Featured Snippets คืออะไร ทำไมฟีเจอร์เล็กๆสำคัญต่อการทำ SEO

Featured Snippets คืออะไร

Featured Snippets คือ ข้อความสั้นๆ ที่ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหาของ Google เพื่อช่วยตอบคำถามของผู้ค้นหาอย่างรวดเร็ว เนื้อหาที่ปรากฏใน Featured Snippet จะถูกดึงมาจากหน้าเว็บที่อยู่ในดัชนีของ Google โดยอัตโนมัติ ประเภทที่พบได้บ่อยของ Featured Snippets ได้แก่ คำนิยาม ตาราง ขั้นตอน และรายการต่างๆ

1google-featured-snippet

ทำไม Featured Snippets ถึงสำคัญสำหรับ SEO?

Featured Snippets ส่งผลต่อ SEO ในสองวิธีหลักๆ

แรกสุด Featured Snippets เป็นโอกาสในการได้รับคลิกเพิ่มเติมจากผลการค้นหาแบบ Organic โดยไม่ต้องมีอันดับ Google ที่สูงขึ้น

ในความเป็นจริง, ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หลายคนมักเรียกช่อง Featured Snippet ว่า “ตำแหน่ง #0” เพราะมันปรากฏเหนืออันดับที่ 1

2featured-snippet-position

ตามข้อมูลจาก Search Engine Land, Featured Snippet จะได้รับคลิกประมาณ 8% ของทั้งหมด

3average-click-through-rate-of-featured-snippets

ดังนั้น หากคุณสามารถทำให้เนื้อหาของคุณปรากฏใน Featured Snippet ได้ ก็สามารถเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) จากการค้นหาแบบออร์แกนิกได้อย่างมาก

ตัวอย่างเช่น เราสามารถจัดอันดับใน Featured Snippet สำหรับคำค้นหานี้ได้

4google-serp-how-to-get-more-subscribers-on-youtube

ตามข้อมูลจาก Google Search Console อัตราการคลิกผ่าน (CTR) ออร์แกนิกสำหรับหน้านี้คือ 10.7%

5gsc-how-to-get-more-subscribers-on-youtube-ctr

ประการที่สอง Featured Snippets เพิ่มจำนวน “การค้นหาที่ไม่มีการคลิก” กล่าวคือ เมื่อผู้ใช้ Google ไม่คลิกผลการค้นหาใดๆ

ซึ่งเป็นเพราะว่า Featured Snippet มักจะให้คำตอบตรงที่ผู้ค้นหาต้องการ

6google-serp-how-to-do-burpees

ดังนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกคำค้นหาที่จะใช้ ควรสังเกตว่าผลการค้นหาว่ามี Featured Snippet หรือไม่ หากมี ตามการศึกษาจาก Ahrefs คุณจะได้รับคลิกน้อยลงเมื่อเทียบกับหน้าผลลัพธ์การค้นหาที่ไม่มี Featured Snippet

นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรละทิ้งคำค้นหาทันทีหากมี Featured Snippet เพราะจากรายงานของ Semrush พบว่า 4.77% ของคำค้นหาทั้งหมดมี Featured Snippet

7semrush-sensor-featured-snippet

หมายความว่าการหลีกเลี่ยงคำค้นหาที่มี Featured Snippet อย่างสมบูรณ์นั้นทำได้ยาก

นอกจากการแข่งขันและปริมาณการค้นหาต่อเดือนแล้ว ควรนำ Featured Snippets มาพิจารณาในกระบวนการเลือกคำค้นหาของคุณด้วย

ประเภทของ Featured Snippets

ประเภทของ Featured Snippets มี 4 ประเภทหลักที่ปรากฏบ่อยที่สุดในผลการค้นหาของ Google

1. กล่องคำนิยาม (Definition Box): คือข้อความที่ออกแบบมาเพื่อให้คำนิยามหรือคำอธิบายที่ตรงและกระชับแก่ผู้ค้นหา

ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหาคำว่า “outreach email” จะมีกล่องคำนิยามปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหา

