของทั้ง 2 แบบ จากคีย์เวิร์ด “รองพื้นคุมมัน”

Traditional SEO : คือการเขียนโดยใส่คีย์เวิร์ด รองพื้นคุมมัน บนเนื้อหา และ แสดงแบรนด์ของรองพื้น และราคา

Semantic SEO : คือการแสดงเนื้อหาที่ครอบคลุมมากกว่า นอกจากจะแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับ รองพื้นคุมมัน และราคาแล้ว แล้วก็จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆอีก  สถานที่ซื้อ เฉดสี เนื้อรองพื้นเป็นแบบไหน และคุณสมบัติของรองพื้นอันนั้นด้วย

Semantic SEO สำคัญอย่างไรบ้าง

เทคนิค seo

1. ทำให้เว็บเป็น Expert Website

การทำ Semantic SEO ส่งผลให้เว็บไซต์เข้าเกณฑ์เป็น Expert Website หรือเรียกว่าเป็นเว็บที่มีความเชี่ยวชาญ ของเนื้อหาหรือหัวข้อที่จะเขียน เพื่อที่จะให้เว็บไปปรากฏเป็นอันดับต้นๆ ของการค้นหา จะทำให้ Organic Traffic เพิ่มขึ้น

สาเหตุที่ทำให้ Google จัดอันดับให้ Expert Website ไปอยู่ในอันดับต้นๆ เพราะ เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาครอบคลุม มีประโยชน์ และละเอียด เว็บที่มีคุณสมบัติเหล่านี้จะสร้างความไว้วางใจ และมีความน่าเชื่อถือ

2. สอดคล้องกับ Google Algorithmic

ปัจจุบัน สอดคล้องกับ Google Algorithmic สามารถเข้าใจ Google ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจับคู่ Keyword แล้วนำมาโชว์บนผลการค้นหาเท่านั้น แต่ใช้วิธีวิเคราะห์ บริบท และความหมาย ของผู้ใช้ เพื่อมีเป้าหมายให้เสนอข้อมูลตรงกับการค้นหาของผู้ใช้งานมากที่สุด

เพราะฉะนั้นเนื้อหาแบบ Semantic SEO จึงสอดคล้องกับ Google Algorithmic เพราะมีเนื้อหาที่มีความละเอียดและครบถ้วน จึงมีโอกาสที่จะติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหา

3. สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้เว็บ

การที่เว็บไซต์มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้จริง จะสร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เช่น เมื่อผู้ใช้งานค้นหา แล้วอ่านเนื้อหาครบถ้วน จะทำให้ค่า Time Per Session หรือ เวลาการเข้าชมหน้าเว็บมีสูง หรือมีส่วนร่วมในการคลิกปุ่มต่างๆ หรือ หัวข้อต่างๆ ทำให้เกิดการ Conversion

ซึ่งการมีส่วนร่วมต่างๆ ของผู้ใช้งาน คือ หนึ่งในเหตุผลที่ Ranking Factor ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ยิ่งผู้ใช้งานมีปฎิสัมพันธ์กับเนื้อหานั้นมากเท่าไหร่ อันดับก็ยิ่งจะดีมากเท่านั้น

Google Knowledge Graph กับ Semantic SEO เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

Google Knowledge Graph

Google Knowledge Graph คือ อะไร วันนี้ลองมาทำความเข้าใจกับเรื่องนี้เพื่อที่จะทำให้เข้าใจในเรื่องของการทำ Semantic SEO ให้มากขึ้น ถ้าหากคุณเคยสงสัยว่า Google ใช้เครื่องมืออะไรทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใช้กำลังต้องการค้นหา คำตอบก็คือ Google Knowledge Graph นั่นเอง

Google Knowledge Graph เป็นเหมือนฐานข้อมูลของ Google ที่ถูกมาทำความเข้าใจในการค้นหาว่ามันคืออะไร โดยจะประกอบด้วยข้อมูล 2 ชนิด คือ

Entities

มีลักษณะดังนี้

1. สิ่งต่างๆ เป็นคำนิยาม หรือ คำเฉพาะตัวอย่างเช่น

  • บุคคล : บารัค โอบามา, ณเดช คุกิมิยะ
  • สถานที่ : ปารีส , กรุงเทพฯ
  • สิ่งของ : จักรยาน , โทรศัพท์
  • เหตุการณ์ : งานสงกรานต์ , งานปีใหม่

2. ในแง่ประโยชน์ มีลักษณะเป็นคำนาม เช่น

  • บารัค โอบามา นายกรัฐมนตรี
  • ปารีส คือเมืองหลวงของฝรั่งเศส
  • เราดื่ม กาแฟในตอนเช้า

Relationships

มีลักษณะดังนี้

  • อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Entities) พัฒนา (Relationships) ทฤษฎีสัมพันธภาพ (Entities)
  • ปารีส (Entities) ตั้งอยู่  (Relationships)  ฝรั่งเศส (Entities)
  • กาแฟ (Entities) ทำมาจาก (Relationships)  เมล็ดกาแฟ (Entities)

