นี่คือคู่มือการทำ SEO สำหรับปี 2025 ที่มีรายละเอียดครบถ้วนแบบสุดๆ
ในคู่มือใหม่นี้ พวกเรา SEOGURU จะพาคุณเรียนรู้ทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีการ ไม่ว่าจะเป็น
- ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ยังไม่มีคู่แข่ง
- ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับ Google
- โปรโมตเนื้อหาของคุณ
- ดึงดูดลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ
มาเริ่มกันเลย!
เนื้อหา
1.ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ผู้คนค้นหา
2.เลือกคีย์เวิร์ดที่มีมูลค่าสูง
3.เผยแพร่เนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาใน Google
4.ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)
5.ใช้แนวทางการทำ On-Page SEO ที่ดีที่สุด
6.โปรโมตเนื้อหาของคุณ
7.สร้าง Backlinks ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
8.ติดตามและปรับปรุง Technical SEO ของคุณ
1. การค้นหาคีย์เวิร์ดที่ผู้คนค้นหา
ฉันต้องเริ่มต้นคู่มือ SEO นี้ด้วยการค้นคว้าคีย์เวิร์ด
เพราะคีย์เวิร์ดคือสิ่งที่กำหนดทุกอย่างในกระบวนการทำ SEO ของคุณ
ในขั้นตอนแรกนี้ ฉันจะแสดงให้คุณเห็นวิธีสร้างรายการคีย์เวิร์ดที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจของคุณ
ค้นหา “คีย์เวิร์ดในรูปแบบคำถาม” เพื่อสร้างไอเดียคีย์เวิร์ดที่แข็งแกร่งจำนวนมาก
ค้นหา “คีย์เวิร์ดในรูปแบบคำถาม” เพื่อสร้างไอเดียคีย์เวิร์ดที่แข็งแกร่งจำนวนมาก
ขั้นตอนแรกของคุณคือการระดมไอเดียคีย์เวิร์ดให้ได้มากที่สุด
จากนั้น ในขั้นตอนถัดไป ฉันจะแนะนำวิธีเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดจากรายการไอเดียของคุณ
แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการหาไอเดียคีย์เวิร์ดคืออะไร?
ลองดูคำถามที่ผู้คนมักถามออนไลน์
คุณสามารถค้นหาคำถามได้โดยการเข้าไปดูตามเว็บไซต์ เช่น Reddit แล้วสแกนคำถามด้วยตัวเอง
แต่การดึงคำถามที่ดีที่สุดที่ผู้คนถามออกมานั้นค่อนข้างยาก
ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้ลองใช้เครื่องมือที่เชี่ยวชาญในการค้นหาคำถามที่ผู้คนสนใจมากที่สุด
เริ่มต้นด้วย QuestionDB
สิ่งที่คุณต้องทำคือใส่หัวข้อกว้างๆ (เช่น การสร้างลิงก์)
แล้วคุณจะได้รับรายการคำถามที่ผู้คนกำลังถามออนไลน์เกี่ยวกับหัวข้อนั้น
คุณยังสามารถลองใช้ Answer The Public ซึ่งทำงานในลักษณะเดียวกันได้เช่นกัน
Buzzsumo ยังมีฟีเจอร์ “Question Analyzer” ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเน้นค้นหาคำถามที่ผู้คนมักถามบนโลกออนไลน์
สร้างไอเดียคีย์เวิร์ดด้วย Google Keyword Planner
เมื่อเทียบกับเครื่องมือค้นคว้าคีย์เวิร์ดแบบเสียเงินส่วนใหญ่ Google Keyword Planner อาจไม่โดดเด่นนักในด้านการสร้างไอเดียคีย์เวิร์ดใหม่ๆ
แต่มันก็ไม่ได้แย่จนใช้งานไม่ได้
จากประสบการณ์ของฉัน บางครั้ง Google Keyword Planner ก็สามารถแนะนำคีย์เวิร์ดที่ยอดเยี่ยมที่หาได้ยากจากเครื่องมืออื่นๆ
ตอนนี้มาดูกันว่า:
คุณสามารถใช้ Google Keyword Planner เพื่อสร้างคีย์เวิร์ดได้สองวิธี
วิธีแรก ใส่คีย์เวิร์ดเริ่มต้น (Seed Keyword) ลงไป แล้วดูว่ามีไอเดียอะไรที่เครื่องมือจะแนะนำให้บ้าง
นี่คือวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้ Google Keyword Planner สำหรับการค้นคว้าคีย์เวิร์ด SEO ซึ่งก็ไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่แย่ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะได้คีย์เวิร์ดที่คู่แข่งของคุณรู้อยู่แล้ว (และติดอันดับอยู่ก่อน)
ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้ลองใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอย่าง “Start With a Website” วิธีนี้คุณสามารถใส่ URL ของเว็บไซต์คู่แข่งลงไปได้
และ Google จะใช้เนื้อหาจากหน้านั้นเพื่อสร้างไอเดียคีย์เวิร์ดให้คุณ
ยอดเยี่ยม
มุ่งเน้นที่คีย์เวิร์ดที่ยังไม่มีคู่แข่งและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
หากคุณเพิ่งเริ่มต้นทำ SEO หรืออยากได้เปรียบเหนือคู่แข่งในหน้าแรก ฉันแนะนำให้มุ่งเน้นไปที่หัวข้อและคีย์เวิร์ดที่กำลังเป็นเทรนด์
ทำไมถึงควรทำแบบนี้?
