วิธีสร้าง Link building อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสักนิดสำหรับหลายคน เนื่องจากจะต้องใช้เวลามาก รวมถึงยังอาจจะต้องใช้ทรัพยากรและเงินเป็นจำนวนมาก แต่หากทำได้สำเร็จจะส่งผลดีต่อการทำเว็บไซต์รวมถึงการทำ SEO อย่างมากเช่นกัน
ดังนั้นหากคุณต้องการ Backlinks ที่มีคุณภาพสูง แต่ไม่ยากเสียเวลา ในบทความนี้ราจะพาคุณไปรู้จักกับ 7 วิธีเชื่อมโยงลิงก์ ที่ได้ผลดีที่สุดในตอนนี้
ตัวช่วยที่จะทำให้คุณประหยัดเวลาในการทำ แถมยังมีเวลาทำอย่างอื่นต่อ แต่คุณภาพที่จะได้กลับมีประสิทธิภาพที่สูงอีกด้วย
**หมายเหตุ
การสร้างลิงก์ควรเน้นที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ จริงๆแล้ว Backlinks ที่ไม่ได้คุณภาพอาจส่งผลกระทบต่อการทำ SEO และอาจทำให้อันดับของเว็บไซต์หายไปได้ง่ายๆ
ดังนั้น เราจึงจะเริ่มต้นด้วยการแนะนำแบล็คลิงก์ที่คุณไม่ควรลองใช้ หากคุณไม่อยากอันดับตกลงไป รวมถึงยังไม่อยากโดนแบนจากทาง Google มาดูกันว่า วิธีสร้างแบล็คลิงก์ที่ไม่ควรทำมีอะไรบ้าง
5 วิธีสร้าง Blacklink ที่ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด
ทุกอย่างที่อยู่บน Fiverr / ตัวเลือกราคาถูก
เมื่อพูดถึง Fiverr หลายคนอาจมองว่าเป็น วิธีสร้าง Blacklink ที่ดีและมีคุณภาพ แต่จริงๆแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คิด มีการทดสอบการซื้อแบล็คลิงก์จาก Fiverr ถึง 855 ครั้ง แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นไปตามที่หวังเอาไว้
เนื่องจากการซื้อลิงก์บางครั้ง กลับส่งผลดีกับเว็บไซต์
แต่สำหรับในปีที่ผ่านมา การซื้อลิงก์กลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เครือข่ายบล็อกส่วนตัว (PBNs)
การใช้เครือข่าวบล็อกส่วนตัว (PBNs) เป็นตัวเลือกที่หลายคนชื่นชอบและใช้เป็นจำนวนมาก
รวมถึงการซื้อลิงก์จาก PBN ของคนอื่นก็ส่งผลดีอย่างมาก
แต่หลังจากปี 2017 ดูเหมือนว่าการใช้งาน PBNs กลับได้ผลน้อยลง เมื่อ Google เริ่มเข้มงวดมากขึ้น
จนปัจจุบันอัลกอริธึมของ Google กรองลิงก์จาก PBN ออกไปเป็นจำนวนมาก
รวมถึง Google ยังลบ PBN ที่ถูกจับตามองออกจากการวัดค่าดัชนีอีกด้วย
(ซึ่งหมายความว่า ลิงก์ที่คุณเพิ่งซื้อมาก็ไม่มีค่าอะไรเลย)
นำบทความไปเผยแพร่ยังเว็บไซต์อื่นๆ
Paid Guest Posts การโพสต์บทความยังเว็บไซต์อื่นๆ เช่นการ โพสต์บทความในบล็อก เพื่อนำไปเผยแพร่บนเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อรับแบล็คลิงก์กลับมา
แต่สิ่งนี้ไม่รวมถึงลิงก์จากการโพสต์บทความแขกที่ต้องจ่ายเงิน
ทำไมล่ะ ?