8google-serp-outreach-email

Google มักใช้ข้อความในรูปแบบย่อหน้า สำหรับการตอบคำถามที่เกี่ยวกับ “คืออะไร” เพื่อให้ผู้ค้นหาได้คำตอบโดยเร็วที่สุด นี่คือตัวอย่าง

9google-serp-what-is-the-low-carb-diet

อย่างที่คุณเห็น คำนิยามที่ Google ใช้โดยทั่วไปจะสั้นและตรงประเด็น จริงๆแล้ว SEOGURU พบว่า Featured Snippet มีความยาวระหว่าง 40-60 คำ

10the-average-definition-featured-snippet-is-40-60-words

2.ตาราง (Table): คือการที่ Google ดึงข้อมูลจากหน้าเว็บแล้วแสดงเป็นตาราง

นี่คือตัวอย่าง

11google-serp-table-featured-snippet

3.รายการแบบมีลำดับ (Ordered Snippet List): คือลิสต์ของรายการที่ถูกจัดเรียงในลำดับเฉพาะ Google มักใช้รายการแบบมีลำดับสำหรับคำค้นหาที่ต้องการชุดของขั้นตอน

12oogle-serp-how-to-write-guest-post

พวกเขายังใช้รายการที่มีลำดับ สำหรับการจัดอันดับสิ่งต่างๆ ตามลำดับเฉพาะ

13google-serp-ordered-list-featured-snippet

4.รายการแบบไม่มีลำดับ (Unordered List): คือวิธีที่ Google ใช้ในการแสดงรายการ ที่ไม่จำเป็นต้องจัดลำดับตามลำดับใดๆ

ตัวอย่างเช่น รายการเครื่องมือติดตามอันดับของเรา ไม่ได้จัดลำดับจากดีที่สุดไปแย่ที่สุด มันเป็นแค่รายการ (แต่แสดงในรูปแบบตารางครื่องมือที่ดีที่สุดตามความเห็นของเว็บไซต์นั้นๆ)

14backlinko-best-rank-tracking-tools-table

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Google แสดงรายการเครื่องมือทั้งหมดเป็นรายการ โดยไม่มีข้อมูลใดๆ และไม่ใช่การจัดอันดับจากดีที่สุดไปแย่ที่สุด

วิธีการปรับแต่งเพื่อ Featured Snippets

ขั้นตอนแรกคือการมองหาหน้าผลการค้นหาที่มี Featured Snippet

วิธีนี้คุณจะรู้ได้เลยว่า Google ต้องการแสดง Featured Snippet สำหรับคำค้นหานั้น จริงๆ

นอกจากนี้คุณยังสามารถเห็นได้ว่า Google ต้องการแสดง Featured Snippet ประเภทไหนสำหรับคำค้นหานั้น (เช่น คำนิยาม, รายการแบบไม่มีลำดับ ฯลฯ) ซึ่งจะทำให้การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์หรือบทความของคุณตรงกับ Featured Snippet

15seo-keyword-list

วิธีที่ 2 ในการค้นหาผลการค้นหาที่มี Featured Snippet

คุณสามารถค้นหาคำค้นหาหลายๆหรือคำทีละคำ หากคุณมีรายชื่อคำค้นหาที่ต้องการ คุณสามารถค้นหาทีละคำและจดบันทึกว่า ผลลัพธ์สำหรับคำนั้นมี Featured Snippet หรือไม่

ขั้นตอนต่อมา คุณสามารถใช้เครื่องมือเช่น Semrush และ Ahrefs เพื่อเจาะจงไปที่คำค้นหาที่มี Featured Snippet

ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทำการรายงานคำค้นหาจากผลการค้นหาที่ออร์แกนิกโดยใช้ Semrush คุณสามารถกรองคำค้นหาที่ไม่มี Featured Snippet ออกไปได้

16position-tracking-backlinko-keywords-without-featured-snippet

ปรับเนื้อหาสำหรับ Featured Snippet โดยเฉพาะ

ขั้นตอนต่อไปคือการปรับแต่งเนื้อหาบนหน้าเว็บของคุณเพื่อให้ กูเกิลเลือกใช้เนื้อหาของคุณใน Featured Snippet