เพราะคีย์เวิร์ดใหม่ๆ ยังไม่ค่อยมีการแข่งขันสูง (ในตอนนี้)
คุณสามารถค้นหาหัวข้อและคีย์เวิร์ดที่กำลังได้รับความนิยมได้ง่ายๆ ด้วยเครื่องมือฟรีที่ชื่อว่า Exploding Topics
วิธีใช้ก็ง่ายมาก เพียงเข้าไปที่หน้าแรกของเว็บไซต์ แล้วเลือกหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ
จากนั้นเลื่อนดูผลลัพธ์
หากคุณเจอหัวข้อที่ดูเหมาะสม ให้คลิกเข้าไป แล้วคุณจะได้รับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนั้น รวมถึงปริมาณการค้นหารายเดือนโดยประมาณด้วย
หากหัวข้อนั้นดูน่าสนใจและเหมาะที่จะเขียนเกี่ยวกับมัน ให้เพิ่มลงในรายการคีย์เวิร์ดของคุณ แล้วไปยังขั้นตอนถัดไป
2. เลือกคีย์เวิร์ดที่มีมูลค่าสูง
ตอนนี้คุณน่าจะมีรายการคีย์เวิร์ดที่แข็งแกร่งอยู่ในมือแล้ว
แต่คุณอาจสงสัยว่า: “ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเลือกคีย์เวิร์ดไหน?”
ความจริงแล้วไม่มีสูตรวิเศษที่จะบอกได้ว่าคีย์เวิร์ดไหนดีที่สุดในรายการของคุณ
แต่มีเทคนิคที่คุณสามารถใช้เพื่อช่วยเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างรวดเร็ว
และนี่คือสิ่งที่ฉันจะอธิบายให้ละเอียดในตอนนี้!
จัดลำดับคีย์เวิร์ดตามความยาก
ขั้นตอนแรกคือการตรวจสอบระดับความยากของคีย์เวิร์ดแต่ละคำในรายการของคุณ
โชคดีที่เครื่องมือค้นคว้าคีย์เวิร์ดหลักๆ เช่น Semrush หรือ KeywordTool มีคะแนนความยากของคีย์เวิร์ด (Keyword Difficulty Score) ซึ่งคำนวณจากการแข่งขันในหน้าแรก
คุณสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดทีละคำหรือใส่คีย์เวิร์ดสูงสุดถึง 100 คำพร้อมกันได้ในครั้งเดียว
คุณจะเข้าใจว่า Keyword แต่ละคำมีอันดับยาก หรือ ง่าย เพียงใด
คุณสามารถกรองคีย์เวิร์ดส่วนใหญ่ได้โดยพิจารณาจากความยากของคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ของคุณเพิ่งเปิดใหม่ การพยายามทำอันดับด้วยคีย์เวิร์ดที่มีความยากสูงมาก (KD 90+ ขึ้นไป) อาจไม่ใช่แนวทางที่สมเหตุสมผล
มุ่งเน้นไปที่คีย์เวิร์ดที่มีค่า CPC สูง
เมื่อตอนเริ่มต้นค้นคว้าคีย์เวิร์ด ฉันแทบจะไม่สนใจค่า Cost Per Click (CPC) เลย
แทนที่จะสนใจ ฉันกลับเลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงๆ
แต่นั่นกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
แน่นอนว่าฉันสามารถทำอันดับได้ในคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาจำนวนมาก แต่ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะซื้ออะไรเลย ไม่ว่าจะวันนี้หรือในอนาคต
ตอนนี้ ฉันให้ความสำคัญอย่างมากกับ เจตนาทางการค้า (Commercial Intent) และมุ่งเป้าไปที่คีย์เวิร์ดที่มีค่า CPC สูงเป็นพิเศษ
วิธีนี้ช่วยให้ฉันนำเสนอเนื้อหาต่อหน้าผู้คนที่มีแนวโน้มจะซื้อจริง บางทีอาจไม่ใช่วันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่ค่า CPC ที่สูงบ่งบอกว่า คนเหล่านี้มีความตั้งใจเชิงพาณิชย์อย่างแน่นอน
(เพราะถ้าไม่ใช่ คนก็คงไม่ประมูลคีย์เวิร์ดเหล่านั้น)
ดังนั้น ขณะที่คุณตรวจสอบรายการคีย์เวิร์ด อย่าลืมสังเกตคำที่มีค่า CPC สูงๆ ด้วย
อะไรคือ “สูง” หรือ “ต่ำ” ขึ้นอยู่กับกลุ่มธุรกิจของคุณเป็นหลัก เช่น ในกลุ่มการตลาด ค่า CPC ที่ “สูง” อาจอยู่ที่ประมาณ 5 ดอลลาร์ แต่ในกลุ่มการเงินส่วนบุคคล 5 ดอลลาร์ต่อคลิกถือว่าเล็กน้อยมาก
ในขณะที่ในกลุ่มฟิตเนส ค่า CPC 5 ดอลลาร์ถือว่าสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ดังนั้น ฉันไม่แนะนำให้คุณยึดติดกับตัวเลข CPC ที่ตายตัว แต่ฉันขอแนะนำให้คุณเลือกคีย์เวิร์ดที่มีค่า CPC สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มของคุณ
ตัวอย่างเช่น ฉันเขียนโพสต์นี้โดยปรับแต่งให้เหมาะกับคีย์เวิร์ด “link building services” เพราะมันมีค่า CPC ที่สูงมากเป็นพิเศษ
เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาที่มั่นคง
ตอนนี้รายการคีย์เวิร์ดของคุณน่าจะสั้นลงมากเมื่อเทียบกับตอนเริ่มต้น
ซึ่งเป็นเรื่องดี
หลังจากที่คุณโฟกัสไปที่คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำและค่า CPC สูงได้แล้ว ก็ถึงเวลาเลือกชุดคีย์เวิร์ดแรกที่จะใช้สร้างเนื้อหา
ในการเลือกคีย์เวิร์ด คุณควรเน้นคำที่มีปริมาณการค้นหาในแต่ละเดือนที่เหมาะสม
แล้ว “ปริมาณการค้นหาที่เหมาะสม” คือเท่าไร?
