Featured Snippets คือ ข้อความสั้นๆ ที่ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหาของ Google เพื่อช่วยตอบคำถามของผู้ค้นหาอย่างรวดเร็ว เนื้อหาที่ปรากฏใน Featured Snippet จะถูกดึงมาจากหน้าเว็บที่อยู่ในดัชนีของ Google โดยอัตโนมัติ ประเภทที่พบได้บ่อยของ Featured Snippets ได้แก่ คำนิยาม ตาราง ขั้นตอน และรายการต่างๆ
ทำไม Featured Snippets ถึงสำคัญสำหรับ SEO?
Featured Snippets ส่งผลต่อ SEO ในสองวิธีหลักๆ
แรกสุด Featured Snippets เป็นโอกาสในการได้รับคลิกเพิ่มเติมจากผลการค้นหาแบบ Organic โดยไม่ต้องมีอันดับ Google ที่สูงขึ้น
ในความเป็นจริง, ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หลายคนมักเรียกช่อง Featured Snippet ว่า “ตำแหน่ง #0” เพราะมันปรากฏเหนืออันดับที่ 1
ตามข้อมูลจาก Search Engine Land, Featured Snippet จะได้รับคลิกประมาณ 8% ของทั้งหมด
ดังนั้น หากคุณสามารถทำให้เนื้อหาของคุณปรากฏใน Featured Snippet ได้ ก็สามารถเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) จากการค้นหาแบบออร์แกนิกได้อย่างมาก
ตัวอย่างเช่น เราสามารถจัดอันดับใน Featured Snippet สำหรับคำค้นหานี้ได้
ตามข้อมูลจาก Google Search Console อัตราการคลิกผ่าน (CTR) ออร์แกนิกสำหรับหน้านี้คือ 10.7%
ประการที่สอง Featured Snippets เพิ่มจำนวน “การค้นหาที่ไม่มีการคลิก” กล่าวคือ เมื่อผู้ใช้ Google ไม่คลิกผลการค้นหาใดๆ
ซึ่งเป็นเพราะว่า Featured Snippet มักจะให้คำตอบตรงที่ผู้ค้นหาต้องการ
ดังนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกคำค้นหาที่จะใช้ ควรสังเกตว่าผลการค้นหาว่ามี Featured Snippet หรือไม่ หากมี ตามการศึกษาจาก Ahrefs คุณจะได้รับคลิกน้อยลงเมื่อเทียบกับหน้าผลลัพธ์การค้นหาที่ไม่มี Featured Snippet
นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรละทิ้งคำค้นหาทันทีหากมี Featured Snippet เพราะจากรายงานของ Semrush พบว่า 4.77% ของคำค้นหาทั้งหมดมี Featured Snippet
หมายความว่าการหลีกเลี่ยงคำค้นหาที่มี Featured Snippet อย่างสมบูรณ์นั้นทำได้ยาก
นอกจากการแข่งขันและปริมาณการค้นหาต่อเดือนแล้ว ควรนำ Featured Snippets มาพิจารณาในกระบวนการเลือกคำค้นหาของคุณด้วย
ประเภทของ Featured Snippets
ประเภทของ Featured Snippets มี 4 ประเภทหลักที่ปรากฏบ่อยที่สุดในผลการค้นหาของ Google
1. กล่องคำนิยาม (Definition Box): คือข้อความที่ออกแบบมาเพื่อให้คำนิยามหรือคำอธิบายที่ตรงและกระชับแก่ผู้ค้นหา
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหาคำว่า “outreach email” จะมีกล่องคำนิยามปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหา
Google มักใช้ข้อความในรูปแบบย่อหน้า สำหรับการตอบคำถามที่เกี่ยวกับ “คืออะไร” เพื่อให้ผู้ค้นหาได้คำตอบโดยเร็วที่สุด นี่คือตัวอย่าง
อย่างที่คุณเห็น คำนิยามที่ Google ใช้โดยทั่วไปจะสั้นและตรงประเด็น จริงๆแล้ว SEOGURU พบว่า Featured Snippet มีความยาวระหว่าง 40-60 คำ
2.ตาราง (Table): คือการที่ Google ดึงข้อมูลจากหน้าเว็บแล้วแสดงเป็นตาราง
นี่คือตัวอย่าง
3.รายการแบบมีลำดับ (Ordered Snippet List): คือลิสต์ของรายการที่ถูกจัดเรียงในลำดับเฉพาะ Google มักใช้รายการแบบมีลำดับสำหรับคำค้นหาที่ต้องการชุดของขั้นตอน
พวกเขายังใช้รายการที่มีลำดับ สำหรับการจัดอันดับสิ่งต่างๆ ตามลำดับเฉพาะ
4.รายการแบบไม่มีลำดับ (Unordered List): คือวิธีที่ Google ใช้ในการแสดงรายการ ที่ไม่จำเป็นต้องจัดลำดับตามลำดับใดๆ
