Google Search Results คือ การวิเคราะห์ผลการค้นหา Google เนื่องจากสิ่งที่หลายคนกำลังหาคำตอบและเรียนรู้มาโดยตลอด จากสถิติของ FirstPage พบว่า ในปี 2023 การติดอันดับแรกของผลการค้นหา (SERP) ในแต่ละกลุ่มตลาดมีอัตราการคลิก (CTR) สูงถึง 39.8%
ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนการเข้าชมที่มหาศาล ในขณะที่อันดับที่ 2 และ 2 ได้รับอัตราการคลิกเพียง 18.7% และ 10.2% เท่านั้น
แม้ว่าปริมาณการค้นหาจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อการจัดอันดับ สิ่งที่สำคัญคือ การได้ตำแหน่งศูนย์ (Position Zero) หรือที่หลายคนเรียก Featured Snippets ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่สามารถดึงดูดทราฟฟิกไปยังเว็บไซต์ของคุณได้มากที่สุด

CTR ที่ดีสำหรับการทำ SEO คือเท่าไหร่ ?
โดยเฉลี่ยแล้ว CTR ที่สูงกว่า 3% ถือว่าเป็นค่า CTR ที่ดีสำหรับ SEO
พูดง่ายๆ ก็คือ หากมีผู้พบเห็นเว็บไซต์ของคุณ 100 คน จะต้องมีอย่างน้อย 3 คนที่คลิกเข้าชม
CTR แบบออร์แกนิก (Organic CTR) คืออะไร ?
Organic CTR แบบออร์แกนิก หมายถึง จำนวนคลิกที่ได้รับจากคำค้นหาในวันเดียวกัน หารด้วยจำนวนครั้งที่ลิงก์นั้นปรากฏบนหน้าผลการค้นหา (SERP) หรือที่เรียกว่า “อิมเพรสชัน (impressions)”

เราได้วิเคราะห์ผลการค้นหาของ Google Search Results จำนวน 4 ล้านรายการ เพื่อทำความเข้าใจอัตราการคลิกผ่านแบบออร์แกนิก (Organic Click-Through Rate หรือ CTR) ให้ดียิ่งขึ้นว่ามีขั้นตอนอย่างไร
เราวิเคราะห์ข้อมูล CTR จากหน้าเว็บ 1,312,881 หน้า และคำค้นหา 12,166,560 รายการ
จากนั้น เราพิจารณาว่าปัจจัยต่างๆ เช่น ความยาวของแท็กชื่อ (title tag), ความรู้สึก (sentiment) และคำอธิบายเมตา (meta descriptions) ว่ามันส่งผลต่อ CTR แบบออร์แกนิกอย่างไร ?
ด้วยข้อมูลที่ได้รับจาก Semrush ทำให้เราสามารถรับข้อมูลค่า CTR จากบัญชี Google Search Console หลายบัญชีได้
ผลการค้นพบหลักๆที่ได้เราได้จาก Google Search Results
- ผลลัพธ์อันดับ 1 ในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกของ Google มีอัตราการคลิกผ่าน (CTR) เฉลี่ย 27.6%
- ผลลัพธ์ออร์แกนิกอันดับ 1 มีโอกาสได้รับการคลิกมากกว่าหน้าเว็บในอันดับ 10 ถึง 10 เท่า
- CTR แบบออร์แกนิก สำหรับอันดับ 8-10 แทบจะไม่แตกต่างกันเลย ดังนั้น การเลื่อนขึ้นไปสองสามอันดับที่ด้านล่างของหน้าแรก อาจไม่ส่งผลให้มีการเข้าชมแบบออร์แกนิกมากขึ้น
- โดยเฉลี่ย การเลื่อนขึ้น 1 อันดับในผลการค้นหาจะเพิ่ม CTR 2.8% อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลื่อนจากตำแหน่งใดไปตำแหน่งใด การเลื่อนจากอันดับ 3 ไปยังอันดับ 2 มักจะส่งผลให้ CTR เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การเลื่อนจากอันดับ 10 ไปยังอันดับ 9 ไม่สร้างความแตกต่างทางสถิติ
- ชื่อเรื่องที่มีและไม่มีคำถามมี CTR ที่คล้ายคลึงกัน
- แท็กชื่อที่มีความยาวระหว่าง 40 ถึง 60 ตัวอักษรมี CTR สูงที่สุด จากข้อมูลพบว่า หน้าเว็บที่มีความยาวแท็กชื่อระหว่าง 40 ถึง 60 ตัวอักษรมี CTR สูงกว่า เมื่อเทียบกับหน้าเว็บที่มีความยาวที่เกินกว่าที่ระบุไว้
- คีย์เวิร์ดยาวกว่ามีแนวโน้มที่จะมี CTR สูงกว่า คำค้นหาที่มีความยาวระหว่าง 10-15 คำ ได้รับการคลิกมากกว่าคำศัพท์คำเดียวถึง 1.76 เท่า
- URL ที่มีคำศัพท์คล้ายกับคียเวิร์ดมีอัตราการคลิกผ่านสูงกว่า 45% เมื่อเทียบกับ URL ที่ไม่มีคีย์เวิร์ด
- ชื่อเรื่องเชิงบวก อาจเพิ่มค่า CTR ของคุณได้ เราพบว่าชื่อเรื่องที่มีความรู้สึกเชิงบวกเพิ่มค่า CTR ได้ประมาณ 4%
ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google ที่ได้รับการคลิก 27.6% ของการคลิกทั้งหมด
จากชุดข้อมูลทั้งหมดของเราประมาณ 4 ล้านผลลัพธ์ เราพบว่าผลลัพธ์อันดับ 1 มี CTR สูงเอามากๆ

