URL ที่เหมาะสมกับการทำ SEO คืออะไร ?
คือ URL ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ และช่วยให้เครื่องมือค้นหา (search engines) เข้าใจว่าเว็บเพจนั้นเกี่ยวกับอะไร ซึ่งจะต้องสั้น กระชับ และจะต้องมี คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
ทำไม URL ถึงมีความสำคัญสำหรับ SEO
นอกเหนือจากแท็กชื่อเรื่อง ข้อความที่มีลิงก์เชื่อมโยง และเนื้อหาของหน้าเว็บแล้ว เสิร์ชเอ็นจิ้นยังใช้ URL ของหน้าเว็บเพื่อทำความเข้าใจว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวกับอะไร
จริงๆ แล้ว, URL มีความสำคัญมากถึงขนาดที่คู่มือเริ่มต้น SEO ของ Google ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้
วิธีที่ดีที่สุด มีดังนี้
การใช้คีย์เวิร์ด
URL ของคุณควรมีคำสำคัญ หรือ คีย์เวิร์ด ที่คุณต้องการให้หน้าเว็บของคุณติดอันดับ
(ควรจะเป็นคีย์เวิร์ดหลักเท่านั้น) เพราะเมื่อใส่คีย์เวิร์ดหลักเข้าไป Google จะได้รู้ว่าหน้านี้มีเนื้อหาที่ต้องการสื่อถึงอะไร
จริงๆ แล้ว, Google เองก็ระบุว่า
URL ที่มีคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณจะทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเพิ่มมากขึ้นและตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
ตัวอย่างเช่น นี่คือลิงก์บทความที่รวบรวมเครื่องมือ SEO กว่า 150 ตัว
คีย์เวิร์ดเป้าหมายคือคำว่า “Seo Tools” และคุณจะเห็นว่า มีคำนี้อยู่ในนั้นด้วย
seoguru.one/seo-tools/seo-tools/
การใช้ – (ขีดกลาง) คั่นระหว่างคำ
คุณสามารถใช้ – คั่นระหว่างคำใน URL ได้ ตัวอย่างเช่น URL นี้
https://backlinko.com/seo-site-audit
เราจะใช้ – ระหว่าง 3 คำ คือ “SEO”, “site” และ “audit
การใช้ (-) ระหว่างคำจะทำให้ Google เข้าใจความหมายของคำชัดมากขึ้น แต่จะยากสำหรับผู้ค้นหา การใช้ (-) ใน URL เป็นวิธีการที่ดีที่จะทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์มากขึ้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ Google แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมาย ( _ ) ใน URL ของคุณ และแนะนำให้ใช้ (-) แทน
URL ที่สั้น
ลิงก์จะต้องสั้นและกระชับ เพราะ URL ที่ยาวเกินไปจะทำให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ สับสน
ตัวอย่างเช่น URL นี้มีข้อมูลที่ไม่จำเป็นเยอะมาก ทำให้ยาวเกินไป
จริงๆแล้วหน้านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Baseball แต่ในลิงก์มีคำที่เกี่ยวข้องกับ redirect… และ default
เปรียบเทียบ URL ด้านบน และ ด่านล่าง จะเห็นว่าสั้นกว่ามาก
เพราะ URL นี้สั้นมาก Google จึงสามารถระบุหัวข้อของหน้าเว็บได้ง่าย
นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม URL มีผลต่อการจัดอันดับของ Google
URL สั้นๆ ไม่เพียงแต่ทำให้อันดับเว็บดีขึ้นเท่านั้น แต่การที่ URL ในเว็บไซต์สั้นทุกหน้า จะทำให้ Google เข้าใจเนื้อหาทุกหน้าของเว็บได้ง่ายๆ
การศึกษาของ Brafton พบความสัมพันธ์ระหว่าง URL สั้น ๆ กับการนำไปแชร์บนโซเชียลมีเดีย
การดึงดูดให้น่าคลิกและแชร์
อัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic Click-Through-Rate) เป็นปัจจัยสำคัญมากในการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาในปัจจุบัน และ URL ของคุณเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจว่าผู้คนจะคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาหรือไม่
สุดท้ายแล้ว URL ของเว็บไซต์ จะทำให้คนที่ค้นหารู้ว่าเกี่ยวกับอะไร แต่ถ้าหากว่า URL ขึ้นแบบนี้ ผู้ใช้งานจะไม่รู้เลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร
ซึ่งจะทำให้โอกาสที่จะคลิกลิงก์น้อยลงมาก ซึ่งมันไม่ได้ปรากฎขึ้นในผลการค้นหาเท่านั้น ซึ่ง URL แบบนี้ มีโอกาสที่จะถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียได้น้อยด้วย