ตัวอย่างเช่น รายการเครื่องมือติดตามอันดับของเรา ไม่ได้จัดลำดับจากดีที่สุดไปแย่ที่สุด มันเป็นแค่รายการ (แต่แสดงในรูปแบบตารางครื่องมือที่ดีที่สุดตามความเห็นของเว็บไซต์นั้นๆ)
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Google แสดงรายการเครื่องมือทั้งหมดเป็นรายการ โดยไม่มีข้อมูลใดๆ และไม่ใช่การจัดอันดับจากดีที่สุดไปแย่ที่สุด
วิธีการปรับแต่งเพื่อ Featured Snippets
ขั้นตอนแรกคือการมองหาหน้าผลการค้นหาที่มี Featured Snippet
วิธีนี้คุณจะรู้ได้เลยว่า Google ต้องการแสดง Featured Snippet สำหรับคำค้นหานั้น จริงๆ
นอกจากนี้คุณยังสามารถเห็นได้ว่า Google ต้องการแสดง Featured Snippet ประเภทไหนสำหรับคำค้นหานั้น (เช่น คำนิยาม, รายการแบบไม่มีลำดับ ฯลฯ) ซึ่งจะทำให้การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์หรือบทความของคุณตรงกับ Featured Snippet
วิธีที่ 2 ในการค้นหาผลการค้นหาที่มี Featured Snippet
คุณสามารถค้นหาคำค้นหาหลายๆหรือคำทีละคำ หากคุณมีรายชื่อคำค้นหาที่ต้องการ คุณสามารถค้นหาทีละคำและจดบันทึกว่า ผลลัพธ์สำหรับคำนั้นมี Featured Snippet หรือไม่
ขั้นตอนต่อมา คุณสามารถใช้เครื่องมือเช่น Semrush และ Ahrefs เพื่อเจาะจงไปที่คำค้นหาที่มี Featured Snippet
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทำการรายงานคำค้นหาจากผลการค้นหาที่ออร์แกนิกโดยใช้ Semrush คุณสามารถกรองคำค้นหาที่ไม่มี Featured Snippet ออกไปได้
ปรับเนื้อหาสำหรับ Featured Snippet โดยเฉพาะ
ขั้นตอนต่อไปคือการปรับแต่งเนื้อหาบนหน้าเว็บของคุณเพื่อให้ กูเกิลเลือกใช้เนื้อหาของคุณใน Featured Snippet
นี่คือวิธีปรับแต่งเนื้อหาสำหรับ Featured Snippet 4 รูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
รูปแบบคำนิยาม (The Definition): คุณต้องให้ข้อความที่สั้นกระชับ (ประมาณ 40-60 คำ) ซึ่งกูเกิลสามารถนำไปใช้ใน Featured Snippet ได้โดยตรง นอกจากนี้ การเพิ่มหัวข้อที่มีคำว่า “What is X” (X คือสิ่งที่คุณต้องการอธิบาย) ไว้เหนือคำนิยามของคุณก็ช่วยได้มาก
นี่คือตัวอย่างการตั้งค่าประเภทนี้ในหนึ่งในหน้าเว็บของเรา:
และเนื่องจากเราให้คำจำกัดความแบบตรงไปตรงมาแก่กูเกิล ที่สามารถนำไปใช้ได้โดยตรง เราจึงได้ตำแหน่ง Featured Snippet ภายในเวลาไม่กี่เดือน
HubSpot ก้าวไปอีกขั้น พวกเขาออกแบบกล่องเล็กๆ ในเนื้อหาของตนที่มีลักษณะเหมือนกับ Featured Snippet จริงๆ
ฉันคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การจัดรูปแบบ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำให้เนื้อหาของคุณติด Featured Snippet โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเนื้อหาของคุณมีลักษณะใกล้เคียงกับ Featured Snippet มากเท่าไร โอกาสที่กูเกิลจะเลือกใช้งานก็ยิ่งสูงขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจำไว้คือ คุณควรทำให้คำนิยามของคุณเป็นแบบกลางๆ กล่าวคือ อย่าใส่ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับหัวข้อ ไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม
จำไว้ว่า: กูเกิลไม่ต้องการให้ความคิดเห็นปรากฏในลักษณะของคำนิยาม ดังนั้น แม้ว่าคุณจะมีความรู้สึกแรงกล้าเกี่ยวกับหัวข้อนั้น พยายามเขียนคำนิยามให้ปราศจากอารมณ์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง ที่จริงแล้ว คุณควรเขียนคำนิยามให้เหมือนกับข้อความในพจนานุกรม
ตัวอย่างเช่น คำนิยามของเราเกี่ยวกับ “nofollow links” ดูเหมือนถูกนำมาจากพจนานุกรม Webster โดยตรง