มี 2 เหตุผลหลักดังนี้
1 : เว็บไซต์ที่ต้องการให้จ่ายเงินสำหรับการโพสต์มักจะไม่น่าเชื่อถือ
คุณคิดว่าเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถืออย่าง TechCrunch หรือ Mashable จะขอให้คุณจ่าย 50 ดอลลาร์เพื่อเผยแพร่บทความของคุณไหม ?
แน่นอนว่าไม่!!!
2 : ลิงก์ที่ต้องจ่ายเงินขัดกับแนวทางของ Google
เมื่อพูดถึงการสร้างลิงก์ นั่นหมายความว่า การจ่ายเงินสำหรับการ “โพสต์บทความ” หรือ “การรีวิวเนื้อหา” อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณโดนลงโทษ
“ลิงก์ปุ่มแบล็คลิงก์” (Push Button Backlinks)
การทำปุ่มด้วยวิธีเหล่านี้
- Blog comments
- Article directories
- Web 2.0 sites
- Directories
ถ้าคุณซื้อลิงก์ 100+ ลิงก์ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว หมายความว่าคุณกำลังซื้อลิงก์ที่เป็นสแปม
นั่นคือเหตุผลที่เราแนะนำให้หลีกเลี่ยง “การซื้อลิงก์”
การประชาสัมพันธ์ (Press Releases)
การโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์เคยได้ผลดีมากในการสร้างแบล็คลิงก์ เคยได้ผลดีอย่างมากในอดีต
ปัจจุบัน ลิงก์ส่วนใหญ่ที่ทำโฆษณาจะถูกทำเป็น nofollow
และที่แย่กว่านั้น Google ยังออกมาบอกว่า การทำแบล็คลิงก์แบบนี้ไม่ได้ผล
ลิงก์ SEO เชิงลบ (Negative SEO links)
SEO เชิงลบ คือ การทำให้เว็บไซต์อื่นๆเสื่อมเสียรวมถึงการให้ข้อมูลเชิงลบกับเว็บไซต์คู่แข่ง
รวมถึงการแฮ็ก , การสแปมไซต์ด้วยลิงก์ รวมถึง SEO Strategy วิธีอื่นๆ
แม้ว่าการทำกิจกรรมดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย แต่หากปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ Google การกระทำดังกล่าวก็จะไม่ส่งผลกระทบกับเว็บไซต์ของคุณ
*สิ่งสำคัญ ควรตรวจสอบแบล็คลิงก์ของคุณเป็นประจำ เพื่อกำจัดลิงก์ที่ไม่ได้คุณภาพ เนื่องจากการทำเอสอีโอที่ไม่เป็นธรรมชาติ อาจถูกมองเป็นสแปมและอาจทำให้อันดับเว็บไซต์ตกลงไป
7 วิธีสร้าง Link Building ที่มีคุณภาพ
1. Featured
Featured คือ แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน นักข่าว ผู้เผยแพร่เนื้อหาและคำถามที่มีคุณภาพ
และหากคุณกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพ เว็บไซต์ของคุณจะได้แบล็คลิงก์ที่มีคุณภาพกลับมา
มันทำงานอย่างไร
ขั้นแรก ลงทะเบียนเป็นแหล่งข้อมูลในเว็บไซต์ Featured
เมื่อคุณทำการลงทะเบียนแล้ว คุณจะได้รับการเข้าถึงแดชบอร์ดที่มี “คำถาม” ต่าง ๆ
คำถามเหล่านี้คือการอ้างอิง, สถิติ, กลยุทธ์ หรือกรณีศึกษาที่ ที่ต้องการใช้เพื่อทำให้เรื่องราวของพวกเขาสมบูรณ์
สิ่งที่คุณต้องทำคือการตอบคำถามเหล่านั้นด้วยข้อมูลที่ใช้ได้จริง…
ค่าใช้จ่าย
แผนบริการมีให้เลือกตั้งแต่ฟรีไปจนถึง $199/เดือน
หากคุณต้องการตอบคำถามเป็นครั้งคราว แนะนำให้เลือกแผนฟรี
แต่ถ้าคุณจริงจังในการได้รับการเผยแพร่ข้อมูล เราแนะนำให้ลองใช้แผนแบบจ่ายเงิน
แผนแบบจ่ายเงินมาพร้อมฟีเจอร์เจ๋งๆ เช่น การเข้าถึงคำตอบไม่จำกัด, ได้รับการสนับสนุนพิเศษจากเว็บไซต์ , และตัวกรองการให้คะแนนโดเมน
