ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า การเลือกคีย์เวิร์ด เป็นหัวใจหลักของ SEO
จริงๆ แล้ว คีย์เวิร์ดนั้นสำคัญมากจนสามารถทำให้แคมเปญ SEO ของคุณ ปังหรือพังได้เลย
พูดง่ายๆ ก็คือ:
ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในการทำ SEO คุณต้องเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่
แล้วคีย์เวิร์ดที่ “ใช่” คืออะไร? มาดูกันเลย…
วิธีเลือกคีย์เวิร์ด
ตั้งแต่การแข่งขันไปจนถึงปริมาณการค้นหา นี่คือ กระบวน การเลือกคีย์เวิร์ด ที่ดีที่สุดสำหรับ SEO
ขั้นตอนที่ 1: สร้างลิสต์คีย์เวิร์ดของคุณ
ก่อนอื่น คุณต้อง รวบรวมคีย์เวิร์ดให้ได้เยอะที่สุด
ตอนนี้ ยังไม่ต้องสนใจ เรื่องการแข่งขัน ค่าโฆษณา (CPC) หรือข้อมูลอื่นๆ
เป้าหมายหลักของเราตอนนี้คือ สร้างลิสต์คีย์เวิร์ดขนาดใหญ่ ให้ได้ก่อน
(เดี๋ยวในขั้นตอนที่ 2-6 เราจะมาคัดเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดจากลิสต์นี้กัน)
ต่อไปนี้คือ วิธีสร้างลิสต์คีย์เวิร์ด ที่มีประสิทธิภาพ
Google Keyword Planner
Google Keyword Planner ออกแบบมาเพื่อใช้กับ Google Ads

แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการวิจัยคีย์เวิร์ด SEO เช่นกัน
(ที่สำคัญคือ ใช้งานได้ฟรี!)
วิธีใช้:
สร้างบัญชี Google Ads
ไปที่ “เครื่องมือ” (Tools) > “การวางแผน” (Planning) > “Google Keyword Planner” ในเมนูด้านซ้าย

คลิกที่ “ค้นหาคีย์เวิร์ดใหม่” (Discover new keywords) พิมพ์คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณลงไป

Google จะสร้างรายการคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมาให้คุณทันที

นอกจากนี้ คุณยังจะได้รับข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับคีย์เวิร์ด เช่น ค่าประมูลต่อคลิก (Top of Page Bid)

แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจข้อมูลพวกนั้น
สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ คัดเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ แล้วบันทึกลงในลิสต์

(เราชอบใช้ Google Sheets ในการจัดเก็บคีย์เวิร์ด แต่คุณสามารถใช้ Excel, Word หรือเครื่องมืออื่นๆ ตามที่สะดวกได้เลย)
Semrush
ถ้าคุณอยากรู้ว่าคู่แข่งของคุณ ติดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดอะไร Semrush คือเครื่องมือที่ตอบโจทย์

ทำไมต้องใช้ Semrush?
เพราะมันช่วยให้คุณเห็น คีย์เวิร์ดที่คู่แข่งติดอันดับอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่า คีย์เวิร์ดเหล่านั้นมีโอกาสสูงที่จะได้ผลดีสำหรับคุณเช่นกัน
วิธีใช้: ไปที่ Semrush Organic Research พิมพ์เว็บไซต์ของคู่แข่งลงไป


เคล็ดลับ: เลือกคู่แข่งที่มีขนาดใกล้เคียงกับธุรกิจของคุณ ถ้าคุณใส่เว็บใหญ่ๆ อย่าง Amazon หรือ Shopee เข้าไป คุณจะได้คีย์เวิร์ดที่แข่งยากมาก
คลิก Organic Research > Positions เพื่อดูว่าพวกเขาติดอันดับคีย์เวิร์ดอะไรใน Google

Google Suggest
Google Suggest เป็น เครื่องมือสุดเจ๋ง สำหรับการค้นหา คีย์เวิร์ดแบบ Long Tail
เพียงแค่คุณพิมพ์คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณลงไปใน Google ระบบก็จะ แนะนำคีย์เวิร์ดเพิ่มเติม ให้คุณทันที

(ที่สำคัญ คำแนะนำเหล่านี้อ้างอิงจากสิ่งที่ ผู้คนกำลังค้นหาอยู่จริงๆ ในขณะนี้ นั่นหมายความว่า พวกมันได้รับความนิยมแน่นอน)
Seed Keywords
Seed Keywords เป็นเครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดที่ เจ๋งมาก

เพราะมันช่วยให้ การเลือกคีย์เวิร์ด ค้นหาคำที่ผู้ใช้จริงใช้ในการค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณ
(ช่วยลดการคาดเดาไปได้เยอะ คุณจะได้คีย์เวิร์ดที่แม่นยำขึ้น)
วิธีใช้: สร้าง “Scenario” หรือแบบจำลองสถานการณ์

ตั้งคำถามว่า “ถ้าคุณต้องการค้นหาสินค้า/บริการของเราใน Google คุณจะใช้คำว่าอะไร?”