นี่คือวิธีปรับแต่งเนื้อหาสำหรับ Featured Snippet 4 รูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

รูปแบบคำนิยาม (The Definition): คุณต้องให้ข้อความที่สั้นกระชับ (ประมาณ 40-60 คำ) ซึ่งกูเกิลสามารถนำไปใช้ใน Featured Snippet ได้โดยตรง นอกจากนี้ การเพิ่มหัวข้อที่มีคำว่า “What is X” (X คือสิ่งที่คุณต้องการอธิบาย) ไว้เหนือคำนิยามของคุณก็ช่วยได้มาก

นี่คือตัวอย่างการตั้งค่าประเภทนี้ในหนึ่งในหน้าเว็บของเรา:

backlinko-no-follow-links-post

และเนื่องจากเราให้คำจำกัดความแบบตรงไปตรงมาแก่กูเกิล ที่สามารถนำไปใช้ได้โดยตรง เราจึงได้ตำแหน่ง Featured Snippet ภายในเวลาไม่กี่เดือน

google-serp-nofollow-link

HubSpot ก้าวไปอีกขั้น พวกเขาออกแบบกล่องเล็กๆ ในเนื้อหาของตนที่มีลักษณะเหมือนกับ Featured Snippet จริงๆ

hubspot-featured-snippet

ฉันคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การจัดรูปแบบ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำให้เนื้อหาของคุณติด Featured Snippet โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเนื้อหาของคุณมีลักษณะใกล้เคียงกับ Featured Snippet มากเท่าไร โอกาสที่กูเกิลจะเลือกใช้งานก็ยิ่งสูงขึ้น

อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจำไว้คือ คุณควรทำให้คำนิยามของคุณเป็นแบบกลางๆ กล่าวคือ อย่าใส่ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับหัวข้อ ไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม

จำไว้ว่า: กูเกิลไม่ต้องการให้ความคิดเห็นปรากฏในลักษณะของคำนิยาม ดังนั้น แม้ว่าคุณจะมีความรู้สึกแรงกล้าเกี่ยวกับหัวข้อนั้น พยายามเขียนคำนิยามให้ปราศจากอารมณ์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง ที่จริงแล้ว คุณควรเขียนคำนิยามให้เหมือนกับข้อความในพจนานุกรม

ตัวอย่างเช่น คำนิยามของเราเกี่ยวกับ “nofollow links” ดูเหมือนถูกนำมาจากพจนานุกรม Webster โดยตรง

รูปแบบตาราง (The Table): จากการวิเคราะห์ของฉันพบว่า กูเกิลมักดึงเนื้อหาสำหรับ Table Featured Snippets จากตาราง

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กูเกิลไม่ได้รวบรวมข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ บนหน้าเว็บของคุณแล้วจัดเรียงให้อยู่ในรูปแบบตาราง แต่พวกเขาจะดึงข้อมูลจากตารางที่มีอยู่แล้วในเนื้อหาของคุณ

ตัวอย่างเช่น ลองดู Featured Snippet ที่เป็นตารางนี้

google-serp-top-grossing-comedy-movies

เมื่อคุณดูแหล่งที่มาของเนื้อหานั้น คุณจะเห็นได้ว่ามันคือตารางเดียวกันเป๊ะๆเลย

wikipedia-highest-grossing-comedy-films

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในช่วงหนึ่งเราได้เปรียบเทียบเครื่องมือตรวจสอบ Backlink ชั้นนำ 4 ตัว

backlinko-best-backlink-checker

และหนึ่งในวิธีที่เราใช้ปรับแต่งเพื่อให้ได้ Featured Snippet คือการนำเสนอข้อมูลจำนวนมากในรูปแบบของตาราง

backlinko-backlink-checker-data

วิธีการเขียนโค้ดสำหรับตารางเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของเว็บไซต์คุณ (และว่าคุณใช้ WordPress หรือไม่) แต่โดยทั่วไป หาก HTML ของคุณใช้แท็ก <tr> ในการนำเสนอข้อมูลในตาราง กูเกิลจะสามารถ “อ่าน” ตารางของคุณได้อย่างง่ายดาย