ข้อดี
- คุณสามารถได้รับลิงก์ที่ยอดเยี่ยมจากเว็บไซต์ข่าวและบล็อกที่มีชื่อเสียง เช่น ได้รับลิงก์จาก Entrepreneur (Domain Authority 92) จากการตอบคำถามใน HARO
- เมื่อเทียบกับการทำ SEO การสร้างลิงก์อื่น ๆ Featured ราคาถูกมาก
- ลิงก์ส่วนใหญ่ที่คุณได้รับมาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับลิงก์แบบ Black Hat หรือเสี่ยงจากการโดน Google ลงโทษ
- เป็น วิธีสร้าง Link Building ที่เริ่มทำได้ในทันที เนื่องจากมีขั้นตอนการใช้งานที่ง่ายมากๆ
ข้อเสีย
- การตอบคำถามใน Featured เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายาม ถ้าคุณต้องการโอกาสที่จะได้ Featured บนเว็บไซต์ใหญ่ ๆ คุณต้องติดตามคำถามและตอบทันที
- ลิงก์ส่วนใหญ่ที่คุณได้รับจาก Featured จะชี้ไปที่หน้าแรกของเว็บไซต์คุณ ซึ่งหมายความว่า นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการสร้างลิงก์ไปยังหน้าเว็บภายใน (เช่น หน้าบริการหรือโพสต์ของบทความภายในเว็บไซต์)
2. เอเจนซี่ประชาสัมพันธ์ดิจิทัล (Digital PR Agency)
คืออะไร?
เป็นเอเจนซี่ที่มุ่งเน้นให้บริษัทของคุณ ได้รับการกล่าวถึงในสื่อและข่าวสารต่างๆ
ทำงานอย่างไร?
- เอเจนซี่ PR จะทำงานร่วมกับคุณ เพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ และสามารถนำไปเสนอให้กับสื่อมวลชนได้
- เรื่องราวอาจเป็น ผลิตภัณฑ์ของคุณ (หากมีความน่าสนใจเพียงพอ) หรือ เนื้อหาที่คุณเผยแพร่บนเว็บไซต์ เช่น งานวิจัยอุตสาหกรรม (Industry Study)
ค่าใช้จ่าย
- เอเจนซี่ PR ส่วนใหญ่ คิดค่าบริการแบบรายเดือน (Monthly Retainer)
- หากเป็นเอเจนซี่ที่ทำงานกับธุรกิจขนาดเล็ก ราคาจะอยู่ที่ประมาณ $2,000 – $15,000 ต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม มีนักประชาสัมพันธ์บางรายที่ ขายแพ็กเกจแบบชำระครั้งเดียว เช่น ชุดสื่อประชาสัมพันธ์ (Press Kits)
ข้อดี (Pros):
- ได้ลิงก์คุณภาพสูงมาก – หากแคมเปญ PR ประสบความสำเร็จ คุณอาจได้รับลิงก์จากเว็บไซต์ชั้นนำ เช่น Forbes หรือ Fast Company
- เอเจนซี่ทำงานหนักแทนคุณ – การติดต่อและนำเสนอเรื่องราวให้กับนักข่าวเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่เอเจนซี่จะจัดการให้ทั้งหมด
- เข้าถึงเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว – เอเจนซี่ PR ส่วนใหญ่มี คอนเนคชั่นกับเว็บไซต์ข่าวใหญ่ๆ ที่สามารถใช้ในการช่วยให้คุณได้รับการเผยแพร่
ข้อเสีย (Cons):
- ไม่ได้เน้นที่ลิงก์โดยตรง – เอเจนซี่ PR มักมุ่งเน้นไปที่ “การกล่าวถึง” หรือ “การลงข่าว” มากกว่าการสร้าง Backlink ซึ่งอาจทำให้คุณได้รับการพูดถึง แต่ไม่มีลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
- ไม่มีการรับประกันผลลัพธ์ – คุณอาจได้รับความสนใจจากสื่อระดับประเทศ… หรืออาจได้แค่ลิงก์เดียวจากเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง
- กระบวนการ PR มีค่าใช้จ่ายสูงมาก – เอเจนซี่ PR มักคิดค่าบริการแพงกว่าเอเจนซี่ SEO ถึง 2-3 เท่า
ทางเลือกที่ถูกกว่า?