เช่นเดียวกับค่า CPC ปริมาณการค้นหาต่อเดือนที่ “ต่ำ” หรือ “สูง” ขึ้นอยู่กับกลุ่มธุรกิจของคุณ
ดังนั้น ฉันแนะนำให้ตรวจสอบตัวเลขปริมาณการค้นหาต่อเดือนในรายการคีย์เวิร์ดของคุณ
คุณจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า “สูง” และ “ต่ำ” สำหรับอุตสาหกรรมของคุณคืออะไร
จากนั้น เลือกคีย์เวิร์ดที่มีการผสมผสานที่ดีที่สุดระหว่าง:
- การแข่งขันของคีย์เวิร์ด
- ค่า CPC
- ปริมาณการค้นหารายเดือน
ตัวอย่างเช่น ในรายการคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพนี้ คีย์เวิร์ด “link building” มีทั้งค่า CPC และปริมาณการค้นหาที่สูง… แต่การแข่งขันนั้นสูงเกินไป
ในทางกลับกัน คีย์เวิร์ดนี้ไม่ได้มีการแข่งขันสูงมาก มีค่า CPC สูง และมีปริมาณการค้นหารายเดือนที่เหมาะสม
แน่นอนว่า คุณไม่จำเป็นต้องตรวจสอบรายการคีย์เวิร์ดของคุณทีละคำแบบนี้ คุณสามารถกรองคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงและปริมาณการค้นหาต่ำมากออกไปได้เสมอ
3. เผยแพร่เนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ค้นหาใน Google
ขั้นตอนที่ 3 คือการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่คุณเพิ่งเลือก
แต่ไม่ใช่แค่เนื้อหาแบบสุ่มๆ เท่านั้น…
มันต้องเป็นเนื้อหาที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ติดอันดับใน Google
และตอนนี้ถึงเวลาที่คุณจะได้เรียนรู้วิธีทำอย่างละเอียด
วิเคราะห์เจตนาในการค้นหาของ Keyword นั้น
เมื่อก่อน เรามักเขียนเนื้อหาที่ คิดเอาเอง ว่าจะติดอันดับบนหน้าแรกของ Google
บางครั้งก็ทายถูก
แต่ส่วนใหญ่ก็ผิด
ทุกวันนี้ เราตัดปัญหาการคาดเดาออกไปหมด
วิธีที่ใช้คือ ก่อนจะลงมือเขียน เราจะหาให้เจอก่อนว่า คนที่ค้นหา Keyword นี้ต้องการอะไรกันแน่
ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเราต้องการติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ด “Local SEO”
สิ่งแรกที่ทำคือ ค้นหาคำนี้ใน Google และวิเคราะห์ผลลัพธ์ในหน้าแรก
(เราให้ความสนใจเป็นพิเศษกับ 3 อันดับแรก เพราะตรงนั้นคือจุดที่มีการคลิกมากที่สุด)
แล้วก็สังเกตเห็นทันทีว่า เนื้อหาส่วนใหญ่ในหน้าแรกเป็น คู่มือ
จากข้อมูลที่ได้ คนที่ค้นหาคำว่า “local SEO” ไม่ได้อยากได้แค่บทความแนะนำ หรือศึกษาจากเคสตัวอย่าง พวกเขาต้องการคู่มือฉบับสมบูรณ์ ที่อธิบายทุกอย่างแบบละเอียด
เขียนเนื้อหาที่ตรงกับเจตนาในการค้นหาของผู้ใช้เป๊ะๆ
เมื่อรู้แล้วว่าความตั้งใจในการค้นหาของคีย์เวิร์ดคืออะไร ก็ถึงเวลาสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์นั้น 100%
ในกรณีของเรา เราทำโพสต์ออกมาเป็น คู่มือฉบับสมบูรณ์
และเพราะโพสต์ของเรา เข้ากันได้ดีกับความตั้งใจในการค้นหาของคีย์เวิร์ด
มันจึงสามารถทะยานขึ้นไปติดอันดับในหน้าแรกของ Google ได้อย่างรวดเร็ว
ทำให้เนื้อหาของคุณให้ดีกว่าของคู่แข่ง 10 เท่า
การสร้างเนื้อหาที่ตรงกับเจตนาของการค้นหาเป็นเพียงแค่ก้าวแรก
แต่ถ้าคุณอยากให้เนื้อหาของคุณติดอันดับเหนือกว่าคู่แข่งในหน้าแรกของ Google เนื้อหาของคุณต้องดีกว่านั้น…
และต้อง ดีกว่า แบบชัดเจน
ใช่แล้ว! นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “10x Content” หรือเนื้อหาที่ดีกว่าเดิม 10 เท่า
แต่คำว่า “ดีกว่า” นั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังแข่งขันกับเนื้อหาแบบไหน
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของโพสต์เกี่ยวกับ Local SEO ที่เราเคยทำ เราทำให้เนื้อหาของเราดีกว่า โดยการเพิ่มภาพกราฟิกที่ออกแบบเอง เพื่อช่วยอธิบายแนวคิดที่เข้าใจยาก
และใส่ตัวอย่างจากชีวิตจริงให้มากกว่าคู่แข่งที่อยู่ในหน้าแรก
4. ปรับเนื้อหาของคุณให้เหมาะกับ UX (ประสบการณ์ผู้ใช้)
ขั้นตอนนี้ เน้นไปที่การทำให้เนื้อหาของคุณอ่านง่าย สแกนง่าย และเข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่คุณจะเขียนหัวข้อและคำอธิบาย ที่ดึงดูดให้คนอยากคลิก แม้ว่าคุณจะยังไม่ติดอันดับที่ 1 ก็ตาม
งั้นมาเริ่มกันเลย!
