SEO Algorithm อัลกอริทึม ที่จำเป็นต่อการทำอันดับ ฉบับเข้าใจง่าย

SEO Algorithm

Table of Contents

Google Search Algorithm คืออะไร?

SEO Algorithm อัลกอริทึมของ Google Search คือระบบที่กำหนดว่าหน้าเว็บเพจไหนจะแสดงขึ้นมาในผลการค้นหา และจะแสดงในอันดับใด ระบบนี้จะพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อทำความเข้าใจว่าหน้าเว็บไหนที่เหมาะสมที่สุดในการตอบคำถามของผู้ใช้งานและสมควรที่จะได้อันดับดีๆ ในผลการค้นหา ปัจจัยเหล่านั้นได้แก่

ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา เนื้อหานั้นตรงกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการมากแค่ไหน ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ หน้าเว็บโหลดเร็วหรือไม่ จำนวนลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ มีเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถืออื่นๆ เชื่อมโยงมายังหน้าเว็บนั้นมากน้อยแค่ไหน และอื่นๆ อีกมากมาย

มาเจาะลึกกันว่าอัลกอริทึมของ Google ทำงานอย่างไร และมีการอัปเดตที่สำคัญอะไรบ้าง

หลักการทำงานของอัลกอริทึมค้นหาของ Google SEO Algorithm

อัลกอริทึมการค้นหาของ Google (ซึ่งประกอบด้วยอัลกอริทึมย่อยหลายตัว) มีหน้าที่หลักในการค้นหาและจัดเก็บหน้าเว็บไว้ในฐานข้อมูล จากนั้นจะแสดงผลหน้าเว็บที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคำค้นหาต่างๆ

SEO Algorithm ภาพรวมกระบวนการที่ Google ใช้ในการค้นหาและจัดอันดับหน้าเว็บ มีดังนี้

  1. การรวบรวมข้อมูล (Crawling) : Google จะค้นหาหน้าเว็บใหม่ๆ โดยส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีตามลิงก์จากหน้าเว็บอื่นหรือจากแผนผังเว็บไซต์ (sitemap)
  2. การจัดทำดัชนี (Indexing) : Google จะวิเคราะห์เนื้อหาของหน้าเว็บเพื่อทำความเข้าใจว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร มีเนื้อหาที่เป็นต้นฉบับหรือไม่ และมีคุณภาพสูงแค่ไหน เพื่อตัดสินใจว่าจะเพิ่มหน้านั้นเข้าสู่ดัชนีของ Google หรือไม่ (ไม่ใช่ทุกหน้าจะถูกจัดทำดัชนี)
  3. การจัดอันดับ (Ranking) : เมื่อมีคนทำการค้นหา Google จะตรวจสอบจากดัชนีที่สร้างไว้และตัดสินใจว่าจะแสดงหน้าเว็บใดบ้าง และจะแสดงหน้าเว็บเหล่านั้นในลำดับใด อัลกอริทึมจะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนนี้ เพื่อแสดงหน้าเว็บที่น่าจะเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์กับผู้ค้นหามากที่สุด
WAF Firewall

 ปัจจัยหลักในการจัดอันดับของ Google Search Algorithm

ปัจจัยการจัดอันดับคือสัญญาณเฉพาะที่ Google ใช้เพื่อเปรียบเทียบหน้าเว็บและตัดสินใจว่าหน้าใดควรอยู่ในตำแหน่งสูงสุดในผลการค้นหา แม้ว่า Google SEO Algorithm จะใช้สัญญาณหลายร้อยอย่างในการจัดอันดับหน้าเว็บ แต่ปัจจัยหลักๆ ที่สำคัญที่สุดมีดังนี้:

1. ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา Content Relevance

เนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องสูงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา มีโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของ Google ได้มากกว่า

Google พยายามทำความเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการค้นหาแต่ละครั้ง ซึ่งเรียกว่า “ความตั้งใจในการค้นหา” (Search Intent) และนำเสนอเนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ค้นหากำลังมองหา ความตั้งใจในการค้นหามี 4 ประเภทหลัก

  • ให้ข้อมูล (Informational) : ผู้ใช้ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
  • เชิงพาณิชย์ (Commercial) : ผู้ใช้กำลังหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ
  • ทำธุรกรรม (Transactional) : ผู้ใช้ต้องการทำบางอย่าง เช่น ซื้อสินค้า
  • นำทาง (Navigational) : ผู้ใช้กำลังมองหาเว็บไซต์หรือหน้าเว็บที่เฉพาะเจาะจง