- เรียนรู้กลยุทธ์ PR ดิจิทัลด้วยตนเอง – มีหลักสูตรฟรีที่ช่วยให้คุณเข้าใจแนวทางการทำ Digital PR อย่างละเอียด
3. เอเจนซี่การตลาดเนื้อหา (Content Marketing Agencies)
คืออะไร?
เอเจนซี่ที่เน้นทำเพียงสิ่งเดียว: ผลิตเนื้อหาสำหรับบล็อกของบริษัทคุณ
วิธีการทำงาน:
เอเจนซี่การตลาดเนื้อหามี 2 รูปแบบหลัก:
- จ่ายเป็นค่าบริการรายเดือน – เอเจนซี่จะเขียนบทความตามจำนวนที่กำหนด เช่น โพสต์สั้นๆ 500 คำหลายบทความ หรือ เนื้อหาคุณภาพสูง 4,000 คำที่ครอบคลุมทุกเรื่อง
- จ่ายค่าบริการแบบครั้งเดียว – เช่น $2,000 สำหรับบทความยาวคุณภาพสูงเพียงชิ้นเดียว
ค่าใช้จ่าย:
- แตกต่างกันไปตามขอบเขตงาน
- แต่โดยทั่วไป เอเจนซี่การตลาดเนื้อหาจะคิดค่าบริการอย่างน้อย $1,000 ต่อเดือน
- และอาจสูงถึง $20,000+ ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระดับของบริการ
- คุณจะได้รับคุณภาพตามราคาที่จ่ายไป – หากงบประมาณของคุณคือ $500 สำหรับ 5 บทความ อย่าคาดหวังว่าจะได้เนื้อหาที่พิเศษหรือมีคุณภาพสูง
- เลือกเอเจนซี่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ – วิธีนี้ช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดจากเงินที่ลงทุนไป
ข้อดี (Pros):
- การสร้างลิงก์ผ่านคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งได้ผลดีมาก – ในความเป็นจริง ลิงก์ส่วนใหญ่ที่ฉันสร้างขึ้นมาสำหรับบล็อกนี้มาจากการเผยแพร่เนื้อหาที่ยอดเยี่ยม
- เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด (White Hat SEO) – ไม่มีความเสี่ยงจากเทคนิคที่ไม่โปร่งใสซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษในระยะยาว
- ได้ประโยชน์เสริมมากมาย – การเผยแพร่เนื้อหาที่ดีเยี่ยมสามารถดึงดูด ทราฟฟิกจากโซเชียลมีเดีย และช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
ข้อเสีย(Cons):
- บริการคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง ≠ บริการ SEO – หากคุณต้องการให้ช่วยวิจัยคีย์เวิร์ดหรือทำ SEO บนหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO) คุณอาจต้องหาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
- บางเอเจนซี่ให้บริการเนื้อหาธรรมดา ไม่โดดเด่น – หากต้องการเนื้อหาที่สามารถดึงดูดลิงก์และสร้างความแตกต่าง จะต้องเป็นคอนเทนต์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ แต่หลายเอเจนซี่ยังเสนอแพ็กเกจที่ไร้ค่า เช่น “10 บล็อกโพสต์ต่อเดือน”
- อาจไม่รวมบริการโปรโมทเนื้อหา – หากแพ็กเกจไม่รวมการเผยแพร่และโปรโมทเนื้อหา คุณจะต้องหาทางกระจายข่าวสารเอง
4. บริการ Blogger Outreach