เขียน Title Tag ให้โดดเด่น
เมื่อคนค้นหาข้อมูลใน Google พวกเขามักจะเลือกคลิกจาก Title Tag ที่น่าสนใจที่สุด
ถ้าคุณเขียนหัวข้อที่โดดเด่นและน่าสนใจ คุณก็สามารถดึงดูดคลิกได้มากมาย (แม้เว็บไซต์ของคุณจะอยู่อันดับล่างกว่าคู่แข่งก็ตาม)
วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบว่า Title ของคุณน่าสนใจหรือไม่ คือใช้เครื่องมือฟรีอย่าง CoSchedule Headline Analyzer
เพียงแค่ใส่หัวข้อของคุณลงไปในเครื่องมือ…
แล้วคุณจะได้คะแนนพร้อมคำแนะนำแบบละเอียด
ดึงดูดผู้เข้าชมจาก Google ได้ตั้งแต่แรกเห็น
เมื่อมีคนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณจากผลการค้นหา แล้วคลิกกลับไปที่ Google ทันที นั่นถือเป็นสัญญาณไม่ดีต่อ Google ว่าเนื้อหาของคุณอาจไม่เหมาะสม
ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ Google อาจลดอันดับของคุณลงได้
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือคุณต้อง ดึงดูดใจคนอ่านตั้งแต่วินาทีแรก ที่พวกเขาเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ
อย่าเริ่มต้นด้วยการแสดงภาพสต็อกขนาดใหญ่ ที่กินพื้นที่ด้านบนทั้งหมดของหน้าเว็บ
ให้เน้นการใส่ เนื้อหานำ ที่อยู่ตรงจุดสำคัญให้คนอ่านเห็นได้ทันที เช่นตัวอย่างนี้
ใช้ฟอนต์ขนาดใหญ่
ขนาดฟอนต์ถือเป็นส่วนสำคัญที่มักถูกมองข้ามในการทำเนื้อหาที่ดี
เราแนะนำให้ใช้ฟอนต์สำหรับเนื้อหาหลัก ที่มีขนาด อย่างน้อย 15px หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ลองใช้ขนาด 17px หรือ 18px ดู
ขนาดฟอนต์ที่ใหญ่พอทำให้เนื้อหาของคุณอ่านง่าย ไม่ว่าผู้ใช้จะใช้อุปกรณ์แบบไหนก็ตาม
เมื่อคุณใช้ฟอนต์ขนาด 15px ขึ้นไป คนอ่านจะไม่ต้องเพ่งหรือซูมเข้า-ออกเพื่ออ่านเนื้อหา
เว็บไซต์อย่าง Medium.com เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการใช้ฟอนต์ขนาดใหญ่ที่อ่านง่ายและสบายตา
แบ่งเนื้อหาให้เป็นส่วนๆ
พูดง่ายๆ คืออย่าเขียนเนื้อหาแบบยาวเป็นกำแพงข้อความใหญ่ๆ แบบนี้:
ให้แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ แยกย่อย แบบนี้:
การจัดเนื้อหาแบบนี้ทำให้คนอ่านสามารถสแกนดูหน้าเว็บของคุณได้ง่าย และหยิบประเด็นสำคัญที่พวกเขากำลังมองหาได้ทันที
จากประสบการณ์ของเรา การทำแบบนี้จะยากมาก ถ้าคุณเขียนเนื้อหาจบไปแล้ว
เพราะฉะนั้น แนะนำอย่างยิ่งให้เริ่มต้นจาก การสร้างโครงร่างเนื้อหาที่ละเอียดก่อน
เมื่อคุณมีโครงร่างที่ชัดเจนแล้ว ส่วนสำคัญต่างๆ จะถูกจัดเรียงเรียบร้อย สิ่งที่คุณต้องทำต่อก็แค่เติมเนื้อหาในช่องว่างที่เหลือ
และถ้าคุณต้องการตัวช่วยในการสร้างโครงร่างดีๆ เราขอแนะนำ คู่มือการเขียนบล็อกโพสต์ ของเรา ในคู่มือนี้จะมีเทมเพลตโครงร่าง 5 แบบที่ช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงได้ง่ายขึ้นกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์
5. ใช้แนวทาง On-Page SEO ที่ดีที่สุด
ขั้นตอนที่ 5 ในการทำ SEO คือการปรับเนื้อหาของคุณให้เหมาะสมกับคีย์เวิร์ด
หลายๆ บทความเกี่ยวกับ SEO มักจะให้คุณทำขั้นตอนนี้ตั้งแต่ต้น แต่จากประสบการณ์ของเรา การโฟกัสไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพดี ก่อน แล้วค่อยปรับแต่งคีย์เวิร์ดทีหลัง เป็นวิธีที่ได้ผลกว่า
ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถทุ่มเท 100% ไปที่การสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคีย์เวิร์ด, H2 tags, alt text และเรื่องอื่นๆ ของ On-Page SEO
และในขั้นตอนนี้ เราจะสอนคุณว่า จะปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับ SEO ในปี 2025 อย่างไร
ใส่คีย์เวิร์ดของคุณไว้ในช่วงต้นของหน้าเว็บ
นี่เป็นเคล็ดลับ SEO ง่ายๆ แต่ได้ผล ที่เราพบเจอ
คุณแค่ใส่คีย์เวิร์ดหลักของคุณไว้ในช่วง 100 คำแรกของหน้า
(ถ้าเป็นไปได้ ควรอยู่ในประโยคแรกๆ เลย)
ทำไมวิธีนี้ถึงได้ผล?