และเรายังเห็นว่าค่า CTR ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อผลการค้นหาต้นอยู่ในหน้าที่ 2

ในความเป็นจริง มีผู้ค้นหา Google เพียง 0.63% เท่านั้น ที่คลิกเข้าเว็บไซต์ในหน้าที่ 2
แนวโน้ม CTR นี้สอดคล้องกับการศึกษา CTR ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การศึกษาจาก Advanced Web Ranking

และหลังจากที่เราวิเคราะห์ Google Search Results ข้อมูลที่ได้รับการหาข้อมูล เราพบว่าผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google มี CTR สูงถึง 27.6%

นี่คือรายละเอียด CTR ทั้งหมดสำหรับผลลัพธ์ออร์แกนิกหน้าแรกของ Google

ตามที่คุณได้เห็น ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google มี CTR สูงกว่าผลลัพธ์อันดับ 10 ถึง 10 เท่า
สำหรับใครก็ตามที่ทำงานในด้าน SEO มาสักระยะหนึ่ง การค้นพบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ นั่นเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการจัดอันดับที่ 1 มีค่ามากกว่าตำแหน่งอื่นๆ

CTR ของอันดับ 1 สูงกว่าอันดับอื่นๆหลายเท่า สำหรับคำค้นหาที่มีแบรนด์เมื่อเทียบกับคำค้นหาที่ไม่มีแบรนด์ นี่อาจเป็นเพราะข้อเท็จจริง ที่ว่าสิ่งเหล่าเป็นการค้นหาเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น
ประเด็นสำคัญ : ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google ได้รับการคลิก 27.6% ของการคลิกทั้งหมด
CTR แบบออร์แกนิกพุ่งสูงขึ้นที่ตำแหน่ง 8 และอีกครั้งที่ตำแหน่งที่ 2
อย่างที่ทุกคนได้รู้ ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google มี CTR สูงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ยังมีการคลิกที่ได้รับค่าออแกนิกที่นอกเหนืออันดับ 1 บน Google อีกด้วย
หลายคนอาจไม่เชื่อถือที่ด้านล่างสุดของหน้าแรก ในตำแหน่งที่ 8 , 9 และ 10 มีการพุ่งสูงขึ้นของ CTR โดยเริ่มต้นตั้งแต่อันดับ 8