หากคุณใช้ คีย์เวิร์ดหลักอยู่ใน URL แค่เพียงคำสั้นๆและกระชับ จะสามารถสร้าง Organic Click ได้เยอะกว่า
ใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมด
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเซิร์ฟเวอร์ในปัจจุบันมองตัวอักษรเล็กและใหญ่เหมือนกัน ไม่ได้ให้ความแตกต่างกัน
แต่บางทีก็ไม่เป็นแบบนั้น
ตัวอย่างเช่น บางเซิร์ฟเวอร์จะถือว่า URL เหล่านี้แตกต่างกัน
งนั้น เพื่อความปลอดภัย ควรใช้ตัวอักษรเล็กทั้งหมดใน URL จะดีกว่า
หลีกเลี่ยงการใช้วันที่
ในอดีต CMS (เช่น WordPress) ใส่ข้อมูลวันที่อัตโนมัติลงใน URL
จนในปี 2020 เริ่มมีน้อยลง แต่ก็ยังเห็นมีคนใส่วันที่ลงใน URL ของตัวเองอยู่ ซึ่งเป็นวิธีที่แย่มาก
มีเหตุผล 2 อย่าง เกี่ยวกับกรณีนี้
สิ่งแรกคือ ทำให้ URL ยาวขึ้น
ตัวอย่าง URL นี้จะประกอบด้วยคีย์เวิร์ด และ วันที่
รวมแล้ว URL นี้มีตัวอักษรทั้งหมด 43 ตัว
แต่เมื่อไม่มีวันที่ จะเหลือยู่เพียง 32 ตัว
มีความแตกต่างกันถึง 25.5 %
ข้อสองคือ การใส่วันที่ลงไปใน URL ทำให้การอัพเดทข้อมูลเป็นไปได้ยากมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหา แอป iPhone ที่ดีที่สุดในปี 2019
และในเดือน มกราคม 2020 คุณต้องการไปอัพเดทเนื้อหานี้ แต่ URL ยังคงเป็น 2019
ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา URL นั้นจะไม่มีความชัดเจน
คุณสามารถใช้การรีไดเรกต์ 301 ไปยัง URL ใหม่ได้ แต่การทำแบบนี้ทุกครั้งเมื่อคุณอัปเดตเนื้อหามันจะค่อนข้างยุ่งยากและเสียเวลา แทนที่จะทำให้มันยุ่งยากแบบนั้น การไม่ใส่ วันที่ใน URL จะเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า
ช่วยเหลือเกี่ยวกับการนำทาง
โฟลเดอร์ย่อยของ URL ที่มีการจัดระเบียบอย่างดีจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายว่าผู้ใช้กำลังอยู่ที่ไหนบนเว็บไซต์ของคุณ
พวกมันยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาจัดระเบียบหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์คุณให้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนอีกด้วย
แท้จริงแล้ว Google กล่าวไว้ว่า
การนำทางของเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถหาสิ่งที่พวกเขาต้องการได้อย่างรวดเร็ว มันยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาที่ผู้ดูแลเว็บไซต์คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วย
ตัวอย่างจากภาพด้านล่าง มีการเผยแพร่ The YouTube Marketing Hub
ประกอบด้วย 32 หน้า แบ่งออกเป็น 5 หมวดหมู่ต่าง ๆ
และเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ (และ Google) เข้าใจหน้าเหล่านี้ทั้งหมดได้ง่ายขึ้น จึงใช้โครงสร้าง URL ที่มีการจัดระเบียบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง URL ที่มีคำว่า “/hub” จะทำให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในข้อมูลนั้น
https://backlinko.com/hub/youtube
คำหรือที่อยู่หลังจาก “/hub” จะบอกพวกเขาว่ากำลังอยู่ในหน้าที่เฉพาะภายในข้อมูลนั้น
https://backlinko.com/hub/youtube/create-channel
ที่กล่าวมาคือ คุณไม่จำเป็นต้องใช้โฟลเดอร์หลาย ๆ ตัว จริง ๆ แล้วการใช้โฟลเดอร์เยอะเกินไปทำให้การนำทางของคุณซับซ้อนขึ้น ไม่ใช่ทำให้ง่ายขึ้นเลย
ตัวอย่างเช่น ลองมาดูเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใช้แนวทางที่ชาญฉลาดในการจัดการ URL และการนำทางในเว็บไซต์ PetSmart
PetSmart.com ใช้ สัตว์เลี้ยง > หมวดหมู่ > หมวดหมู่ย่อย > ผลิภัณฑ์ > ผลิตภัณฑ์” เพื่อจัดระเบียบหน้าต่างๆ กว่า 85,000 หน้า
ใช้ HTTPS