จากการทดสอบของเรา Google ให้ความสำคัญกับคำและวลีที่ปรากฏในช่วงต้นของหน้าเว็บมากกว่า
ดังนั้น การใส่คีย์เวิร์ดของคุณตั้งแต่แรกช่วยเน้นให้ Google รู้ว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวกับหัวข้อนั้น
ใส่คีย์เวิร์ดหลักใน URL ของคุณ
เมื่อไม่กี่ปีก่อน Google เคยบอกว่าการใส่คีย์เวิร์ดใน URL เป็นปัจจัยที่มีผลกับอันดับ เล็กน้อย
และจากการทดลองของเรา การใส่คีย์เวิร์ดใน URL ก็ช่วยเพิ่มอันดับได้บ้าง แม้จะไม่มาก แต่ก็ถือว่าได้ผล
เพราะคำที่อยู่ใน URL จะเป็นเหมือน ภาพรวมระดับสูง ของเนื้อหาบนหน้านั้น ตัวอย่างเช่น ในบทความ คู่มือการตลาดผ่านอีเมล ของเรา เราตั้ง URL เป็น /email-marketing-guide
ซึ่งบอก Google ว่าเนื้อหาของฉันเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนั้น
URL ที่มีคีย์เวิร์ดช่วยเพิ่มโอกาสการคลิก (CTR) แม้ว่า Google อาจไม่ได้ใช้คำใน URL เพื่อตัดสินหัวข้อของหน้าเว็บโดยตรง แต่จากการศึกษาล่าสุดในอุตสาหกรรมพบว่า URL ที่มีคีย์เวิร์ดช่วยเพิ่ม อัตราการคลิก (CTR) จากผลการค้นหา
เพราะตอนนี้ URL ของคุณจะปรากฏ เหนือหัวข้อ ในผลการค้นหา
ดังนั้น มันจะเป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้งานเห็นจากหน้าสรุปผลการค้นหา (Snippet) และถ้า URL ของคุณมีคีย์เวิร์ดที่พวกเขากำลังมองหา พวกเขาจะคิดว่า “ใช่เลย! หน้านี้มีสิ่งที่ฉันต้องการ” และพวกเขาจะคลิก!
แทรกคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ คีย์เวิร์ดหลัก
คำหลักที่เกี่ยวข้องบางครั้งเรียกว่า “LSI Keywords”
โดยพื้นฐานแล้ว คำเหล่านี้มักจะ “ปรากฏขึ้น” ร่วมกับคำหลักเป้าหมายของคุณ
ตัวอย่างเช่น ลองดูโพสต์นี้จากเว็บไซต์ของเรา “Local SEO: The Definitive Guide”
อย่างที่คุณคงเดาได้ คำหลักที่ฉันพยายามจะให้ติดอันดับด้วยโพสต์นี้คือ “Local SEO”
ดังนั้น นอกจากการใช้คำศัพท์นั้นหลายๆ ครั้งในหน้าของฉันแล้ว (จะพูดถึงเรื่องนั้นต่อไป) ฉันยังได้เพิ่มคำหลักที่เกี่ยวข้องบางคำลงในหน้าด้วย
ด้วยวิธีนี้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ จะเห็นว่าหน้าเว็บของเราครอบคลุมหัวข้อนั้นอย่างละเอียด
คุณสามารถค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องได้ง่ายๆ โดยใช้ Google Images
เพียงแค่พิมพ์คำหลักที่คุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับค้นหา
และลองดูแท็กเล็กๆ ที่ Google แนะนำ
นี่คือคำและวลีที่ Google เห็นว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับคำค้นหาที่คุณเพิ่งค้นหา และหากคุณใช้คำเหล่านี้ในเนื้อหาของคุณบ้าง ก็จะช่วยให้ Google เข้าใจหัวข้อของหน้าเว็บของคุณได้ดียิ่งขึ้น
ใช้ลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก
ลิงก์ภายใน Internal links สามารถ ช่วยปรับปรุง SEO ของคุณได้ ถ้าคุณใช้มันอย่างถูกต้อง
กุญแจสำคัญคือ การเพิ่มลิงก์ภายในไปยังหน้าเว็บไซต์ที่สำคัญที่สุดของคุณ ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น คู่มือการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นหนึ่งในหน้าเว็บไซต์ที่สำคัญที่สุดของเรา (ทำไม? เพราะมีปริมาณการค้นหาค่อนข้างดี และมีราคาต่อคลิกสูง)
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผมพูดถึงเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับข่าวประชาสัมพันธ์ ผมจะใส่ลิงก์ภายในไปยังหน้านั้น
นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้ใส่ลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องด้วยนะครับ เพราะมีการทดลองเกี่ยวกับ SEO พบว่า การทำแบบนี้ส่งผลโดยตรงต่ออันดับของ Google เลย
สมัยก่อน ผู้คนจะคำนวณ “ความหนาแน่นของคำหลัก” กันอย่างจริงจัง คือ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนครั้งที่คำหลักนั้นปรากฏในเนื้อหาทั้งหมดของหน้าเว็บ
(ผมเองก็เคยทำแบบนั้นเหมือนกัน สมัยนั้นผมยังเด็กอยู่… ละอ่อน)
ปัจจุบัน: Google อาจจะไม่ได้ใช้ความหนาแน่นของคำหลักเป็นตัววัดหลักอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะลืมใช้คำหลักเป้าหมายในหน้าเว็บของคุณไปเลย มันยังคงมีความสำคัญอยู่
แต่แทนที่จะกังวลเรื่องความหนาแน่นของคำหลัก เราแนะนำให้เน้นไปที่ “ความถี่ของคำหลัก” มากกว่า คือ จำนวนครั้งที่คำหลักของคุณปรากฏในหน้าเว็บของคุณ
ตัวอย่างเช่น ในหน้าเว็บไซต์ของผมที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะสมกับคำค้นหา “SEO best practices”
หน้าเว็บนั้นมี 3,091 คำ แต่ผมใช้คำหลักเป้าหมายเพียง 10 ครั้งเท่านั้น ซึ่งเป็นความหนาแน่นของคำหลักที่ต่ำมาก (.003%)
แต่เนื่องจากคำหลักของผมซ้ำกัน 10 ครั้ง ความถี่ของคำหลักของผมจึงเท่ากับ 10
ซึ่งเพียงพอสำหรับ Google ที่จะเข้าใจว่าหน้าเพจของเราเกี่ยวกับคำหลักนั้นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำหลักเดียวกันนั้นปรากฏอยู่ใน URL และแท็ก Title ของหน้าเพจของเราด้วย
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ SEO บนหน้าเว็บ
ถ้าคุณต้องการให้มั่นใจจริงๆ ว่าหน้าเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับแต่ง SEO อย่างเหมาะสม ผมแนะนำให้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ SEO บนหน้าเว็บ
เราชอบใช้ On-Page SEO Checker จาก SEMrush เป็นการส่วนตัว
เครื่องมือนี้จะสแกนเนื้อหาของคุณเพื่อหาปัญหา SEO (เช่น ปัญหาทางเทคนิคพื้นฐาน และตรวจสอบว่าเนื้อหาของคุณถูกปรับแต่ง SEO มากเกินไปหรือไม่)
แต่ยังมีส่วน “Semantic” ที่น่าสนใจ ซึ่งจะให้รายการคำหลัก LSI ที่คุณสามารถใช้ในเนื้อหาของคุณ
ถ้าคุณต้องการยกระดับการปรับแต่งเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Clearscope
เครื่องมือนี้จะวิเคราะห์ 30 ผลลัพธ์อันดับต้นๆ ของ Google เพื่อค้นหาคำศัพท์ที่ปรากฏบ่อยที่สุดในเนื้อหาที่มีอันดับสูง
จากนั้น คุณสามารถตรวจสอบเนื้อหาของคุณกับรายการคำศัพท์นั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้คำศัพท์เหล่านั้นในบทความของคุณด้วย
6. โปรโมทเนื้อหาของคุณ
การโปรโมทเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญของ SEO ที่ถูกมองข้ามไปมาก
จากประสบการณ์ของเรา ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนมักจะใช้แนวทาง “เผยแพร่แล้วภาวนา” ในการทำ SEO และการตลาดเนื้อหา กล่าวคือ พวกเขาเผยแพร่เนื้อหา แล้วก็หวังว่าจะมีคนแชร์
ความจริงแล้ว เว้นแต่คุณจะมีผู้ชมจำนวนมากอยู่แล้ว คุณจำเป็นต้องขยันขันแข็งในการเผยแพร่เนื้อหาใหม่ของคุณ และในส่วนนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการดึงดูดความสนใจให้กับเนื้อหาของคุณ
การโปรโมทบนโซเชียลมีเดียที่ถูกต้อง
โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่ดีในการโปรโมตเนื้อหาหรือไม่?