คืออะไร:
บุคคลหรือเอเจนซี่ที่ช่วยโปรโมตเนื้อหาของคุณผ่านการสร้างลิงก์แบบแมนนวลและการติดต่อกับบล็อกเกอร์
วิธีการทำงาน:
เอเจนซี่จะทำงานหนักแทนคุณ โดยค้นหาบล็อกเกอร์ที่เหมาะสม ติดต่อพวกเขาผ่านอีเมล และติดตามผลเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับลิงก์ที่ต้องการ
(บางเอเจนซี่ยังมีเครือข่ายบล็อกเกอร์และบรรณาธิการที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงได้ทันที)
ค่าใช้จ่าย:
เอเจนซี่ที่เน้นการสร้างลิงก์ผ่าน Blogger Outreach มักจะคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายต่อหนึ่งลิงก์ที่สร้างได้
โดยทั่วไป คุณอาจต้องจ่ายประมาณ $200 ต่อหนึ่งลิงก์คุณภาพ
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักสร้างลิงก์บางรายที่คิดค่าบริการแบบรายเดือนหรือรายชั่วโมงแทนการคิดค่าบริการต่อลิงก์
ข้อดี:
- หากคุณต้องการเพียงแค่ backlink นี่อาจเป็นบริการที่เหมาะกับคุณ
- การติดต่อผ่านอีเมลเป็นวิธีสร้างลิงก์ที่ ปลอดภัยและถูกต้องตามหลัก SEO (ตราบใดที่คุณไม่ส่งสแปม)
- คุณมักจะได้รับลิงก์คุณภาพสูงที่เป็นไปตามกฎของ Google เนื่องจาก Google ต้องการเห็นลิงก์ที่อยู่ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ และ Blogger Outreach เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการได้ลิงก์ที่มีคุณค่า
- คุณจ่ายเงินเฉพาะเมื่อลิงก์สำเร็จ การจ่าย $200 ต่อลิงก์อาจดูแพง แต่คุณมั่นใจได้ว่าคุณได้รับผลลัพธ์ ในขณะที่บริษัท SEO ทั่วไปมักไม่มีการรับประกันผลลัพธ์แบบนี้
ข้อเสีย:
- บริษัทสร้างลิงก์ส่วนใหญ่ (เช่น FatJoe) ไม่ได้ให้บริการ SEO แบบครบวงจร ดังนั้นหากคุณต้องการกลยุทธ์ SEO ทั้งระบบ บริการนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ
- ผู้ให้บริการที่ไม่น่าเชื่อถืออาจใส่ลิงก์ของคุณลงใน PBN (Private Blog Network) และบอกว่าเป็น “Outreach” ควรตรวจสอบลิงก์ของคุณอย่างละเอียดว่าเป็นลิงก์จาก เว็บไซต์จริง
- คุณต้องมี เนื้อหาคุณภาพบนเว็บไซต์ของคุณเอง เพราะบล็อกเกอร์จะไม่ลิงก์ไปหาเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ ดังนั้นคุณต้องมีคอนเทนต์ที่ดี ก่อนเริ่มทำ Outreach
5. SEO Agency
คืออะไร:
อเจนซี่ที่ให้บริการ SEO แบบครบวงจร รวมถึงการสร้างลิงก์
วิธีการทำงาน:
คุณจ้างเอเจนซี่ และพวกเขาจะช่วยปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะกับ Search Engine (SEO) ซึ่งมักจะรวมถึงกลยุทธ์สร้างลิงก์ด้วย
ค่าใช้จ่าย:
มีความหลากหลายมาก
คุณสามารถหาเอเจนซี่ที่ให้บริการ SEO ราคาประหยัดเริ่มต้นที่ $200 ต่อเดือน