สิ่งนี้บ่งชี้ถึง 2 สิ่ง
- ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้ดูที่ด้านล่างของ SERPs (หน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา)
- การเลื่อนขึ้นจากตำแหน่ง 9 ไปยัง 8 อาจส่งผลให้ CTR เพิ่มขึ้น
**แต่เราพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของค่า CTR อย่างรวดเร็วอีก ครั้งเมื่อเริ่มต้นที่ตำแหน่ง 2

นี่อาจเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่า สำหรับผลลัพธ์ที่ไม่มีโฆษณาหรือฟีเจอร์ SERP ผลลัพธ์ในอันดับที่ 2 มักจะปรากฏเหนือส่วนที่มองเห็นได้โดยไม่ต้องเลื่อน (above the fold)

ในความเป็นจริง เราพบว่าผลการค้นหา 3 อันดับแรกของ Google ได้รับการคลิก 54.4% ของการคลิกทั้งหมด

ประเด็นสำคัญ : ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า “การจัดอันดับบนหน้าแรก” อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในการทำ SEO แต่ทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดอันดับในตำแหน่งสูงสุด (หรืออย่างน้อยใน 2 อันดับแรก) และยังได้รู้ว่าผลลัพธ์ออร์แกนิกในอันดับ 3 ได้รับการคลิกมากกว่าครึ่งหนึ่ง
การเลื่อนขึ้นหนึ่งตำแหน่งช่วยเพิ่ม CTR มากถึง 32.3%
มีการค้นพบเมื่อปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อ CTR เมื่อมีการเลื่อนขึ้นหนึ่งตำแหน่งใน Google จะเพิ่ม CTR ได้มากถึง 32.3%

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ CTR ไม่สามารถใช้ได้กับการค้นหาทุกคีย์เวิร์ด ขึ้นอยู่กับบางคำค้นหาเท่านั้น
ผลกระทบของ CTR จากการเลื่อนขึ้นใน SERPs (หน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา) แตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับตำแหน่ง

ตัวอย่างเช่น การเลื่อนจากตำแหน่ง 10 ไปยัง 9 จะส่งผลให้มีการคลิกเพิ่มขึ้น 11%
อย่างไรก็ตาม การเลื่อนขึ้นจาก 2 ไปยังตำแหน่ง 1 จะส่งผลให้มีการคลิกเพิ่มขึ้น 74.5%
ประเด็นสำคัญ : การเลื่อนขึ้นหนึ่งตำแหน่งใน Google จะเพิ่ม CTR โดยเฉลี่ย 2.8% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นนี้แตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับตำแหน่ง เราพบว่าการเพิ่มขึ้นของ CTR ที่มากที่สุด มาจากการเลื่อนจาก 2 ไปยังอันดับ 1 ซึ่งส่งผลให้ CTR เพิ่มขึ้นถึง 74.5%
เว็บไซต์ส่วนใหญ่ได้รับ 25.1 คลิกต่อการค้นหาหนึ่งครั้ง
เรายังได้ตรวจสอบคำค้นหาทั้งหมดที่รายงานใน Google Search Console และดูว่ามีจำนวนเท่าใดที่ส่งผลให้เกิดการคลิก
อันดับแรก เราพบว่าส่วนใหญ่แล้วคำค้นหาที่เว็บไซต์ติดอันดับใน Google มักจะได้รับการแสดงผลเพียงเล็กน้อย

ในความเป็นจริง 90.3% ของคำค้นหาทั้งหมดในชุดข้อมูลของเรามีการแสดงผลเพียง 10 ครั้งหรือน้อยกว่านั้น
สิ่งนี้บ่งชี้ว่าคำค้นหาส่วนใหญ่ที่เว็บไซต์ติดอันดับมักเป็นคีย์เวิร์ดแบบหางยาวที่มีปริมาณการค้นหาต่ำ หรือเว็บไซต์ไม่ได้ติดอันดับสูงสำหรับคำเหล่านี้ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
และเนื่องจากจำนวนการแสดงผลที่ต่ำ คำค้นหาส่วนใหญ่จึงส่งผลให้มีจำนวนคลิกเพียงเล็กน้อย (เฉลี่ย 25.1 คลิกต่อการค้นหาหนึ่งครั้ง)