ใช่แล้ว… ถ้าคุณทำถูกวิธี
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่เพียงแค่สแปมลิงก์บน Twitter… แล้วก็สงสัยว่าทำไมไม่มีใครคลิกเลย
(ผมไม่ได้ตัดสินนะครับ ผมก็เคยทำแบบนั้นเหมือนกัน)
ถ้าคุณต้องการให้คนเห็นโพสต์ของคุณบนโซเชียลมีเดีย คุณต้องหลีกเลี่ยงอคติของอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียที่มีต่อลิงค์
คุณคงทราบดีว่า เว็บไซต์โซเชียลมีเดียต้องการโปรโมต “เนื้อหาภายในแพลตฟอร์ม” (Native Content) นั่นคือ เนื้อหาที่สร้างขึ้นภายในแพลตฟอร์มของพวกเขาเอง และที่สำคัญที่สุด พวกเขาชอบโพสต์ที่ทำให้ผู้ใช้ยังคงอยู่บนแพลตฟอร์มของพวกเขาต่อไป
ซึ่งหมายความว่า คุณควรเพิ่มเนื้อหาภายในแพลตฟอร์มบางส่วนลงในโพสต์โซเชียลมีเดียของคุณ เมื่อคุณทำเช่นนั้น การเข้าถึงแบบออร์แกนิกของคุณจะสูงขึ้นมาก
มาดูตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ กัน
เมื่อไม่นานมานี้ ผมต้องการโปรโมทการศึกษาในอุตสาหกรรมของเรา แต่แทนที่จะโพสต์แค่ชื่อเรื่องและลิงก์ ผมได้รวมสรุปสั้นๆ ของสิ่งที่เราพบในทวีตด้วย
ซึ่งทำให้ทวีตนั้นได้รับคลิกมากกว่าทวีตปกติของผมถึง 5 เท่าเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอัลกอริทึมของทวิตเตอร์ แต่ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของทวีตนี้มาจากเนื้อหาที่น่าสนใจภายในตัวทวีตเอง ทำให้ผู้คนสามารถรีทวีตได้โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปดูโพสต์เดิม
ผมก็ทำแบบเดียวกันกับ Facebook และ LinkedIn ด้วย แทนที่จะโพสต์แค่ลิงก์ ผมจะเขียนเรื่องราวที่น่าสนใจสักเล็กน้อยก่อน
แบบนั้น ผมก็จะได้ป้อนคอนเทนต์ที่เป็นธรรมชาติให้กับอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย
ซึ่งจะนำไปสู่การที่โพสต์แต่ละอันของผมมีคนเข้ามาดูเป็นจำนวนมาก
…และที่สำคัญกว่านั้น คือ ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ที่สูงมาก
การคัดสรรเนื้อหา (Content Curation) ช่วยเพิ่มการค้นพบเนื้อหาของคุณ
การคัดสรรเนื้อหาเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการให้ผู้คนรู้จักกับเนื้อหาที่คุณเผยแพร่ไปแล้วในอดีต
(โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณคัดสรรเนื้อหาที่ดีจากเว็บไซต์อื่นด้วย)
ตัวอย่างเช่น หนึ่งในเป้าหมายของคู่มือการเรียนรู้ SEO ของผมคือการโปรโมทโพสต์เก่าๆ บางส่วน โพสต์ที่ผู้ชมส่วนใหญ่ยังไม่เคยอ่านมาก่อน
นี่คือเหตุผลที่ผมได้รวมแหล่งข้อมูลเก่าๆ จำนวนมากจากบล็อก Backlinko ไว้ในคู่มือนี้
การติดต่อสื่อสารแบบขออนุญาต
ตอนเริ่มต้นทำอีเมล messages ผมเคยส่งอีเมลจำนวนมากไปยังผู้คนมากมายโดยไม่สนใจอะไรเลย
แต่ตอนนี้ ผมระวังมากขึ้นว่าจะส่งอีเมลไปให้ใคร และส่งอย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมเริ่มใช้วิธีที่เรียกว่า “การติดต่อสื่อสารแบบขออนุญาต”
วิธีการทำงานมีดังนี้:
ขั้นแรก ค้นหาคนที่สนใจหัวข้อเนื้อหาของคุณอย่างแท้จริง
หมายเหตุ: ไม่ใช่คนที่พูดถึงหัวข้อของคุณเพียงครั้งเดียวในบล็อกโพสต์เมื่อ 18 ปีที่แล้ว คุณกำลังมองหาคนที่เขียนเกี่ยวกับหัวข้อของคุณอย่างสม่ำเสมอ
คุณสามารถค้นหาบุคคลเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายโดยใช้ฟีเจอร์ที่ถูกมองข้ามใน BuzzSumo ที่เรียกว่า “Influencers”
ในการใช้งาน ค้นหาคำหลักที่อธิบายถึงเนื้อหาของคุณ
และ BuzzSumo จะแสดงให้คุณเห็นถึงคนที่มักจะเขียนเกี่ยวกับหัวข้อเดียวกันนี้ในบล็อกของพวกเขา
จากนั้น ให้ส่งอีเมลขออนุญาตไปยังเจ้าของเว็บไซต์ โดยใช้รูปแบบประมาณนี้
อีเมลนี้แจ้งให้บุคคลนั้นทราบว่า คุณมีโพสต์เกี่ยวกับหัวข้อที่พวกเขาสนใจ (หรือเพิ่งเผยแพร่ไปแล้ว) แทนที่จะส่งลิงค์ให้พวกเขาโดยตรง คุณถามพวกเขาก่อนว่าสนใจดูหรือไม่
และเมื่อพวกเขาตอบว่า “สนใจ” คุณจึงส่งลิงค์ของคุณไปให้
แปลเป็นภาษาไทยที่เข้าใจง่าย:
ถ้าโพสต์ของคุณน่าสนใจและเข้ากับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา คุณจะพบว่าหลายคนที่คุณส่งอีเมลไปหาจะยินดีที่จะแชร์โพสต์ของคุณกับกลุ่มคนที่พวกเขารู้จัก
7. สร้าง Backlinks ให้เว็บไซต์ของคุณ
ตอนนี้คุณได้โปรโมทเนื้อหาของคุณไปแล้ว และหวังว่าจะมีคนแชร์ออกไปบ้าง
ตอนนี้ เนื้อหาของคุณเริ่มมีคนพูดถึงบ้างแล้ว ถึงเวลาเริ่มทำงานจริงจัง: การสร้างลิงก์ย้อนกลับ
นี่คือสิ่งที่ขั้นตอนนี้เกี่ยวกับ: กลยุทธ์ SEO สีขาวบางอย่างที่คุณสามารถใช้เพื่อสร้างลิงก์ย้อนกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
8. ติดตามและปรับปรุง SEO ทางเทคนิคของคุณ
ต่อไป ถึงเวลาที่จะต้องทำงานเกี่ยวกับ SEO ทางเทคนิคของเว็บไซต์ของคุณ
โดยเฉพาะ คุณต้องการหาปัญหา แก้ไขข้อผิดพลาด และปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับ SEO
และในขั้นตอนนี้ เราจะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณต้องทำอย่างไร
ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณหาปัญหาด้าน SEO
ซึ่ง คุณสามารถทำการตรวจสอบเว็บไซต์สำหรับ SEO ด้วยตัวเองได้
จริงๆ แล้ว มีเครื่องมืออย่าง Screaming Frog ที่ช่วยให้คนที่อยากทำการตรวจสอบเว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง ทำได้ง่ายๆ
เครื่องมือพวกนี้เป็นเครื่องมือที่ดี… ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO อยู่แล้ว!แต่มันจะยากสำหรับคนที่ยังไม่เคยใช้งาน
แต่ปัญหาของเครื่องมืออย่าง Screaming Frog คือมันไม่เจาะลึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หรือวิธีการแก้ไขเลย มันแค่ให้ข้อมูลพื้นฐาน (เช่น ประเภทของข้อผิดพลาด) เท่านั้น! ทำให้คุณต้องเสียเวลาไปหาวิธีแก้ไขเอง!