ตัวอย่าง Google Knowledge Graph

ยกตัวอย่าง  Entities , Relationships ของ Google Knowledge Graph ดังรูปข้างล่าง โดยวงกลมอักษรพื้นหลัง = Entities

pyIROPyefaWpI9Njvrz T1qibYTc20bPesOfly8MfLg51CZA8FaJaWOWMjN wioCC0iDc OMTlBRrkpdMyvhD64zqHVU qPUZ2NK vrw2GWK9zXJNqP qHOSzfC99hRz5qcfKxP Hnh

จากตัวอย่าง เมื่อคนค้นหาเกี่ยวกับ Han solo  Knowledge Graph จะวิเคราะห์ Entities , Relationships เพื่อทำความเข้าใจคำถามและค้นหาคำตอบตามรูปข้างล่าง

6mY1Q8xEuwF0j80OX0sfcWnOdL9oAHbsHj5nVIh8e nFOOD1hcpyl3MHn37Nhup6zsQmGMH3SbvYrunChYrfns
TgudsYNlGqcmiLjzgAYK dlxvjt8YJJh0QssFdsnRzWbutQsOE9JxYxoypaxUrDlsCkHnl3GvlP 5slWG8cidDttg1HiUU9CvjiYZj9uJwk3wOoSB31YEpojOQgcSwER2QSqA0bKtWoW

ประเด็นสำคัญคือ เมื่อลองคิดดูว่า หาก Entities อย่าง “Han Solo” มีความสัมพันธ์ (Relationships) กับ Entities อื่นๆ เป็นจำนวนมาก นั่นหมายถึง Knowledge Graph จะเข้าใจและทราบข้อมูลเกี่ยวกับ “Han Solo” อย่างละเอียด แม้ว่าผู้ใช้งานจะค้นหาคีย์เวิร์ดนี้โดยตรงหรือไม่ Google ก็จะยังแสดงคำตอบมาให้ครอบคลุมได้เหมือนเดิม

การใช้ Google Knowledge Graph ทำ SEO

การกำหนดหรือการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด จะต้องหาข้อมูลและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดนั้น ว่ามีอะไรบ้าง และวางแผนหัวข้อขึ้นมา ดังตัวอย่างด้านล่าง

image

จากนั้นจึงเขียนบทความเกี่ยวกับบทความนั้น ออกมาอย่างเจาะลึก สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ Google จะเข้าใจว่าเว็บดังกล่าวมีความเชี่ยวชาญ และมีความ Expert  รู้จริงเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ เพราะในเนื้อหามีข้อมูลเชิงลึก ครอบคลุม และมีประโยชน์

โดยเว็บที่มีลักษณะเป็น Expert ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์ E-E-A-T Google จะมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ และมีโอกาสที่จะติดอันดับต้นๆ  โดยจากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับการทำ Semantic SEO ที่จะเพิ่มโอกาสที่เว็บจะติดอันดับต้นๆ ในการค้นหา

วิธีทำ Semantic SEO ให้กับเว็บไซต์

1. สร้าง Topical Map

คือ การสร้างแผนผังเว็บไซต์ หรือ โครงสร้างเว็บไซต์ ว่า จะต้องใช้หัวข้ออะไรบ้าง และแต่ละหัวข้อจะต้องมีความสัมพันธ์กัน ประโยชน์ในการสร้างแผนผังของเว็บไซต์ จะทำให้รู้ว่า จะต้องนำเสนออะไรบ้าง ซึ่งจะส่งผลให้ Google เข้าใจว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ และส่งผลในการทำ SEO อย่างมาก

FjUq0UDaET73aALMgr2gBj

ตัวอย่างในการสร้าง  Topical Map

1. กำหนดหัวข้อ ที่จะเป็นหัวข้อแรกของเนื้อหา เป็น “first Entities of website” 

2. ใช้เครื่องมือค้นหา เพื่อที่จะหาหัวข้อ หรือ คีย์เวิร์ดอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเครื่องมือที่ใช้ มีดังนี้

  • หลักคิด 5W1H
  • Google Suggest
  • People also ask
  • Keyword Research Tool

3. หลักการคิด 5W1H คือ  (What , Who , When , Why , Where, How) เช่น หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด SEO

  • SEO คืออะไร (What)
  • ทำไมต้องทำ SEO (Why)
  • ใครหรือธุรกิจใดควรทำ SEO บ้าง (Who)
  • ควรทำ SEO เมื่อไหร่ (When)
  • ทำ SEO ใช้งบประมาณเท่าใด (How Many)
  • การทำ SEO ต้องทำอะไรบ้าง (How to)

หลักการคิดในข้อนี้ คือ จะทำให้เราได้ไอเดียในการคิด และ มีไอเดียในการหาหัวข้อต่อไป ว่าจะต้องเขียนเกี่ยวกับอะไร