เพื่อทำความเข้าใจความตั้งใจของผู้ใช้สำหรับคีย์เวิร์ด (คำค้นหา) ที่ต้องการ และวิธีสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง คุณสามารถตรวจสอบสิ่งที่ติดอันดับอยู่แล้วโดยการพิมพ์คำนั้นลงใน Google

ในตัวอย่างนี้ คุณจะเห็นว่าผลการค้นหาที่ติดอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่เป็นหน้าข้อมูลที่ให้เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นแนวทางฉบับสมบูรณ์

meta titles are highlighted in the google SERP for organic listings

SEO Algorithm อัลกอริทึมของ Google มองว่าหน้าเว็บแบบที่แสดงด้านบนคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการเห็นจากการค้นหานั้นๆ และเนื้อหาของคุณก็ควรจะใกล้เคียงกันถ้าคุณต้องการติดอันดับ

คุณสามารถช่วยให้อัลกอริทึมเห็นว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการได้โดยการใส่คีย์เวิร์ดนั้นอย่างเป็นธรรมชาติในส่วนต่างๆ ของหน้าเว็บดังนี้:

  • Title tag : คือแท็ก HTML ที่เป็นชื่อหน้าเว็บซึ่งจะแสดงที่แท็บเบราว์เซอร์และอาจปรากฏในหน้าผลการค้นหา
  • URL slug : คือส่วนท้ายของ URL ที่ใช้ระบุหน้าเว็บนั้นๆ
  • H1: คือหัวข้อหลักของหน้าเว็บ ซึ่งควรตรงหรือคล้ายคลึงกับ Title tag ของคุณ
  • Meta description : คือคำอธิบายสรุปสั้นๆ ของหน้าเว็บในรูปแบบ HTML ซึ่งอาจแสดงในหน้าผลการค้นหา แม้ว่าจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่ก็มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจคลิกของผู้ค้นหา
  • Body text : คือเนื้อหาหลักบนหน้าเว็บของคุณ

2. เนื้อหาคุณภาพผู้เชี่ยวชาญ Content Quality

E-E-A-T คือ หลักเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพของเนื้อหาที่ Google ใช้เพื่อพิจารณาว่าเว็บไซต์ใดควรแสดงในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา หลักการนี้ช่วยให้ Google SEO Algorithm มั่นใจว่าเนื้อหาที่นำเสนอมีประโยชน์และน่าเชื่อถือสำหรับผู้ใช้งาน

E-E-A-T เป็นคำย่อมาจากคำ 4 คำหลัก ได้แก่ Experience (ประสบการณ์), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (อำนาจ), และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) แม้ว่า E-E-A-T จะไม่ใช่ปัจจัยในการจัดอันดับอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางสำหรับผู้ประเมินคุณภาพการค้นหา (Search Quality Evaluator) ของ Google เพื่อให้เข้าใจถึงวิธีการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง

วิธีแสดง E-E-A-T คุณสามารถแสดงให้เห็นถึง ได้หลายวิธีดังนี้

  • เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ : สร้างเนื้อหาที่ตอบสนองสิ่งที่ผู้ใช้งานกำลังมองหา Search Intent ได้อย่างแท้จริง
  • เพิ่มคุณค่า : อย่าคัดลอกหรือนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วมาลงซ้ำ ๆ แต่ให้เพิ่มข้อมูลเชิงลึก, มุมมองใหม่ ๆ หรือข้อมูลที่ไม่เหมือนใครเข้าไป
  • อ้างอิงแหล่งที่มา : หากคุณใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ควรระบุแหล่งที่มาให้ชัดเจนและต้องแน่ใจว่าแหล่งที่มานั้นเป็นข้อมูลที่อัปเดตและน่าเชื่อถือ
  • ให้ผู้เชี่ยวชาญมาเขียนหรือตรวจสอบเนื้อหา: การให้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ มาเขียนหรือตรวจสอบเนื้อหา จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้อ่านได้