เนื่องจากว่า HTTP หรือ HTTPS เป็นส่วนหนึ่งของ URL ของคุณ เราจึงได้กล่าวถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา
HTTPS คือมาตรฐานใหม่ ดังนั้นหากเว็บไซต์ของคุณยังไม่ได้ใช้จะไม่มีความปลอดภัย ดังนั้นจึงแนะนำว่าต้องใช้
นอกจากนี้ Google ยังกล่าวว่าเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS จะมีข้อได้เปรียบในการจัดอันดับ
อย่าใช้ชื่อบล็อก
ในสมัยก่อน WordPress สามารถสร้าง URL โดยอัตโนมัติจากชื่อของโพสต์บล็อกได้ ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้มีความยาวเกินไป
ตัวอย่าง
ทำไมมันถึงเกิดปัญหาขึ้น
สิ่งแรกคือ มันจะทำให้ URL ของคุณยาวเกินไป
อย่างที่สองคือ การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาจะทำได้ยากขึ้น
ตัวอย่าง
สมมติว่า อยากจะเปลี่ยนเนื้อหาเป็น case study ซึ่งจะต้องเป็นเรื่องที่ทันสมัย และเป็นปัจจุบัน URL นั้นจะล้าสมัยทันที
นั่นคือเหตุผลที่ว่า ควรจะใช้ แค่คียเวิร์ดหลัก และคำอื่นได้อีกไม่เกิน 2 คำ ใน URL
ตัวอย่างบทความเกี่ยวกับ “คู่มือเกี่ยวกับการเรียนรู้ SEO”
อาจจะใช้แค่คำว่า การเรียนรู้ Seo สั้นๆก็ได้
แต่ถ้าอยกาทำให้ URL ดึงดูดให้เกิดการคลิกมากขึ้น เช่น คิดว่าผู้ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับ Seo ต้องการทางลัดที่รวดเร็ว ให้ใส่คำว่า การเรียนรู้ Seo วิธีลัด ก็ได้
ไม่มีสิ่งกระตุ้น
พารามิเตอร์ URL แบบไดนามิก (เช่น การติดตาม UTM) ก็มีความจำเป็นในบางกรณี
หากพิจารณาจากมุมมองของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา (SEO) การใช้ URL ที่มีพารามิเตอร์ไดนามิก (เช่น UTM) อาจทำให้เกิดปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง URL แบบไดนามิกอาจทำให้ SEO ของคุณได้รับผลกระทบ ด้วยสาเหตุดังนี้
- การใส่วันที่หรือคำที่ไม่เกี่ยวข้องลงไปใน URL จะทำให้ URL ยาวขึ้น
- ถ้า Index แล้ว อาจะเกิดปัญหาเนื้อหาคอนเท้นต์ที่ซ้ำได้
- URL แบบไดนามิกดูไม่สวยและทำให้ผู้ใช้สับสน… ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออัตราการคลิกแบบออร์แกนิก
- URL แบบไดนามิกมักจะยาวเกินไปจนทำให้ถูกตัดในผลการค้นหา ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี
โฟลเดอร์ย่อย > ซับโดเมน
ใช้โฟลเดอร์ย่อยใน URL จะช่วยให้เว็บไซต์มีความเหมาะสมกับ SEO มากกว่าการใช้ซับโดเมน
Google อาจถือว่าซับโดเมนเป็นเว็บไซต์ที่แยกต่างหากจากโดเมนหลัก ซึ่งอาจทำให้การจัดอันดับ SEO ของซับโดเมนไม่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์หลัก ทำให้ผลลัพธ์ในเครื่องมือค้นหาอาจไม่ดีเท่าที่ควร
แต่เมื่อคุณย้ายส่วนของเว็บไซต์นั้นไปที่โฟลเดอร์ย่อย Google จะรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์หลักของคุณ
นี่คือตัวอย่างผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อย้ายเนื้อหาต่างๆ จากซับโดเมนไปยังโฟลเดอร์ย่อย
เรียนรู้เพิ่มเติม
ออกแบบ URL ให้สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย : โดย Google ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ URL ที่ดีที่สุด แต่มีการสังเกตว่าบางครั้ง Google เองอาจไม่ได้ทำตามคำแนะนำเหล่านั้น
มีความขัดแย้งกัน ระหว่างแนวทาง SEO และวิธีการที่ Google จัดอันดับซับโดเมน (subdomains) และซับไดเรกทอรี (subdirectories) ในผลการค้นหา : มีประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการใช้ ซับโดเมน (subdomains) กับ ซับโฟลเดอร์ (subfolders) ในการจัดโครงสร้าง URL หรือเว็บไซต์
แต่จากประสบการณ์แล้ว Seo Guru แนะนำให้ใช้ ซับโฟลเดอร์ (subfolders) แทนการใช้ซับโดเมน
Clickbait มีที่อยู่ใหม่ : ศึกษาว่า URL (โครงสร้างของลิงก์) มีผลกระทบต่อ CTR (อัตราการคลิก) มากแค่ไหน
หากต้องการติดต่อทำ SEO สามารถติดต่อได้ ทาง LINE SEO GURU ฟรี