รูปแบบตาราง (The Table): จากการวิเคราะห์ของฉันพบว่า กูเกิลมักดึงเนื้อหาสำหรับ Table Featured Snippets จากตาราง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กูเกิลไม่ได้รวบรวมข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ บนหน้าเว็บของคุณแล้วจัดเรียงให้อยู่ในรูปแบบตาราง แต่พวกเขาจะดึงข้อมูลจากตารางที่มีอยู่แล้วในเนื้อหาของคุณ
ตัวอย่างเช่น ลองดู Featured Snippet ที่เป็นตารางนี้
เมื่อคุณดูแหล่งที่มาของเนื้อหานั้น คุณจะเห็นได้ว่ามันคือตารางเดียวกันเป๊ะๆเลย
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในช่วงหนึ่งเราได้เปรียบเทียบเครื่องมือตรวจสอบ Backlink ชั้นนำ 4 ตัว
และหนึ่งในวิธีที่เราใช้ปรับแต่งเพื่อให้ได้ Featured Snippet คือการนำเสนอข้อมูลจำนวนมากในรูปแบบของตาราง
วิธีการเขียนโค้ดสำหรับตารางเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของเว็บไซต์คุณ (และว่าคุณใช้ WordPress หรือไม่) แต่โดยทั่วไป หาก HTML ของคุณใช้แท็ก <tr> ในการนำเสนอข้อมูลในตาราง กูเกิลจะสามารถ “อ่าน” ตารางของคุณได้อย่างง่ายดาย
รูปแบบลำดับรายการ (The Ordered List): สิ่งสำคัญในส่วนนี้คือการจัดหน้าเว็บของคุณให้แสดงขั้นตอนหรือรายการต่างๆ ในลักษณะที่กูเกิลสามารถเข้าใจได้ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณควรใส่แต่ละรายการหรือขั้นตอนในรูปแบบข้อความ H2 หรือ H3 และแสดงแต่ละรายการเป็นหัวข้อย่อย (subheader)
เพื่อทำให้ลำดับของรายการหรือขั้นตอนของคุณชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับกูเกิล คุณสามารถใส่ข้อความอย่างเช่น “Step #1” หรือ “1.” ไว้ในแต่ละหัวข้อย่อยได้ ตัวอย่างเช่น:
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรจำไว้คือ ความสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญ ดังนั้น หากคุณแสดงขั้นตอนที่ 1 เป็น “Step #1: ทำ X” อย่าทำให้ขั้นตอนที่ 2 เป็น “Step 2: ทำ Y”
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ควรนำเสนอขั้นตอนของคุณในลักษณะนี้:
Step #1, Step #2, Step #3…
หรือแบบนี้:
1., 2., 3…
ส่วนตัวแล้ว ฉันชอบใช้ “Step #1” มากกว่า “1.” เพราะมันทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามได้ง่ายกว่า แต่กูเกิลสามารถเข้าใจได้ทั้งสองแบบ
ตัวอย่างเช่น บทความนี้แสดงกลยุทธ์ SEO 9 ขั้นตอน
ทุกขั้นตอนในกระบวนการใช้รูปแบบเดียวกันเป๊ะ ๆ (“Step #1”, “Step #2”, เป็นต้น)
เรายังใช้แท็ก H2 ครอบแต่ละขั้นตอนอีกด้วย
ปรับแต่งหน้าเว็บของคุณโดยรอบคำค้นหาหางยาวหลายคำ
Ahrefs พบว่า ส่วนใหญ่ ของ Featured Snippets จะปรากฏขึ้นเมื่อผู้คนค้นหาด้วยคำค้นหาหางยาว (long-tail keywords)
(คำค้นหาหางยาว = คำที่ผู้คนใช้ในเครื่องมือค้นหาที่มีความยาวและเจาะจงมาก)
คำค้นหาที่ผู้คนใช้ในการค้นหาด้วยเสียงเป็นตัวอย่างที่ดีของประเภทการค้นหานี้
นี่คือตัวอย่างของการค้นหาทั่วไป
และนี่คือลักษณะการค้นหาที่เป็นการสนทนาและเป็นคำค้นหาหางยาวของคำค้นหานั้นเดียวกัน
สิ่งที่ควรนำไปพิจารณาคือ คุณไม่เพียงแค่ต้องปรับแต่งเนื้อหาของคุณสำหรับคำค้นหาที่เป็น Featured Snippet ที่ผู้คนค้นหามาก (เช่น “what is SEO”)
คุณยังต้องปรับแต่งเนื้อหาสำหรับ Featured Snippets ที่ปรากฏขึ้นเมื่อผู้คนค้นหาคำที่มีความหลากหลายและคำค้นหาหางยาวของคำเหล่านั้นด้วย
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเห็นว่าเราได้เพิ่มส่วนต่างๆ ลงในหน้านี้ที่ออกแบบมาเพื่อจัดอันดับใน Featured Snippets หางยาวที่แตกต่างกันหลายแบบ
มันก็เหมือนกับหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ขนาดเล็ก
แล้ว: คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคำค้นหาหางยาวคำไหนที่ควรกำหนดเป้าหมาย?