รูปแบบลำดับรายการ (The Ordered List): สิ่งสำคัญในส่วนนี้คือการจัดหน้าเว็บของคุณให้แสดงขั้นตอนหรือรายการต่างๆ ในลักษณะที่กูเกิลสามารถเข้าใจได้ง่าย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณควรใส่แต่ละรายการหรือขั้นตอนในรูปแบบข้อความ H2 หรือ H3 และแสดงแต่ละรายการเป็นหัวข้อย่อย (subheader)

use-headings-for-section-titles

เพื่อทำให้ลำดับของรายการหรือขั้นตอนของคุณชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับกูเกิล คุณสามารถใส่ข้อความอย่างเช่น “Step #1” หรือ “1.” ไว้ในแต่ละหัวข้อย่อยได้ ตัวอย่างเช่น:

seo-site-audit-post-table-of-content

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรจำไว้คือ ความสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญ ดังนั้น หากคุณแสดงขั้นตอนที่ 1 เป็น “Step #1: ทำ X” อย่าทำให้ขั้นตอนที่ 2 เป็น “Step 2: ทำ Y”

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ควรนำเสนอขั้นตอนของคุณในลักษณะนี้:

Step #1, Step #2, Step #3…

หรือแบบนี้:

1., 2., 3…

ส่วนตัวแล้ว ฉันชอบใช้ “Step #1” มากกว่า “1.” เพราะมันทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามได้ง่ายกว่า แต่กูเกิลสามารถเข้าใจได้ทั้งสองแบบ

ตัวอย่างเช่น บทความนี้แสดงกลยุทธ์ SEO 9 ขั้นตอน

backlinko-seo-strategy

ทุกขั้นตอนในกระบวนการใช้รูปแบบเดียวกันเป๊ะ ๆ (“Step #1”, “Step #2”, เป็นต้น)

seo-strategy-steps

เรายังใช้แท็ก H2 ครอบแต่ละขั้นตอนอีกด้วย

ปรับแต่งหน้าเว็บของคุณโดยรอบคำค้นหาหางยาวหลายคำ

Ahrefs พบว่า ส่วนใหญ่ ของ Featured Snippets จะปรากฏขึ้นเมื่อผู้คนค้นหาด้วยคำค้นหาหางยาว (long-tail keywords)

most-featured-snippets-come-from-long-tail-searches

(คำค้นหาหางยาว = คำที่ผู้คนใช้ในเครื่องมือค้นหาที่มีความยาวและเจาะจงมาก)

คำค้นหาที่ผู้คนใช้ในการค้นหาด้วยเสียงเป็นตัวอย่างที่ดีของประเภทการค้นหานี้

นี่คือตัวอย่างของการค้นหาทั่วไป

traditional-search-example

และนี่คือลักษณะการค้นหาที่เป็นการสนทนาและเป็นคำค้นหาหางยาวของคำค้นหานั้นเดียวกัน

conversational-search-example

สิ่งที่ควรนำไปพิจารณาคือ คุณไม่เพียงแค่ต้องปรับแต่งเนื้อหาของคุณสำหรับคำค้นหาที่เป็น Featured Snippet ที่ผู้คนค้นหามาก (เช่น “what is SEO”)

คุณยังต้องปรับแต่งเนื้อหาสำหรับ Featured Snippets ที่ปรากฏขึ้นเมื่อผู้คนค้นหาคำที่มีความหลากหลายและคำค้นหาหางยาวของคำเหล่านั้นด้วย

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเห็นว่าเราได้เพิ่มส่วนต่างๆ ลงในหน้านี้ที่ออกแบบมาเพื่อจัดอันดับใน Featured Snippets หางยาวที่แตกต่างกันหลายแบบ

long-tail-keywords-for-featured-snippets

มันก็เหมือนกับหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ขนาดเล็ก

แล้ว: คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคำค้นหาหางยาวคำไหนที่ควรกำหนดเป้าหมาย?