4. Google Suggest & People also ask เป็นอีก 2 เครื่องมือ ที่เราใช้เพื่อหาหัวข้อเกี่ยวข้องได้

Google Suggest คือเครื่องมือที่ช่วยหาคีย์เวิร์ด ที่ผู้ใช้งานนิยมค้นหา วิธีการคือ ให้ใส่คีย์เวิร์ด หรือ หัวข้อที่ต้องการหา จากนั้นดูว่า มีคีย์เวิร์ดคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาบ้าง

crXecXouXqE22WV7dVVBHD5Il74irc2Yq6Lx1iJZKId8vp6jRNW9AuJ0B7BRhbDkEXTtOm0Qq8WX87Nm2u5h C0sr02nq3cXODRsI z5EG54uNueujBrZqte9v9I38WhRIbAZkiTP7LK

ส่วน People also ask ก็คือ คำถามที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้น โดยจะต้องเป็นคำถามที่มีคนถามบ่อยๆ และมีความเชื่อมโยงกับคีย์เวิร์ดนั้น อยู่ในช่อง People also ask

วิธีใช้งาน People also ask ก็จะเหมือนกับการใช้งาน Google Suggest

hFDQoOhdb6RIPenlJ36SueKIgTRMcVOz8jc0rWczaWJyvNm EK84mvbHNNpsafeu1zHpTfuI77YHL7jVEqLGzOMoR2dwbiX5vDajdqMqNftmfXKH2eY8d3J9yfkmY csQVQjjtY82Ucy

5. Keyword Research Tool คือ สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาคีย์เวิร์ดจะมีอีกหลายเครื่องมือ เช่น Google Keyword Planner , Ahrefs , Semrush , Keysearch

ตัวอย่างจากรูปด้านล่าง คือ การใช้ Ahrefs โดยการนำคีย์เวิร์ดหลักที่ต้องการทำ ไปใส่ในช่องค้นหาคีย์เวิร์ด แล้วไปที่ Related Term ผลลัพธ์ที่ได้คือ คำซึ่งเกี่ยวข้องกับ “SEO”

จากนั้นให้ลองวิเคราะห์  ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่สามารถนำมาใช้ได้ และมีความเกี่ยวข้องมากที่สุด

6.รวบรวมข้อมูลในข้อ 3-5 เพื่อมาทำ Topical Map

seo

2. เขียนบทความให้ครอบคลุมหัวข้อที่หามาทั้งหมด

ขั้นตอนนี้คือ การเขียนบทความ ซึ่งจะต้องเขียนให้ครอบคลุมหัวข้อที่หามาทั้งหมด โดยจะมีขั้นตอนการทำ SEO ที่มีวิธีการเขียนดังนี้

ขั้นตอนการเขียนบทความ

1. กำหนดหัวข้อ หรือ ชื่อเรื่อง ที่ต้องการจะเขียน

2. นำหัวข้อนั้นไปค้นหาในเครื่องมือ Google Suggest & People also ask เพื่อดูว่า มีคำแนะนำ หรือ มีคำถามใดบ้างที่สามารถนำมาใช้ในบทความได้ และนำข้อมูลที่ได้ มาเขียนเป็นหัวข้อต่อไปในเนื้อหาเพื่อที่ให้ผู้อ่าน ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ต้องการค้นหาให้ครอบคลุมที่สุด

3. ใส่ Schema Markup

Schema Markup คือ Computer Code ซึ่งถูกใส่ในเว็บไซต์ Code เหล่านี้จะส่งผลให้ Google จะแสดงข้อมูลที่มีประโยชน์ เช่น รีวิว ราคา ลิงก์สินค้า เป็นต้น

ประโยชน์ของ Schema Markup  ในแง่ของ Semantic SEO คือ ทำให้ Google เข้าใจว่า หัวข้อของเว็บไซต์ท่านคืออะไร เช่น หากทำบทความที่เกี่ยวข้องกับ ขาหมู ที่เป็นฮิปโป Schema Markup ช่วย Google เข้าใจได้ว่ากำลังพูดถึงฮิปโป ไม่ใช่ ขาหมู ที่เป็นของกิน

Schema Markup ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ JSON-LD สาเหตุเพราะ

  • Search Engine ยิดนิยมของโลก เช่น Google , Bing , Yahoo
  • สามารถใส่ในเว็บไซต์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการแสดงผลเนื้อหาบนหน้าจอ
  • ปัจจุบัน มีทั้ง Free & Paid Tool ที่ช่วยให้ท่านสร้าง JSON-D Schema Markup ได้อย่างง่ายดาย

สรุป เกี่ยวกับ Semantic SEO

Semantic SEO ก็คือ การทำ SEO ที่มีเนื้อหาที่ครอบคลุม และไม่เฉพาะเจาะจงจนเกินไป ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเนื้อหานั้นมีความเข้าใจความต้องการของผู้ค้นหาว่าต้องการอะไรบ้าง และตอบทุกคำถามที่ผู้ใช้งานสงสัย ซึ่งส่งผลดีต่อการทำอันดับเว็บไซต์โดยการปรับแต่งเว็บไซต์ของตัวเองให้สอดคล้องกับ Semantic SEO นั้น มีประโยชน์และส่งผลต่อการทำอันดับในการทำ SEO ให้มีอันดับดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

การมีเทคนิคในการทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นได้ หากสนใจปรึกษาหรือต้องการทำอันดับ SEO ให้ดีขึ้น ปรึกษาปัญหา SEO ฟรี กับ SEO GURU ได้เลย