ประเด็นสำคัญ: “การติดอันดับสำหรับ X คีย์เวิร์ด” อาจไม่ใช่ตัวชี้วัด SEO ที่มีคุณค่าเสมอไป เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว หน้าเว็บมักจะติดอันดับในคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาต่ำ ในความเป็นจริง การแสดงผลและจำนวนคลิกส่วนใหญ่มาจากจำนวนคำค้นหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หัวข้อที่เป็นคำถามและไม่เป็นคำถามมีอัตราการคลิก (CTR) ใกล้เคียงกัน
เราได้เปรียบเทียบอัตราการคลิกเฉลี่ย (CTR) ของหัวข้อที่มีและไม่มีคำถาม
(เรานิยาม “คำถาม” ว่าหมายถึงหัวข้อที่มีคำว่า “How, Why, What, Who” หรือมีเครื่องหมายคำถาม)
เราพบว่าหัวข้อที่เป็นคำถามมีอัตราการคลิกสูงกว่าหัวข้อที่ไม่มีคำถามเล็กน้อย

นี่คือการแบ่งอัตราการคลิก (CTR) อย่างละเอียดสำหรับผลลัพธ์ 10 อันดับแรก

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของอัตราการคลิก (15.5% เทียบกับ 16.3%) ไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก
การศึกษาด้านอัตราการคลิก (CTR) อื่น ๆ เช่นงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร Social Influence พบว่าหัวข้อที่เป็นคำถามสามารถเพิ่มอัตราการคลิกบนโซเชียลมีเดียได้

มีการคาดการณ์ว่าหัวข้อที่เป็นคำถามอาจช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) บน Google ได้เช่นกัน เนื่องจากเมื่อมีคนค้นหาใน Google พวกเขามักจะมองหาคำตอบสำหรับคำถามบางอย่าง
(ท้ายที่สุดแล้ว คำค้นหาเหล่านี้ถูกเรียกว่า “queries” ซึ่งหมายถึงคำถาม)
การใช้หัวข้อที่เป็นคำถามอาจช่วยยืนยันกับผู้อ่านว่าผลลัพธ์ของคุณมีคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของเราไม่ได้สนับสนุนแนวคิดนี้
ประเด็นสำคัญ: แท็กหัวข้อ (Title Tags) ที่เป็นคำถามให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับแท็กหัวข้อที่ไม่ใช่คำถามในแง่ของอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR)
แท็กหัวข้อที่มีความยาวระหว่าง 40-60 ตัวอักษรให้ CTR ที่ดีที่สุด
ความยาวของแท็กหัวข้อที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นเท่าใด? ควรทำให้สั้นและกระชับ หรือใช้หัวข้อที่ยาวซึ่งให้ข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับเนื้อหา?
จากข้อมูลของเรา พบว่าควรเลือกความยาวที่อยู่ตรงกลางพอดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราพบว่าแท็กหัวข้อที่มีความยาวระหว่าง 40-60 ตัวอักษร มีอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR) สูงที่สุด

ผลลัพธ์ที่ได้มีความคล้ายคลึงกันเมื่อพิจารณาจำนวนคำในแท็กหัวข้อ (Title Tag)

แม้ว่าแท็กหัวข้อที่ยาวอาจให้ประโยชน์ด้าน SEO (เพราะมีคีย์เวิร์ดมากขึ้น) แต่ข้อดีนี้อาจถูกลดทอนลงเนื่องจากอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR) ที่ต่ำลง
ในความเป็นจริง Etsy ได้ทำการทดสอบรูปแบบแท็กหัวข้อต่างๆ ในการทดลอง SEO ขนาดใหญ่ และพบว่า “ผลลัพธ์ของเราชี้ให้เห็นว่าแท็กหัวข้อที่สั้นให้ผลลัพธ์ดีกว่าแท็กหัวข้อที่ยาว”