หรือคุณอาจเลือกใช้เอเจนซี่ที่ทำงานกับบริษัทระดับ Fortune 500 ซึ่งอาจต้องจ่ายสูงถึง $20,000 – $50,000 ต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม เอเจนซี่ SEO ส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการตั้งแต่ $500 – $5,000 ต่อเดือน
ข้อดี:
- จัดการทุกอย่างให้คุณ ไม่ต้องสร้างเนื้อหาเอง ไม่ต้องหาคีย์เวิร์ด แค่จ่ายเงินและให้ URL เว็บไซต์ของคุณ จากนั้นพวกเขาจะดูแลทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย
- ทำงานโดยคำนึงถึงเป้าหมาย SEO ของคุณ เช่น การสร้างเนื้อหาที่ออกแบบมาเพื่อให้ได้ลิงก์กลับมา พร้อมกับการปรับแต่งให้เหมาะกับคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณ
ข้อเสีย:
- เอเจนซี่ SEO ส่วนใหญ่ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร (เป็นเรื่องที่น่าเศร้าแต่จริง) พวกเขามักทำแค่ การปรับแต่งพื้นฐาน จากนั้นก็เรียกเก็บเงินคุณทุกเดือนโดยให้เนื้อหาและลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพ
- ไม่ได้เน้นที่การสร้างลิงก์เป็นหลัก ถึงแม้ว่าเอเจนซี่จะช่วยสร้างลิงก์ให้คุณ แต่พวกเขายังทำ SEO อื่นๆ เช่น การปรับแต่งมือถือ, การสร้างเนื้อหา ฯลฯ ซึ่งหมายความว่า งบประมาณของคุณจะถูกกระจายไปในหลายๆ ส่วน และมีเพียงส่วนน้อยที่ใช้ไปกับการสร้างลิงก์
6. บริการ Guest Posting
คืออะไร:
คุณจ้างเอเจนซี่ให้เขียนและเผยแพร่ Guest Post ให้คุณ (โดยมีลิงก์กลับไปยังเว็บไซต์ของคุณ)
วิธีการทำงาน:
บริการ Guest Post จะจัดการกระบวนการทั้งหมดแทนคุณ ตั้งแต่ ค้นหาเว็บไซต์ที่รับ Guest Post , ติดต่อและนำเสนอไอเดีย , เจรจากับบรรณาธิการ , เขียนบทความ และทำให้บทความได้รับการเผยแพร่
เป็นกระบวนการที่ใช้เวลามาก
ค่าใช้จ่าย:
ส่วนใหญ่ คิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายต่อ 1 บทความ ซึ่งราคามักอยู่ที่ $100 – $500 ต่อบทความ (ขึ้นอยู่กับ Domain Authority (DA) ของเว็บไซต์ที่ลงบทความ)
ตัวอย่าง:
The Hoth คิดค่าบริการ $200 สำหรับลิงก์จากเว็บไซต์ที่มี DA 30
ข้อดี:
- ได้ลิงก์ที่มีคุณภาพ (ในระดับหนึ่ง) – Google ไม่ต้องการให้คุณสร้างลิงก์จาก Guest Post ในปริมาณมากเกินไป แต่จากประสบการณ์ของผม การเผยแพร่ Guest Post บนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่แห่งถือว่าปลอดภัย และสามารถช่วยเพิ่มอันดับในผลการค้นหาได้
- Guest Post บนเว็บไซต์ใหญ่ในอุตสาหกรรมของคุณ อาจช่วยเพิ่มทราฟฟิกได้มาก – ตัวอย่างเช่น ผมเคยเผยแพร่ Guest Post บน Buffer Blog และทำให้ทราฟฟิกของเว็บไซต์พุ่งสูงขึ้นทันที!