ส่ง Scenario นี้ไปให้กลุ่มเป้าหมาย หรือคนที่คุณรู้จัก

วิเคราะห์คำตอบที่ได้

จากนั้น คุณจะพบ คีย์เวิร์ดที่มีค่า ที่หายากและอาจไม่มีในเครื่องมืออื่นๆ

หมายเหตุ: "Seed Keywords" คือ คีย์เวิร์ดพื้นฐานที่คุณป้อนเข้าไปในเครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดอื่นๆ
แต่ปัญหาคือ หลายคนเลือก Seed Keywords จากการคาดเดา หรือใช้คำที่ตัวเองคิดว่าคนจะค้นหา
ซึ่งอาจไม่ใช่คำที่คนใช้จริง Seed Keywords ช่วยให้คุณได้ การเลือกคีย์เวิร์ด ที่แม่นยำกว่าเพราะมันมาจากการค้นหาของคนจริงๆ
Semrush Keyword Magic Tool
Keyword Magic Tool เป็นหนึ่งในเครื่องมือการเลือกคีย์เวิร์ด SEO ที่ทรงพลังของ Semrush

วิธีทำงาน: มันจะสร้าง คีย์เวิร์ดแนะนำ จาก Seed Keywords ของคุณ
ใช้ AI อัจฉริยะ วิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ด, ระดับการแข่งขัน และข้อมูลจากทั้งเว็บไซต์ของคุณและหน้า SERPs อื่นๆ

สิ่งที่ทำให้ Semrush เหนือกว่าคนอื่น คือ
มันให้ข้อมูลเชิงลึกของแต่ละคีย์เวิร์ดแบบละเอียดสุดๆ ใช้ AI ขั้นสูงเพื่อช่วยให้คุณ เลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดได้ง่ายขึ้น

ซึ่งจะช่วยให้คุณ เลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น
(เราจะลงลึกเรื่องนี้เพิ่มเติมในขั้นตอนถัดไป…)
พร้อมลุยขั้นตอนที่ 2 แล้วหรือยัง? ไปต่อกันเลย!
ขั้นตอนที่ 2: ค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ
ตอนนี้ถึงเวลาวิเคราะห์คู่แข่งแล้ว
เป้าหมายคือการ หาคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับได้ง่าย หรือที่มีการแข่งขันไม่สูงมากจากลิสต์ของคุณ
วิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ
MozBar สำหรับ Chrome
MozBar เป็น เครื่องมือฟรี ที่ช่วยวิเคราะห์การแข่งขันของคีย์เวิร์ดจากผลลัพธ์การค้นหา Google

MozBar จะแสดงค่าต่างๆ เช่น: Page Authority (PA): คะแนนที่บอกถึงคุณภาพและจำนวนลิงก์ที่ชี้มายังหน้านั้นๆ

Domain Authority (DA): คะแนนที่บอกถึงความน่าเชื่อถือของทั้งเว็บไซต์ในสายตาของ Google

ต้องใช้ค่า PA หรือ DA เท่าไหร่ถึงจะดี?
ไม่มีตัวเลขตายตัว ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมของคุณ แต่โดยทั่วไปแล้ว
ค่า DA และ PA ยิ่งต่ำ ยิ่งมีโอกาสติดอันดับง่ายขึ้น
ลองค้นหาสักสองสามครั้ง คุณจะเริ่มเข้าใจว่าคีย์เวิร์ดแบบไหนที่ “แข่งขันต่ำ” ในสายธุรกิจของคุณ
Keyword Difficulty Score
เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดส่วนใหญ่จะมี คะแนนความยากของคีย์เวิร์ด (Keyword Difficulty Score)
ตัวอย่างจาก Semrush ใช้ค่า “Keyword Difficulty“

ตัวอย่างจาก Ahrefs ใช้ค่า “Keyword Difficulty”

ตัวอย่างจาก KWFinder ใช้ค่า “Keyword SEO Difficulty”

ข้อเสียของ Keyword Difficulty Score
คะแนนนี้อิงจาก จำนวน Backlinks เท่านั้น แต่ Google ใช้ปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ในการจัดอันดับ เช่น
เนื้อหาหน้าเว็บตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาหรือไม่
หน้าเว็บนั้นได้รับการปรับแต่ง (On-Page SEO) ดีแค่ไหน
ปัจจัยอื่นๆ อีก เป็นร้อยๆ ข้อ
สรุป:
คะแนน Keyword Difficulty ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของการแข่งขัน แต่ ไม่ได้แม่นยำ 100%
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบปริมาณการค้นหา (Search Volume)
ต่อไป คุณต้องดูว่าคีย์เวิร์ดที่คุณเลือก มีคนค้นหาต่อเดือนมากน้อยแค่ไหน
(หรือที่เรียกว่า “Monthly Search Volume”)
คุณสามารถดูข้อมูลปริมาณการค้นหาได้จาก Google Keyword Planner
(ในเครื่องมือนี้ Google เรียกปริมาณการค้นหาว่า “Avg. Monthly Searches” หรือ “จำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือน”)