ตัวอย่างเช่น Healthline เว็บไซต์ด้านสุขภาพที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าบทความต่าง ๆ นั้นถูกเขียนและตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณวุฒิ

blog feature shows who reviewed the article and who wrote the article as well as provides links to their bios
  • รถรุ่นนี้ขับง่ายมากค่ะ เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มขับรถเลยก็ได้
  • ตอนแรกที่ขับก็ยังไม่ชินเท่าไหร่ แต่พอขับไปสักพักก็รู้เลยว่ารถคันนี้ตอบสนองได้ดีมาก ไม่ว่าจะเร่งหรือเบรกก็ทำได้อย่างที่ใจคิด
  • ที่ประทับใจที่สุดคือเรื่องความประหยัดน้ำมัน ตอนแรกที่ดูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่พอใช้จริง ๆ แล้ว ค่าน้ำมันต่อเดือนถือว่าถูกกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ทำให้รู้สึกคุ้มค่ามาก ๆ ค่ะ

3. ประสบการณ์ของผู้ใช้ User Experience

ประสบการณ์ของผู้ใช้ UX เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google โดยหน้าที่ของคุณคือทำให้หน้าเว็บใช้งานง่ายและน่าใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นได้

SEO Algorithm เกณฑ์ของหน้าเว็บที่ให้ประสบการณ์ที่ดี หน้าเว็บที่ให้ประสบการณ์ที่ดีมักมีลักษณะดังนี้

  • โหลดเร็ว: หน้าเว็บควรใช้เวลาโหลดไม่เกิน 2.5 วินาที
  • เป็นมิตรกับมือถือ Mobile-Friendly : การออกแบบหน้าเว็บต้องสามารถแสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์มือถือทุกประเภท
  • ไม่มี Pop-ups ที่น่ารำคาญ: หน้าเว็บไม่ควรมี Pop-ups หรือโฆษณาที่มากเกินไปจนรบกวนการใช้งาน
  • ระบบนำทางที่ชัดเจน: การนำทางในหน้าเว็บต้องเข้าใจง่าย และโครงสร้างเว็บไซต์โดยรวมต้องเป็นระเบียบและสมเหตุสมผล

การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย: เว็บไซต์ควรใช้การเชื่อมต่อแบบ HTTPS เพื่อความปลอดภัย

PageSpeed Insights's Core Web Vitals assessment report

รายงาน Core Web Vitals และ รายงานประสิทธิภาพ (Performance) เพื่อให้คุณได้แนวคิดในการปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บไซต์

ข้อมูลเชิงลึก เพื่อแก้ไขปัจจัยด้าน UX อื่น ๆ เช่น ความปลอดภัย, การรองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-friendliness) และอื่น ๆ อีกมากมาย

“Site Performance” and “Core Web Vitals” widgets highlighted in the Site Audit overview dashboard

4. ลิงก์ย้อนกลับ Backlinks

Backlinks คือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่เชื่อมโยงมายังหน้าเว็บไซต์ของคุณ เป็นเหมือนการโหวตคะแนนความน่าเชื่อถือที่ Google ใช้ในการประเมินว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าและน่าเชื่อถือแค่ไหน โดยปกติแล้ว ยิ่งคีย์เวิร์ด (คำค้นหา) คำไหนได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ การจัดอันดับให้ติดอันดับสูง ๆ ก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้นการได้รับ Backlink เพิ่มขึ้นจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือในสายงานของคุณจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ได้

ตัวอย่างเช่น คำว่า “ประโยชน์ของสไปรูลิน่า” ซึ่งมีคะแนนความยากของคีย์เวิร์ดอยู่ที่ 83/100 จากเครื่องมือ Keyword Overview ของ Semrush (คะแนนยิ่งสูง ยิ่งจัดอันดับได้ยาก)

ตารางที่ปรากฏเมื่อคุณเลื่อนลงในหน้า Keyword Overview จะแสดงให้เห็นว่าผลการค้นหาอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่มี Backlinks จำนวนหลายร้อยหรือหลายพันลิงก์จากเว็บไซต์ที่หลากหลาย

รู้หรือไม่ ? ควร ซื้อ Backlink หรือไม่? พร้อมเคล็ดลับสร้างลิงก์คุณภาพที่ได้ผลจริง

SERP analysis shows metrics like referring domains and number of backlinks per URL

เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในการค้นหาของ Google คุณควรสร้าง วิธีสร้าง Backlink (การที่เว็บไซต์อื่นลิงก์มาหาเรา) ให้ได้มากที่สุด และเพื่อให้คนอยากจะลิงก์มาหาคุณ คุณต้องมั่นใจว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าพอที่จะให้คนลิงก์ไปหาได้ ซึ่งทำได้โดยการนำเสนอข้อมูลและผลวิจัยที่เป็นต้นฉบับและมีประโยชน์

นอกจากนี้ คุณยังมีโอกาสได้รับ Backlinks มากขึ้นหากคุณ ติดต่อเว็บไซต์อื่นเพื่อขอให้เขาลิงก์มาหา โดยวิธีนี้จะง่ายขึ้นหากคุณส่งข้อความที่สร้างขึ้นสำหรับแต่ละเว็บไซต์โดยเฉพาะ เพื่อให้พวกเขารู้ว่าเนื้อหาที่คุณจะแชร์นั้นมีประโยชน์ต่อผู้อ่านของพวกเขาอย่างไร

คุณน่าจะรู้จักเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือในสายงานของคุณอยู่แล้ว ซึ่งสามารถเริ่มต้นติดต่อได้เลย

และอีกวิธีที่น่าสนใจคือการใช้เครื่องมืออย่าง Semrush’s Link Building Tool เพื่อให้การสร้าง Backlink SEO ง่ายขึ้น เพราะเครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณค้นหาเว็บไซต์ที่น่าสนใจ, ติดต่อพวกเขา และติดตามความคืบหน้าทั้งหมดได้ในที่เดียว

Link Building prospects report shows the source domain, url, and snippet about the site

5. ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหัวข้อ Topical Authority

ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหัวข้อ คือ การที่เว็บไซต์ของคุณมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณอย่างแท้จริง และการสร้างความเชี่ยวชาญนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหาได้ดีขึ้น

SEO Algorithm ถึงแม้ Google จะไม่ได้บอกตรง ๆ ว่านี่คือปัจจัยในการจัดอันดับ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อถือเว็บไซต์ที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในเรื่องนั้น ๆ

ตัวอย่างเช่น:

เว็บไซต์ Investopedia มีบทความมากมายหลายพันหน้าเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนและเงินส่วนบุคคล ทำให้บทความเหล่านั้นติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

this site is the first organic listing in Google SERP for a keyword

วิธีสร้างอำนาจทางเนื้อหาด้วย Topic Clusters หรือกลุ่มเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง Topical Authority

หลักการคือการสร้างหน้าเว็บหลายหน้าในหัวข้อที่กว้างเรื่องเดียวกัน แต่เจาะลึกในมุมมองที่แตกต่างกัน แล้วเชื่อมโยงหน้าเหล่านั้นเข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น: หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับในคำว่า “น้ำมันปลา” คุณควรสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้ด้วย:

  • ประโยชน์ของน้ำมันปลา
  • ผลข้างเคียงของน้ำมันปลา
  • ผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาที่ดีที่สุด
  • น้ำมันปลาแต่ละชนิด
  • น้ำมันปลากับโอเมก้า 3 ต่างกันอย่างไร

เพื่อหาไอเดียและวางโครงสร้างเนื้อหา คุณสามารถใช้เครื่องมือ Keyword Strategy Builder ของ Semrush ได้

เพียงแค่ใส่คำกว้าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ 2-3 คำ, เลือกประเทศเป้าหมาย แล้วกด “Create list”

จากนั้นคุณจะได้รายการหัวข้อที่เหมาะสำหรับสร้าง Pillar Pages (หน้าหลักที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละกลุ่มเนื้อหา) และ Subpages (หน้าย่อยที่เจาะลึกรายละเอียด) พร้อมข้อมูลปริมาณการค้นหา (Search Volume) และความยากของคีย์เวิร์ด (Keyword Difficulty Score) สำหรับแต่ละหัวข้อ

AD_4nXfJpSVNRRPVSuHRqScN7JETuyPOdoqLWg4_tRDPxvF4pBlfOp0-ljdIoFED90fyiVCDwETmgqJs3KhY6PLwvmUXWEAx_pastbjONcwfUs6FhYwwJCnUbkl80rV2AG2i72CJhXIvVw?key=456cLsApjQqX2fEk3qQD3tQT

6. บริบท Context

Google ปรับแต่งผลการค้นหาให้เหมาะกับแต่ละคน โดยใช้ปัจจัยต่างๆ เช่น

  • สถานที่: ผู้ใช้งานอยู่ที่ไหน?
  • อุปกรณ์: ใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต?
  • ประวัติการค้นหา: เคยค้นหาหรือเข้าชมเว็บไซต์อะไรมาก่อนบ้าง?