- จ่ายเฉพาะเมื่อได้ลิงก์ – เช่นเดียวกับบริการ Outreach คุณจะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อ Guest Post ของคุณได้รับการเผยแพร่เท่านั้น
ข้อเสีย:
- Guest Post ปลอมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย – บริการ Guest Blogging บางแห่ง เขียนบทความคุณภาพต่ำและเผยแพร่ลงในเว็บไซต์เครือข่ายส่วนตัว (PBN) ซึ่งไม่มีคุณค่าจริงในการทำ SEO
- Google ไม่สนับสนุนการทำ Guest Posting ในปริมาณมาก – กลยุทธ์นี้ ไม่สามารถขยายขนาดได้อย่างปลอดภัย หากมากกว่า 5-10% ของโปรไฟล์ลิงก์ของคุณมาจาก Guest Post อาจเสี่ยงต่อการถูกลงโทษจาก Google
7. บริษัทออกแบบ Infographic
คืออะไร:
บริษัทที่สร้าง อินโฟกราฟิก หรือ คอนเทนต์ภาพอื่นๆ
(โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เว็บไซต์อื่นนำไปใช้และลิงก์กลับมายังเว็บของคุณ)
วิธีการทำงาน:
เอเจนซี่ Infographic ส่วนใหญ่จะดูแล กระบวนการทั้งหมด ได้แก่ คิดหัวข้อที่น่าสนใจ , ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง , ออกแบบอินโฟกราฟิกให้ดูสวยงามและแชร์ได้ง่าย
แต่คุณก็สามารถจ้างนักออกแบบกราฟิกให้ช่วยเปลี่ยนเนื้อหาของคุณเป็น อินโฟกราฟิก ได้เช่นกัน
ค่าใช้จ่าย:
หากใช้บริการออกแบบอินโฟกราฟิกแบบครบวงจร ราคาจะอยู่ที่ประมาณ $2,000 – $4,000
หากคุณต้องการเพียงแค่ให้ช่วยออกแบบอินโฟกราฟิก ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ $1,000 – $2,000
ข้อดี:
- อินโฟกราฟิกอาจไม่ได้ผลดีเหมือนในอดีต… แต่ยังคงเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างลิงก์กลับ (Backlinks)
- ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือข้อผูกมัดระยะยาว – ส่วนใหญ่คุณจ่ายเป็นรายชิ้น
- ไม่ต้องลงแรงมาก – คุณไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการมากนัก
ข้อเสีย:
- บริการออกแบบอินโฟกราฟิกส่วนใหญ่ไม่ได้รวมบริการโปรโมต – คุณต้องหาทางกระจายอินโฟกราฟิกเอง
- อินโฟกราฟิกเป็นกลยุทธ์ที่ไม่แน่นอน – บางชิ้นอาจกลายเป็นไวรัล ในขณะที่บางชิ้นอาจไม่ได้ผลเลย ดังนั้นคุณอาจต้องเผยแพร่อินโฟกราฟิก 2-3 ชิ้นก่อนที่จะเจอผลงานที่ประสบความสำเร็จ
สรุป
นี่คือ 7 บริการสร้างลิงก์ (Link Building) ที่แนะนำ
แต่ละวิธีมีทั้ง ข้อดีและข้อเสีย
อย่างไรก็ตาม:
นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับการทำ SEO
ตอนนี้ผมอยากรู้ความคิดเห็นของคุณ:
คุณมีประสบการณ์อย่างไรกับการจ้างบริการสร้างลิงก์?
ดี? แย่? หรืออยู่ตรงกลาง?
แสดงความคิดเห็นของคุณด้านล่างได้เลย! ⬇️