ฉันขอแนะนำให้ตรวจสอบ “People Also Ask boxes” ในหน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERPs)
นี่คือคำถามที่เกี่ยวข้องที่กูเกิล พิจารณาว่าเชื่อมโยงกับคำค้นหาที่คุณเพิ่งค้นหา
ตัวอย่างเช่น หนึ่งในคำค้นหาที่เราอยู่ในตำแหน่ง Featured Snippet คือ “search intent”
และการจัดอันดับนั้นเป็นผลโดยตรงจากการปรับแต่งเนื้อหาของเราสำหรับคำนิยามใน Featured Snippet
ที่กล่าวมาคือ: ยังมีคำค้นหาหางยาวหลายคำที่เราสามารถตอบได้ในหน้านั้นเดียวกัน คำค้นหาที่กูเกิล แสดงให้เราเห็นในผลลัพธ์การค้นหา
พูดถึงการขยายขนาด…
ขยายความพยายามในการทำ SEO สำหรับ Featured Snippet
หากหน้าเว็บ (และเว็บไซต์) ของคุณมีความน่าเชื่อถือ คุณสามารถทำให้หน้าเว็บเดียวของคุณจัดอันดับได้ในหลายๆ Featured Snippets
กุญแจสำคัญในการขยายสิ่งนี้คือการเพิ่มคำนิยาม ลำดับรายการ และรูปแบบอื่นๆที่กูเกิล ชอบนำไปใช้ใน Featured Snippets บนหน้าเว็บของคุณ
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเห็นว่า HubSpot มีคำนิยาม “หลัก” อยู่ที่ส่วนบนของหน้าหลายๆหน้า
แต่พวกเขาก็ยังใส่คำถามและคำตอบหลาย ๆ คำถามในหน้าเดียวกันด้วย
ปรับปรุงอันดับกูเกิลของคุณ
การปรับแต่งเนื้อหาของคุณเพื่อ Featured Snippets เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงคือ: หากหน้าเว็บของคุณยังไม่ได้จัดอันดับในหน้าผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรกของดูเกิล โอกาสที่คุณจะได้เข้าสู่ Featured Snippet แทบจะเป็นศูนย์
ในความเป็นจริง จากการศึกษาของ Ahrefs ที่ฉันได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ พบว่า 99% ของทุก Featured Snippet มาจากหน้าเว็บที่จัดอันดับอยู่ในหน้าแรกแล้ว
มันสมเหตุสมผลหากคุณคิดถึงเรื่องนี้: หน้าผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรกคือรายการของเนื้อหาที่ดีที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดจากกูเกิล เกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ ดังนั้นกูเกิลจะไม่ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าที่ 11… ถึงแม้ว่ามันจะถูกจัดรูปแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม
ดังนั้น นอกจากการจัดรูปแบบเนื้อหาของคุณให้ถูกต้องแล้ว คุณยังต้องจัดอันดับในหน้าแรกเพื่อมีโอกาสจริง ๆ ในการเข้าสู่ Featured Snippet
ตัวอย่างเช่น หน้านี้จากเว็บไซต์ของเราได้รับการจัดอันดับเป็น “หมายเลข 0” ใน Featured Snippet
และเราถูกเลือกให้แสดงในนั้นหลังจากที่เราผ่านการจัดอันดับในหน้าผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรกของกูเกิล สำหรับคำค้นหานั้น
เรียนรู้เพิ่มเติม
วิธีการปรับแต่งสำหรับ Featured Snippet ของกูเกิล : วิดีโอนี้จะแสดงให้คุณเห็นวิธีเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับในส่วน Featured Snippet ของกูเกิล
วิธีการปรากฏในอันดับต้นๆของกูเกิล : คำแนะนำเชิงลึกที่เต็มไปด้วยพลังเกี่ยวกับการปรับแต่ง Featured Snippet ของกูเกิล