ตัวอย่าง สมมติว่ามีคนค้นหาคำว่า “ร้านพิซซ่าใกล้ฉัน” ที่เมืองชิคาโกตอน 6 โมงเย็น Google อาจจะ

  • แสดงเฉพาะร้านที่เปิดอยู่ตอนนี้
  • ให้ความสำคัญกับร้านที่อยู่ใกล้ตัวผู้ใช้งานที่สุด
  • จัดอันดับร้านที่ผู้ใช้งานเคยเข้าชมเว็บไซต์มาก่อนให้สูงขึ้น

ปรับผลลัพธ์ตามอุปกรณ์ที่ใช้ ถ้าค้นหาจากมือถือ แสดงว่าอาจจะอยากกินเลย ก็จะเน้นร้านที่สามารถไปได้ทันที แต่ถ้าค้นหาจากคอมพิวเตอร์ อาจจะกำลังวางแผนล่วงหน้า ก็อาจจะแสดงข้อมูลที่ละเอียดขึ้น

local pack shows three local places near the searcher

อันดับการค้นหาไม่ได้คงที่เสมอไป อันดับของเว็บไซต์ของคุณอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ใช้แต่ละคน เช่น อยู่ในเมืองไหน ค้นหาตอนไหน หรือมีประวัติการค้นหาอย่างไร

ปัจจัยการจัดอันดับที่ยังถกเถียงกัน

หัวข้อบางอย่างที่พูดถึงกันบ่อย ๆ ในวงการ SEO อาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในอัลกอริทึมของ Google อย่างที่เราคิดกันไว้

นี่คือประเด็นหลัก ๆ ที่ควรรู้

  • อายุโดเมน (Domain age): การมีเว็บไซต์ที่เปิดมานานไม่ได้ช่วยให้อันดับดีขึ้นโดยตรง แต่คุณภาพของเนื้อหาที่คุณสร้างขึ้นมาตลอดเวลาต่างหากที่สำคัญ
  • อัตราตีกลับ (Bounce rate): คือเปอร์เซ็นต์ของผู้เยี่ยมชมที่เข้ามาในเว็บไซต์แล้วออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการคลิกดูหน้าอื่น ๆ แม้ว่าเอกสารที่หลุดออกมาของ Google เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 จะบ่งชี้ว่า Bounce Rate อาจมีผลต่ออันดับโดยตรง (ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ Google เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้) แต่เราก็ยังไม่รู้ว่ามันสำคัญแค่ไหน
  • ความน่าเชื่อถือของโดเมน (Domain authority): เครื่องมือ SEO หลายตัวใช้ค่านี้เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ Google อาจมีวิธีการวัดค่านี้ในแบบของตัวเอง แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่า Google ใช้คะแนนที่มาจากเครื่องมือภายนอก
  • จำนวนคำ (Word count): Google ไม่ได้กำหนดว่าเนื้อหาต้องมีความยาวเท่าไหร่ถึงจะดี ดังนั้นให้เน้นที่การครอบคลุมเนื้อหาให้ครบถ้วนและชัดเจนเป็นหลัก
  • ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด (Keyword density): การใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ไม่ได้เป็นปัจจัยในการจัดอันดับ เพราะการใช้คำซ้ำไม่ได้หมายความว่าเนื้อหานั้นมีคุณภาพหรือเกี่ยวข้องเสมอไป

ประวัติโดยย่อของการอัปเดตอัลกอริทึมของ Google SEO Algorithm

Google พัฒนาอัลกอริทึมการค้นหาอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงคุณภาพและความเกี่ยวข้องของผลลัพธ์ รวมถึงป้องกันกลยุทธ์สแปม

