ทุกแบรนด์อยากเป็นที่รู้จัก แต่คำถามคือจะ “ทำโฆษณา” อย่างไรให้ตรงใจลูกค้าและคุ้มค่ากับงบ? เพราะการทำโฆษณาไม่ได้มีแค่การซื้อโฆษณาออนไลน์บน Facebook หรือ Google เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่ใช้ได้ผล ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ บทความนี้ SEOGURU จะพาคุณไปรู้จัก 7 วิธีการทำโฆษณาสินค้าที่นิยมใช้ พร้อมเจาะลึกว่าแต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทใด
ทำโฆษณา ให้ปัง ทำยังไงได้บ้าง ?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า “การทำโฆษณา” ไม่ได้หมายถึงการขายตรงเสมอไป แต่คือการสร้างการรับรู้ (Awareness) กระตุ้นความสนใจ (Interest) โน้มน้าวให้ลองใช้ (Consideration) และปิดการขาย (Action)
ดังนั้นเรามาดูกันว่ามี วิธีทำโฆษณาสินค้า แบบไหนบ้างที่คุณสามารถเลือกใช้ และธุรกิจของคุณเหมาะกับสื่อรูปแบบใด
7 เทคนิค ทำโฆษณาสินค้า
การทำโฆษณาสินค้าในปัจจุบันมีหลายวิธีให้เลือก ไม่ได้จำกัดแค่สื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่ละช่องทางมีจุดเด่น จุดด้อย และความเหมาะสมที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ลักษณะธุรกิจ และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึง การเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก เพราะถ้าเลือกถูกจะช่วยให้โฆษณาเข้าถึงลูกค้าได้ตรงใจและคุ้มค่าที่สุด มาดูกันว่า 7 วิธีทำโฆษณาสินค้าที่นิยมใช้มีอะไรบ้าง และแบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
1. โฆษณาผ่านป้าย (Out-of-Home Media)
การทำโฆษณาผ่านป้ายบิลบอร์ด หรือป้ายไฟ LED ตามถนนใหญ่และห้างสรรพสินค้า เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการ “การรับรู้ในวงกว้าง” เช่น แบรนด์รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ หรือสินค้าที่มีการซื้อซ้ำสูงอย่างเครื่องดื่ม
เหมาะกับ: แบรนด์ใหญ่ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์และการจดจำ
2. โฆษณาผ่านวิทยุและโทรทัศน์
แม้จะดูเหมือนเป็นสื่อเก่า แต่ทีวียังครองความนิยม โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นกลาง–สูงอายุ ส่วนวิทยุยังเหมาะกับธุรกิจท้องถิ่น เช่น ร้านอาหารหรือบริการที่ต้องการสื่อสารกับคนขับรถ
เหมาะกับ: แบรนด์ระดับประเทศ หรือธุรกิจท้องถิ่นที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเฉพาะพื้นที่
3. โฆษณาด้วยสื่อสิ่งพิมพ์
สื่อสิ่งพิมพ์อย่างนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรือแผ่นพับ ยังคงมีอิทธิพลในบางอุตสาหกรรม เช่น อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว และกลุ่ม Luxury เพราะสื่อสิ่งพิมพ์มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือและจับต้องได้
เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการสร้างความหรูหรา น่าเชื่อถือ หรือเจาะกลุ่มเฉพาะ เช่น บ้านหรู โรงแรม หรือบริการระดับพรีเมียม
4. โฆษณาผ่านโซเชียล (Social Media Ads)
การทำโฆษณาออนไลน์ผ่าน Facebook, Instagram, TikTok หรือ LinkedIn ถือเป็นเครื่องมือหลักของธุรกิจ SME เพราะเข้าถึงง่าย กำหนดงบได้เอง และเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรง เช่น เพศ อายุ ความสนใจ
เหมาะกับ: ธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์ และแบรนด์ที่ต้องการเพิ่มยอดขายทันที
5. โฆษณาด้วยการยิง Ads (Google Ads / Facebook Ads)
ต่างจากข้อ 4 ที่เป็น “โพสต์โปรโมท” ตรงนี้คือการใช้ระบบ Ads Manager ของ Facebook หรือ Google เพื่อเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด เช่น คนที่ค้นหาคำว่า “รองเท้าวิ่งผู้ชาย” ใน Google Ads คุณสามารถยิงโฆษณาให้แสดงทันที
เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการ Conversion โดยตรง เช่น ร้านค้าออนไลน์ สถาบันสอนพิเศษ คลินิกเสริมความงาม
6. ทำโฆษณา SEO (Search Engine Optimization)
นี่คือกลยุทธ์ที่เน้นการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับผลการค้นหา Google แบบ Organic (ไม่ต้องเสียค่า Ads รายครั้ง) โดยใช้การเขียนบทความ ใส่คีย์เวิร์ด และทำ Backlink อย่างถูกวิธี
เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการการเติบโตระยะยาว เช่น สินค้าและบริการที่มีการแข่งขันสูง (อสังหา การเงิน การศึกษา)
(ตรงนี้ SEOGURU ถนัดที่สุด! ถ้าอยากให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ Google แบบยั่งยืน ทักหาเราได้เลย)
อ่านเพิ่มเติม : FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ SEO
7. ใช้อินฟลูเอนเซอร์ช่วยในการทำโฆษณา
การจ้าง Influencer หรือ KOL ช่วยรีวิวสินค้าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มาแรง เพราะลูกค้าเชื่อเสียงจากคนที่เขาติดตามมากกว่าโฆษณาโดยตรง โดยเฉพาะสินค้าความงาม แฟชั่น หรืออาหาร
เหมาะกับ: สินค้าที่ต้องการสร้างกระแสไว เช่น คอลเลกชันใหม่ ๆ ของแฟชั่น ร้านอาหาร คาเฟ่ และเครื่องสำอาง
ทำโฆษณาสินค้าให้ดี รับรองยอดมาแบบปัง ๆ
ความจริงแล้วไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการทำโฆษณา แต่ละธุรกิจควรเลือกใช้สื่อที่เหมาะกับเป้าหมาย งบประมาณ และกลุ่มลูกค้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์ใหม่อาจเริ่มจากโฆษณาออนไลน์ ยิง Ads ควบคู่กับการทำ SEO ส่วนธุรกิจใหญ่ที่มีงบ อาจใช้ทุกสื่อผสมกันเพื่อให้เกิด Impact สูงสุด
คิดจะทำ SEO ทักหาเรา SEOGURU
การทำโฆษณาออนไลน์ช่วยให้เห็นผลเร็ว แต่การทำ SEO ช่วยให้ธุรกิจยืนระยะได้ยาว ถ้าคุณอยากสร้างเว็บไซต์ที่ติดอันดับ Google อย่างมั่นคง SEOGURU พร้อมช่วยให้คุณได้ทั้งกลยุทธ์และผลลัพธ์จริง