ผู้เขียนโพสต์ดังกล่าวตั้งข้อสันนิษฐานว่า แท็กหัวข้อที่สั้นกว่าอาจทำงานได้ดีขึ้นบน Google เนื่องจากการจับคู่กับคำค้นหา (Query Matching) อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของเรา พบว่า อัตราการคลิก (CTR) อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หัวข้อสั้นและปานกลางได้ผลดีที่สุด
ประเด็นสำคัญ: แท็กหัวข้อที่มีความยาว 40-60 ตัวอักษร ให้ อัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR) ที่ดีที่สุด โดยหัวข้อที่อยู่ในช่วงนี้มีอัตราการคลิกเฉลี่ยสูงกว่าหัวข้อที่อยู่นอกช่วงนี้ถึง 8.9%
คีย์เวิร์ดที่ยาวกว่ามักมีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่าโดยรวม
เราตัดสินใจตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่าง ความยาวของคีย์เวิร์ด และ อัตราการคลิก (CTR)
สำหรับการวิเคราะห์นี้ เราเน้นเฉพาะ ตำแหน่งอันดับที่ 1 บน Google เท่านั้น
จากแผนภูมิด้านล่าง คุณจะเห็นได้ว่า CTR ของคีย์เวิร์ดที่ยาวกว่าสูงกว่าคีย์เวิร์ดที่สั้นกว่าอย่างชัดเจน

ในความเป็นจริง คีย์เวิร์ดที่มีความยาว 10-15 คำ ได้รับคลิกมากกว่าคำค้นหาที่เป็น คำเดียวถึง 2.62 เท่า
สาเหตุหลักเป็นเพราะ คีย์เวิร์ดที่ยาวกว่ามักแสดงถึงเจตนาการค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้รู้แน่ชัดว่ากำลังมองหาอะไร จึงมีแนวโน้มที่จะคลิกมากขึ้น
นอกจากนี้ Google ก็เข้าใจความต้องการของผู้ใช้ด้วย ทำให้มีแนวโน้มที่จะนำเสนอผลลัพธ์ที่ตรงกับคำค้นหามากขึ้น
ในทางกลับกัน คำค้นหาที่เป็นคำสั้นๆ หรือคำกว้างๆ (Broad Terms) มักมี “Mixed Intent” หรือความตั้งใจในการค้นหาที่หลากหลาย ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลื่อนดูผลลัพธ์เพื่อหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาของตนเอง (หรืออาจต้องค้นหาใหม่ด้วยคำค้นหาที่ชัดเจนขึ้น)
ประเด็นสำคัญ: คีย์เวิร์ดที่ยาวกว่าได้รับคลิกมากกว่าคีย์เวิร์ดสั้น ๆ 1.76 เท่า ใน อันดับที่ 1 บนผลการค้นหาแบบออร์แกนิก (Organic SERPs)
URLs ที่มีคีย์เวิร์ดมีแนวโน้มให้ CTR สูงกว่า
เราต้องการตรวจสอบว่า URL ที่มีคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้องกันส่งผลต่อ CTR หรือไม่
ตัวอย่างเช่น หากมีคนค้นหา “weekend trips”
URL อย่าง travel.com/weekend-trips จะมี CTR สูงกว่า travel.com/travel-page หรือไม่?
เพื่อทำการวิเคราะห์นี้ เราเปรียบเทียบคำค้นหากับ URL ของหน้าเว็บ และสร้าง ดัชนีความคล้ายคลึงกัน (Similarity Index) ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 0% ถึง 100%

ค่าความคล้ายคลึงกัน 0% หมายความว่าคำทั้งสองไม่มีความคล้ายคลึงกันเลย ในขณะที่ค่าความคล้ายคลึงกัน 100% หมายถึงการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ โดยเราไม่ได้นำเครื่องหมายวรรคตอนและสัญลักษณ์มาคำนวณ
จากการวิเคราะห์ พบว่า มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่าง URL ที่มีคีย์เวิร์ดและอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR)

อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่า มีเพียง 6.3% ของ URL ในตัวอย่างของเราที่มีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 80% ซึ่งหมายความว่า URL เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการคลิก (CTR)
แม้ว่าการจับคู่คีย์เวิร์ดกับคำค้นหาอย่างสมบูรณ์จะให้ค่า CTR สูงสุด แต่ข้อมูลของเรายังแสดงให้เห็นว่า URL ที่มีคีย์เวิร์ดตรงกับคำค้นหาเพียงบางส่วนก็สามารถเพิ่ม CTR ได้อย่างมีนัยสำคัญ
คู่มือ Search Engine Optimization (SEO) ของ Google ได้เตือนให้เว็บมาสเตอร์ทราบว่า URL ของหน้าคุณจะปรากฏในหน้าผลการค้นหา (SERPs) และแนะนำให้ใช้ “URL ที่มีคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ…”

และงานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย Microsoft ในปี 2012 พบว่า “โดเมนที่ได้รับความไว้วางใจ” (Trusted Domains) มีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่า บนเครื่องมือค้นหา เมื่อเทียบกับโดเมนที่ผู้ใช้ไม่คุ้นเคย

ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือ ผู้ใช้เครื่องมือค้นหามักใช้ URL ของหน้าเว็บเพื่อพิจารณาว่าผลลัพธ์ใดตรงกับคำค้นหาของตนมากที่สุด
ประเด็นสำคัญ: เราพบว่า CTR เพิ่มขึ้นอย่างมากในหน้าที่มี URL ตรงกับคำค้นหาอย่างสมบูรณ์หรือบางส่วน (มีคำค้นหาทั้งหมดอยู่ใน URL) เมื่อเทียบกับ URL ที่ไม่มีคำค้นหาอยู่เลย
หัวข้อที่มีโทนเชิงบวกช่วยเพิ่ม CTR แบบออร์แกนิก
ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า หัวข้อที่มีอารมณ์เชิงบวกมี CTR สูงกว่าหัวข้อที่มีอารมณ์เชิงลบหรือเป็นกลาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราพบว่า หัวข้อที่มีโทนเชิงบวกมีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่าหัวข้อที่มีโทนเชิงลบถึง 4.1%
เราใช้ โมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning Models) เพื่อวิเคราะห์อารมณ์ของแต่ละหัวข้อ ตัวอย่างการจำแนกอารมณ์ของหัวข้อมีดังนี้: โทนเชิงบวก (Positive) , โทนเป็นกลาง (Neutral) , โทนเชิงลบ (Negative)
มีงานวิจัยหลายฉบับในอุตสาหกรรม รวมถึงการศึกษานี้จาก BuzzSumo ที่พบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อที่กระตุ้นอารมณ์กับอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement)

อย่างไรก็ตาม ฉันไม่สามารถหางานวิจัยในอุตสาหกรรมที่เฉพาะเจาะจงที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง หัวข้อที่กระตุ้นอารมณ์ กับ CTR ออร์แกนิกของ Google ได้
และอย่างน้อยตามข้อมูลของเรา หัวข้อที่มีอารมณ์เชิงบวกสามารถทำให้มีอัตราการคลิกที่สูงขึ้นในผลการค้นหาที่เป็นออร์แกนิก
ประเด็นสำคัญ: หัวข้อที่มี อารมณ์เชิงบวก มี CTR ออร์แกนิกที่สูงกว่า หัวข้อที่มี อารมณ์เป็นกลางหรือเชิงลบ
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับ CTR
แม้ว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะไม่รับประกันการจัดอันดับที่สูงที่สุดตามผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาข้างต้น นี่คือบางกลยุทธ์ที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่ม CTR ของคุณและเพิ่มการเข้าชมออร์แกนิก
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ CTR
หลังจากที่เราได้กล่าวถึงผลลัพธ์ของ CTR ไปแล้ว นี่คือเวอร์ชันสรุปของปัจจัยหลักที่ควรพิจารณาเมื่อคุณต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดและโฆษณาของคุณ
1. คุณภาพของเนื้อหา
จำไว้ว่า คุณดึงดูดสิ่งที่คุณให้ เนื้อหาที่มีคุณภาพต้องสามารถ กระตุ้น , ให้ข้อมูล , มีส่วนร่วม และสนับสนุนกลุ่มเป้าหมาย ในยุคที่เนื้อหาถูกสร้างและหมุนเวียนผ่าน AI มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างเนื้อหาที่ แท้จริง , มีคุณค่า และสามารถค้นหาได้
2. การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)
กระบวนการในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ (ในที่นี้คือเว็บไซต์) ที่มอบประสบการณ์ที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ภายใต้กรอบนี้ UX ครอบคลุมถึง ฟังก์ชันการทำงาน , การเข้าถึง , การสร้างแบรนด์ , ความสามารถในการใช้งาน และการทำให้การโต้ตอบกับผู้ใช้เร็วขึ้น
3. เวลาในการโหลดเว็บไซต์
ใช้เครื่องมือเช่น PageSpeed Insights เพื่อประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บให้เสร็จสมบูรณ์ พยายามทำให้เวลาโหลดหน้าเว็บอยู่ที่ 0-4 วินาที สำหรับอัตราการแปลงที่ดีที่สุด