นี่คือการอัปเดตอัลกอริทึมที่สำคัญบางส่วนของ Google

ชื่อและการอัปเดตคำอธิบาย
Spam Update, มีนาคม 2024เพิ่มความสามารถของ Google ในการตรวจจับกลยุทธ์สแปม เช่น การใช้โดเมนที่หมดอายุเพื่อทำ SEO, การเผยแพร่เนื้อหาคุณภาพต่ำจำนวนมาก และการโฮสต์เนื้อหาจากบุคคลที่สามโดยไม่มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม
Helpful Content Update, สิงหาคม 2022สร้างวิธีที่จะให้รางวัลกับเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และเน้นผู้ใช้งานเป็นหลัก
BERT Update, ตุลาคม 2019ปรับปรุงความเข้าใจภาษาธรรมชาติและบริบทการค้นหาของ Google เพื่อให้ตรงกับคำค้นหาและผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องได้ดีขึ้น
RankBrain Update, ตุลาคม 2015ระบบ AI ตัวแรกของ Google ที่ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจคำค้นหาใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น
Mobile-Friendly Update, กุมภาพันธ์ 2015ทำให้การรองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญ โดยให้ความสำคัญกับหน้าเว็บที่ทำงานได้ดีบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
Hummingbird Update, กันยายน 2013ปรับปรุงความสามารถของ Google ในการทำความเข้าใจความหมายของคำค้นหาและจับคู่กับผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง
Penguin Update, เมษายน 2012มุ่งเป้าไปที่การสร้างลิงก์แบบผิดธรรมชาติและการใช้คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ มากเกินไป
Panda Update, กุมภาพันธ์ 2011มีเป้าหมายเพื่อลดอันดับของเว็บไซต์คุณภาพต่ำและส่งเสริมเว็บไซต์ที่เน้นคุณภาพ

จะทำอย่างไรถ้าเว็บคุณได้รับผลกระทบจากการอัปเดต Google Search Algorithm

นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้หากสงสัยว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับผลกระทบในทางลบจากการอัปเดตอัลกอริทึม

1. ตรวจสอบการอัปเดตเกิดขึ้นจริง Confirm There Was an Update

วิธีตรวจสอบว่ามีการอัปเดตอัลกอริทึมของ Google เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ให้ไปที่ Google’s Search Status Dashboard และดูการอัปเดตล่าสุดที่อยู่ด้านบนสุด

Google Search Status Dashboard shows ranking incidents in 2024 along with their date and duration

อยากเช็กความผันผวนของการค้นหาในวงการของคุณใช่ไหม? ให้ใช้ Semrush Sensor

ตัวอย่าง ตอนนี้วงการบันเทิงมีความผันผวนสูงมาก

Semrush Sensor shows SERP volatility over 30 days for different business categories

ถ้าเหมือนจะมีอัปเดต ให้ทำตามขั้นตอนถัดไป

ถ้ายังไม่มีอัปเดต แต่คุณสังเกตเห็นว่าจำนวนการเข้าชมเว็บหรืออันดับในการค้นหาลดลง ให้ตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้

  • คู่แข่งอาจจะทำอันดับได้ดีกว่าคุณ (ลองดูว่าพวกเขาอัปเดตหรือเพิ่มเนื้อหาใหม่ หรือได้รับลิงก์ใหม่ๆ หรือเปล่า)
  • มีข้อผิดพลาดในการติดตามข้อมูล (ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Google Analytics และเครื่องมืออื่นๆ ของคุณทำงานอย่างถูกต้อง)
  • จำนวนการค้นหาลดลง (อาจเกิดจากปัจจัยทางฤดูกาลหรือแนวโน้ม)
  • มีปัญหาด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) บนเว็บไซต์ของคุณ (เช่น ลิงก์เสีย)