ฉันขอแนะนำให้ตรวจสอบ “People Also Ask boxes” ในหน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERPs)

google-serp-life-insurance-people-also-ask

นี่คือคำถามที่เกี่ยวข้องที่กูเกิล พิจารณาว่าเชื่อมโยงกับคำค้นหาที่คุณเพิ่งค้นหา

ตัวอย่างเช่น หนึ่งในคำค้นหาที่เราอยู่ในตำแหน่ง Featured Snippet คือ “search intent”

google-serp-search-intent

และการจัดอันดับนั้นเป็นผลโดยตรงจากการปรับแต่งเนื้อหาของเราสำหรับคำนิยามใน Featured Snippet

backlinko-hub-search-intent

ที่กล่าวมาคือ: ยังมีคำค้นหาหางยาวหลายคำที่เราสามารถตอบได้ในหน้านั้นเดียวกัน คำค้นหาที่กูเกิล แสดงให้เราเห็นในผลลัพธ์การค้นหา

people-also-ask-search-intent

พูดถึงการขยายขนาด…

ขยายความพยายามในการทำ SEO สำหรับ Featured Snippet

หากหน้าเว็บ (และเว็บไซต์) ของคุณมีความน่าเชื่อถือ คุณสามารถทำให้หน้าเว็บเดียวของคุณจัดอันดับได้ในหลายๆ Featured Snippets

กุญแจสำคัญในการขยายสิ่งนี้คือการเพิ่มคำนิยาม ลำดับรายการ และรูปแบบอื่นๆที่กูเกิล ชอบนำไปใช้ใน Featured Snippets บนหน้าเว็บของคุณ

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเห็นว่า HubSpot มีคำนิยาม “หลัก” อยู่ที่ส่วนบนของหน้าหลายๆหน้า

hubspot-main-definition-example

แต่พวกเขาก็ยังใส่คำถามและคำตอบหลาย ๆ คำถามในหน้าเดียวกันด้วย

hubspot-several-questions-and-answers-on-single-page

ปรับปรุงอันดับกูเกิลของคุณ

การปรับแต่งเนื้อหาของคุณเพื่อ Featured Snippets เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงคือ: หากหน้าเว็บของคุณยังไม่ได้จัดอันดับในหน้าผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรกของดูเกิล โอกาสที่คุณจะได้เข้าสู่ Featured Snippet แทบจะเป็นศูนย์

ในความเป็นจริง จากการศึกษาของ Ahrefs ที่ฉันได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ พบว่า 99% ของทุก Featured Snippet มาจากหน้าเว็บที่จัดอันดับอยู่ในหน้าแรกแล้ว

almost-100-percent-of-featured-snippets-use-content-from-the-top-10-results

มันสมเหตุสมผลหากคุณคิดถึงเรื่องนี้: หน้าผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรกคือรายการของเนื้อหาที่ดีที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดจากกูเกิล เกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ ดังนั้นกูเกิลจะไม่ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าที่ 11… ถึงแม้ว่ามันจะถูกจัดรูปแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม

ดังนั้น นอกจากการจัดรูปแบบเนื้อหาของคุณให้ถูกต้องแล้ว คุณยังต้องจัดอันดับในหน้าแรกเพื่อมีโอกาสจริง ๆ ในการเข้าสู่ Featured Snippet

ตัวอย่างเช่น หน้านี้จากเว็บไซต์ของเราได้รับการจัดอันดับเป็น “หมายเลข 0” ใน Featured Snippet

และเราถูกเลือกให้แสดงในนั้นหลังจากที่เราผ่านการจัดอันดับในหน้าผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรกของกูเกิล สำหรับคำค้นหานั้น

เรียนรู้เพิ่มเติม

วิธีการปรับแต่งสำหรับ Featured Snippet ของกูเกิล : วิดีโอนี้จะแสดงให้คุณเห็นวิธีเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับในส่วน Featured Snippet ของกูเกิล

วิธีการปรากฏในอันดับต้นๆของกูเกิล : คำแนะนำเชิงลึกที่เต็มไปด้วยพลังเกี่ยวกับการปรับแต่ง Featured Snippet ของกูเกิล