ถ้าพูดถึงการทำ SEO หลายคนอาจคุ้นหูกับคำว่า SEO On-page และ SEO Off-page อยู่บ่อย ๆ แต่ยังไม่แน่ใจว่ามันต่างกันตรงไหน หรือควรโฟกัสอะไรก่อนหลัง บทความนี้ SEOGURU จะพาคุณมาเจาะลึกว่า SEO ทั้งสองแบบคืออะไร มีวิธีทำอย่างไร และทำไมทั้งคู่ถึงสำคัญไม่แพ้กันในการพาเว็บไซต์ของคุณขึ้นอันดับหน้าแรก Google
ทำความรู้จัก SEO On-page vs Off-page
SEO On-page คือ การปรับแต่งทุกอย่างที่อยู่ “ภายในเว็บไซต์” เพื่อทำให้ Google เข้าใจและจัดอันดับเว็บได้ง่ายขึ้น เช่น การใส่คีย์เวิร์ด การเขียน Title Description การจัดโครงสร้าง Heading และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้งาน ส่วน SEO Off-page คือ การสร้างสัญญาณจาก “ภายนอกเว็บไซต์” เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บ เช่น การทำ Backlink การโปรโมทบนโซเชียล หรือการสร้าง Brand Mentions
SEO On-page คืออะไร?
การ ทำ SEO On-page เปรียบเสมือนการแต่งบ้านให้สวยงามและน่าอยู่ เป็นขั้นแรกที่ต้องทำก่อนจะไป offpage คิดง่ายๆเหมือนก่อนที่คุณจะเชิญแขกเข้ามาในบ้านก็ต้องทำบ้านให้ดีก่อน ไม่ใช้ว่า เชิญคนอื่นมาในบ้าน รกๆ จุดสำคัญของ SEO On-page ได้แก่
- การเลือกใช้คีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองในเนื้อหา
- การเขียน Meta Title และ Meta Description ที่ดึงดูดและตรงประเด็น
- การใช้ Heading Tags (H1, H2, H3) จัดโครงสร้างให้ชัดเจน
- การทำ Internal Link เชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บ
- การใส่รูปภาพพร้อม Alt Tags เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาภาพ
- ความเร็วในการโหลดเว็บและการแสดงผลแบบ Mobile-friendly
SEO Off-page คืออะไร?
ในขณะที่ SEO On-page เน้นเรื่อง “การปรับแต่งภายใน” SEO Off-page จะช่วยสร้างเครดิตและความน่าเชื่อถือจากแหล่งภายนอก ลองนึกถึงการที่คนอื่นพูดถึงธุรกิจของคุณ ยิ่งมีคนพูดถึงมาก เว็บของคุณก็จะยิ่งดูน่าเชื่อถือ ตัวอย่างการทำ Off-page SEO เช่น
- การทำ Backlink จากเว็บไซต์คุณภาพ
- การแชร์ลิงก์บน Social Media
- การรีวิวหรือพูดถึงบนเว็บบอร์ด/คอมมูนิตี้
- การทำ Guest Post บนเว็บไซต์อื่น
- การสร้าง Brand Mentions ให้มีการพูดถึงธุรกิจในโลกออนไลน์
SEO On-page vs Off-page แบบไหนสำคัญกว่ากัน?
ความจริงคือทั้งสองแบบมีความสำคัญและเสริมกัน หากเว็บไซต์ปรับ On-page ดีแต่ไม่มี Off-page ก็เหมือนบ้านที่แต่งสวยแต่ไม่มีแขกมาเยี่ยม แต่ถ้ามีแต่ Off-page โดยที่ On-page ไม่พร้อมก็เหมือนมีคนแห่กันเข้ามาในบ้านที่รก ไม่มีระบบการต้อนรับ สุดท้ายคนก็ออกไปอยู่ดี
ตัวอย่างการใช้งาน SEO On-page และ SEO Off-page
- ธุรกิจท้องถิ่น (Local Business): ควรเน้น On-page เช่น การใส่คีย์เวิร์ดพื้นที่ เช่น “ร้านกาแฟเชียงใหม่” พร้อมรีวิวใน Google My Business ที่เป็น Off-page
- เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ: On-page สำคัญมากในการจัดหมวดหมู่สินค้า แต่ก็ต้องใช้ Off-page อย่าง Influencer Marketing หรือ Backlink จากเว็บรีวิวสินค้า
- Blog ส่วนตัว: On-page จะช่วยให้เนื้อหาติดอันดับ ส่วน Off-page จะช่วยสร้างการแชร์และเพิ่มผู้อ่านใหม่ ๆ
เทคนิคทำ SEO On-page ให้ได้ผล
- ใช้ Keyword Research เพื่อเลือกคำที่ตรงกับ Search Intent
- เขียนบทความคุณภาพ ไม่ใช่ยัดคีย์เวิร์ดจนอ่านไม่รู้เรื่อง
- ตั้งค่า Meta Title และ Description ให้กระชับและดึงดูด
- จัดโครงสร้าง Heading ให้อ่านง่ายและเป็นลำดับ
- ทำ Internal Link ไปยังบทความอื่นในเว็บ
เทคนิคทำ SEO Off-page ให้เวิร์ค
- มองหา Backlink คุณภาพ มากกว่าปริมาณ
- ทำ Content ที่น่าสนใจจนคนอยากแชร์เอง
- ใช้ Social Media โปรโมทเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ
- สร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือ Blogger อื่น ๆ เพื่อโอกาสทำ Guest Post
- อย่าพึ่งพา Spam Link เพราะเสี่ยงโดน Google Penalty
บทสรุป SEO On-page vs Off-page
การทำ SEO ไม่ใช่การเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นการผสมผสานระหว่าง On-page และ Off-page อย่างสมดุล On-page คือการปรับแต่งเว็บให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้และ Search Engine ส่วน Off-page คือการสร้างความน่าเชื่อถือและขยายการมองเห็น เมื่อทำทั้งคู่ควบคู่กันไป เว็บไซต์ของคุณก็จะมีโอกาสติดอันดับบน Google ได้ง่ายขึ้น และหากอยากให้การทำ SEO สมบูรณ์แบบ อย่าลืม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่าง SEOGURU ที่พร้อมช่วยดันเว็บคุณขึ้นสู่หน้าแรก