2. ประเมินผลกระทบ Evaluate the Impact

เพื่อประเมินผลกระทบจากการอัปเดตของ Google คุณต้องทำตามขั้นตอนดังนี้

  1. หาข้อมูลเกี่ยวกับการอัปเดต ถ้ามีการอัปเดตเกิดขึ้น คุณต้องทำความเข้าใจว่าการอัปเดตนั้นมีจุดประสงค์อะไร เพื่อจะรู้ว่าทำไมเว็บไซต์ของคุณถึงได้รับผลกระทบ ตรวจสอบช่องทางทางการ: บางครั้ง Google จะแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการอัปเดตโดยตรงบนแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิมคือ Twitter) หรือในบล็อก Google Search Central Blog
  2. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ทราบแน่ชัดว่าการอัปเดตมีวัตถุประสงค์อะไร ให้ลองดูหน้าผลการค้นหา (SERP) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ สังเกตความเปลี่ยนแปลง ดูว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างในหน้าผลการค้นหา ใครกำลังได้เปรียบ (อันดับสูงขึ้น) และ ใครกำลังเสียเปรียบ (อันดับลดลง) หาแพทเทิร์น จดบันทึกสิ่งที่สังเกตเห็นและหาแพทเทิร์นร่วมกันที่เกิดขึ้น
  3. ตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องรู้ว่าหน้าเพจไหนของเว็บไซต์ที่อันดับลดลง และหน้าไหนที่อันดับดีขึ้น คุณสามารถดูข้อมูลนี้ได้จาก Google Search Console

ขั้นตอนการตรวจสอบ ไปที่เมนู “Search results” (ผลการค้นหา) ใต้หัวข้อ “Performance” (ประสิทธิภาพ)

เลือกแท็บ “Pages” (หน้าเว็บ) ที่อยู่ด้านบนของตาราง

Pages are listed by number of clicks and show metrics like impressions and position

คุณสามารถเลือกช่วงเวลาและเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้าเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้

ถ้าคุณต้องการติดตามการเปลี่ยนแปลงสำหรับชุดคำหลัก keywords ที่เจาะจง ให้ใช้เครื่องมือ Position Tracking ของ Semrush

หลังจากที่คุณตั้งค่าโปรเจกต์แล้ว ให้คลิกที่เมนู “Pages” (หน้าเว็บ) และดูที่คอลัมน์ “Average position” (อันดับเฉลี่ย) เพื่อสังเกตหน้าเว็บใดที่มีอันดับเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

Pages are listed with metrics like average position and change in position over time

3. สร้างแผนปฏิบัติการ Make an Action Plan

เมื่อคุณเข้าใจเป้าหมายของการอัปเดตและรู้ว่าหน้าเว็บไหนของคุณได้รับผลกระทบแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มวางแผนการกู้คืนอันดับ

  1. รอให้สถานการณ์นิ่งก่อน ในช่วงแรกของการอัปเดตใหม่ อันดับมักจะผันผวนมาก ดังนั้นควรรอให้การเปลี่ยนแปลงคงที่ก่อน
  2. จัดลำดับความสำคัญของหน้าเว็บที่ได้รับผลกระทบ เมื่อการเปลี่ยนแปลงคงที่แล้ว ให้ดูรายชื่อหน้าเว็บที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด และจัดลำดับความสำคัญตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าชม หรือยอดขายที่เกิดขึ้น
  3. วิเคราะห์คู่แข่ง ดูผลการค้นหาของแต่ละหน้าเว็บทีละหน้า วิเคราะห์หน้าเว็บที่ติดอันดับต้นๆ และเปรียบเทียบกับหน้าเว็บของคุณ คุณจะเห็นรูปแบบบางอย่าง เช่น ประเด็นที่คู่แข่งครอบคลุมแต่คุณยังไม่มี

จากนั้นก็เริ่มแก้ไขเนื้อหาของคุณให้สอดคล้องกันได้เลย

ตามทันการอัปเดตอัลกอริทึมของ Google Search Algorithm

SEO Algorithm อัลกอริทึมของ Google มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการจับตาดูอันดับของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญ

เครื่องมือ Position Tracking ช่วยให้คุณติดตามอันดับของคีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุด เพื่อให้คุณเห็นได้ง่ายๆ ว่าเว็บไซต์ของคุณมีอันดับดีขึ้นหรือแย่ลง

ทดลองใช้ฟรีเพื่อดูว่าตอนนี้อันดับของคุณอยู่ตรงไหน

Seoguru

อยากจะ ทําเว็บให้ติดหน้าแรก Google ต้องเริ่มยังไง? เรามี เทคนิคดีๆ มาฝากทุกสัปดาห์ ส่วนสำหรับท่านที่ไม่มีเวลาเข้ามาศึกษาสามารถให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพ >> ปรึกษาการทำอันดับ SEO << อย่างไรให้ปัง มีผู้เข้าใช้งาน เปลี่ยนยอดขายพังๆ ให้กลับมาขายปังๆ ได้ยังไง