4. การศึกษา SEO CTR สำหรับคีย์เวิร์ดที่มีแบรนด์และไม่มีแบรนด์
การศึกษาที่น่าสนใจจาก Search Engine Journal หลังจากการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดกว่า 160,000 คำ จากเว็บไซต์กว่า 400 แห่ง พบว่า คีย์เวิร์ดที่มีแบรนด์ ทำผลงานได้ดีกว่าในอินเทอร์เน็ตโดยรวม ในขณะที่ อีคอมเมิร์ซ จะทำผลงานได้ดีกว่าใน คีย์เวิร์ดที่ไม่มีแบรนด์ บนอุปกรณ์เดสก์ท็อป

5. กลุ่มเป้าหมายและเจตนารมณ์ของการค้นหา
พูดง่ายๆ ก็คือ จุดประสงค์ของการค้นหาคืออะไร? หากคุณหาคำตอบนี้ได้ คุณก็จะสามารถเพิ่ม CTR ในเว็บไซต์ของคุณได้
6. ปริมาณการค้นหาและความนิยมของคีย์เวิร์ด
คำค้นหานั้นมีความต้องการหรือไม่? CTR ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมาย
7. การค้นหาผ่านมือถือ
บ่อยครั้งที่ในสวนสาธารณะและบนท้องถนน คุณจะเห็นผู้คนจำนวนมากที่กำลังค้นหาข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือ ในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 50% ของการค้นหาทั้งหมดเกิดขึ้นบนอุปกรณ์มือถือ ดังนั้น จึงควรสร้างเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือ
8. การปรับแต่งสำหรับอัลกอริธึมและการอัปเดตของเครื่องมือค้นหา
ติดตามแนวโน้มใหม่ๆ ภายในอุตสาหกรรมเครื่องมือค้นหาและอัปเดตเว็บไซต์ของคุณให้สอดคล้องกับการอัปเดตอัลกอริธึมของ Google เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงและเหมาะสมสำหรับการค้นหา
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
คุณคำนวณอัตราการคลิกเฉลี่ย (CTR) ได้อย่างไร?
CTR = จำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับ หารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏ
ดังนั้น:
คลิก ÷ การแสดงผล = CTR
CTR บอกอะไรคุณ?
CTR บอกถึงประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ด, โฆษณา, และรายการฟรี
CTR ที่ดีคืออะไร?
ค่าเฉลี่ย CTR คือ 1.91% สำหรับการค้นหาและ 0.35% สำหรับการแสดงผล ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลทางอุตสาหกรรมที่อิงจากสมการ CTR แต่เปอร์เซ็นต์อาจแตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมาย ตามที่กล่าวไว้ 3% ถือเป็นค่าเฉลี่ย CTR และอะไรก็ตามที่สูงกว่านี้ถือว่าเป็น CTR ที่ดี
สรุป
ผมขอขอบคุณ Semrush อีกครั้งที่ช่วยทำให้การศึกษานี้เป็นไปได้
ตอนนี้ผมอยากได้ยินความคิดเห็นจากคุณ:
อะไรคือข้อสรุปที่สำคัญที่สุดจากการวิจัยนี้ของคุณ?
หรือบางทีคุณอาจมีคำถาม
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ด้านล่าง