นั่นคือเหตุผลที่เราแนะนำให้ใช้เครื่องมือ SEO ที่ใช้งานง่ายกว่านี้ เช่น ฟีเจอร์การตรวจสอบเว็บไซต์ใน Semrush หรือเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อการตรวจสอบ SEO โดยเฉพาะอย่าง Raven Tools! มันใช้งานง่ายและช่วยให้เข้าใจปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น!
ไม่ว่าจะเลือกใช้เครื่องมือไหน ทุกตัวก็ทำงานได้เหมือนกันแทบทั้งนั้น! ทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและจัดการกับปัญหา SEO ได้ง่ายขึ้น
แค่ใส่โดเมนของคุณลงไป… แล้วเครื่องมือจะทำการสแกนเว็บไซต์ของคุณหาปัญหาด้าน SEO ทางเทคนิคให้เอง
และขึ้นอยู่กับเว็บไซต์ของคุณ คุณอาจพบปัญหาต่างๆ เช่น เนื้อหาซ้ำ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ การตั้งค่า robots.txt และอื่นๆ อีกมากมาย! อาจจะทำให้คุณตกใจว่าเว็บมีปัญหาเยอะ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการแก้ไขและพัฒนาให้เว็บไซต์ของคุณดีขึ้น!
เมื่อปัญหาพวกนั้นได้รับการแก้ไขแล้ว ก็ถึงเวลาไปที่ Google Search Console กันแล้ว ซึ่งจะได้เห็นปัญหาและพัฒนาเว็บไซต์ได้ตรงจุด
หาปัญหาการจัดทำดัชนีใน Google Search Console
ให้ไปที่ รายงาน Coverage
ถ้าคุณเห็นหน้าเว็บที่ขึ้นว่า ‘Errors’ แนะนำให้แก้ไขโดยด่วน
อาจจะต้องเช็คดู Sitemap ด้วย
ถ้าสถานะที่นี่ขึ้นว่า ‘Success’ ก็แสดงว่าทุกอย่างออกมาดีพอสมควร
แนะนำให้คุณเช็ครายงาน ‘Sitemap’ ด้วยตัวเองอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกหน้าของเว็บไซต์คุณถูกระบุไว้ครบถ้วน
สุดท้ายนี้ จะต้องดูรายงาน ‘Mobile Usability’ ด้วย
สำหรับกรณีในภาพด้านล่าง ทุกหน้าจะขึ้นว่า ‘Mobile-friendly’ ทั้งหมด
แต่ถ้าคุณเจอปัญหาอะไรที่แสดงอยู่ใต้ ‘Details’ แนะนำแก้ไขให้เร็วที่สุด
ตอนนี้ที่กูเกิลใช้ดัชนีแบบ mobile-first แล้ว ปัญหากับการใช้งานบนมือถือของเว็บไซต์คุณอาจจะส่งผลกระทบต่ออันดับได้เลย
ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณให้ดีขึ้น
หากแก้ไขปัญหาด้าน Seo เรียบร้อยแล้ว ควรตั้งค่าโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับ SEO ให้เรียบร้อย
โครงสร้างเว็บไซต์ของคุณสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์แบบไหนก็ตาม
แต่ถ้าคุณดูแลเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (หรือเว็บไซต์ที่มีหน้าเกิน 10,000 หน้า) โครงสร้างเว็บไซต์ถือว่าสำคัญมาก
เป้าหมายระดับสูงของคุณคือการทำให้เว็บไซต์ของคุณ “แบน” ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คุณต้องการให้ทุกหน้าของคุณอยู่ห่างจากหน้าแรกประมาณ 3 คลิก
ตัวอย่างเช่น หากคุณไปที่เว็บไซต์ของ PetSmart จะใช้เวลาเพียง 3 คลิกในการไปยังหน้าผลิตภัณฑ์จากหน้าแรกของพวกเขา
คุณจะต้องไปปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ของตัวเองให้เป็นแบบนี้
บทสรุป
เราหวังว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ซึ่งก็มีเนื้อหามากมาย ที่คุณต้องลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ หากคุณต้องการแก้ไขปัญหาในด้าน SEO ในด้านใดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถาม หรือ ปรึกษาปัญหา Seo กับเราได้ฟรี