คุณสามารถ กรองผลลัพธ์ ให้แสดงเฉพาะคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง-ต่ำ หรือ CPC ตามที่ต้องการได้

แต่เดี๋ยวก่อน…
ถึงแม้ข้อมูลนี้จะมาจาก Google โดยตรง ตัวเลขที่แสดง เป็นแค่ค่าประมาณ ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน
ตัวอย่าง: หากคุณค้นหาคีย์เวิร์ด “SEO Tools” บน Google Keyword Planner
เครื่องมือจะแสดงว่ามี 1,000 – 10,000 การค้นหาต่อเดือน

แต่ในความเป็นจริง… เว็บไซต์ของเราติดอันดับ Top 3 สำหรับคีย์เวิร์ดนี้ และพบว่า มีคนค้นหามากถึง 39,000 ครั้งต่อเดือน!

เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดส่วนใหญ่ (รวมถึง Semrush) ดึงข้อมูลปริมาณการค้นหาจาก Google Keyword Planner

แต่มี 2 เครื่องมือ ที่ใช้ฐานข้อมูลภายในของตัวเองเพื่อคาดการณ์จำนวนการค้นหาต่อเดือนที่แม่นยำยิ่งขึ้น…
ข้อมูล Clickstream ของ Moz และ Ahrefs
ทั้ง Moz Pro และ Ahrefs ใช้ ข้อมูล Clickstream เพื่อคำนวณปริมาณการค้นหา
พูดอีกอย่างก็คือ
พวกเขาไม่ได้ดึงข้อมูลปริมาณการค้นหาจาก Google Keyword Planner (GKP) แต่คำนวณปริมาณการค้นหาจากพฤติกรรมจริงของผู้ใช้ นั่นหมายความว่า ข้อมูลที่ได้มานั้นมีความแม่นยำและเชื่อถือได้มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น มาดูคำว่า “เครื่องมือ SEO” กันอีกครั้ง
Moz ให้ช่วงตัวเลข “6.5k-9.3k” การค้นหาต่อเดือน

Ahrefs ประมาณปริมาณการค้นหาว่าอยู่ที่ 12k ต่อเดือน

เราไม่ควรไปให้ความสนใจกับการเปรียบเทียบปริมาณการค้นหาจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน แค่จะบอกให้คุณเห็นว่า เครื่องมือแต่ละตัวนั้นมีวิธีการประมาณปริมาณการค้นหาที่แตกต่างกันไป
คำถามเดียวที่เหลืออยู่คือ
คำค้นหาคำหนึ่งต้องมีการค้นหามากแค่ไหนถึงจะคุ้มค่ากับการทำให้มันติดอันดับ
คำตอบสั้นๆ คือ… มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ถ้าจะให้ตอบแบบยาวๆ ก็คือ
ไม่มีปริมาณการค้นหาขั้นต่ำที่ใช้ได้กับทุกคน เพราะแต่ละธุรกิจก็มีความแตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น ในตลาดของ Seo guru (B2B) คีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาต่อเดือน 25k ถือว่า สูงมาก
แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ด ที่มีปริมาณการค้นหาค่อนข้างสูงในธุรกิจของคุณ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
ต่อไปก็ไปที่ขั้นตอนที่ 4
ขั้นตอนที่ 4: ประเมินศักยภาพในการทำรายได้
การที่คีย์เวิร์ด มีการค้นหามากและการแข่งขันน้อย ก็สำคัญ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ
คำถามคือ… คีย์เวิร์ด นั้นจะทำให้คุณได้เงินไหม
นี่คือสองวิธีที่จะช่วยให้คุณหาคำตอบได้
ราคาประมูลที่สูงสุดในหน้าการค้นหา
นี่คือตัวประเมินจากกูเกิลว่า ผู้โฆษณามักจะใช้จ่ายเท่าไหร่สำหรับการคลิกหนึ่งครั้ง

มันเรียกว่า “ราคาประมูลที่สูงสุดในหน้าผลลัพธ์” เพราะมันคือค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายเพื่อให้โฆษณาของคุณที่ปรากฏในหน้าผลการค้นหาของ Google
ยิ่งราคาประมูลที่สูงสุดในหน้าผลลัพธ์สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าคำนั้นมีมูลค่ามากเท่านั้น
(ที่เรียกกันว่า เจตนาการค้า)
ตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ด ที่ให้ข้อมูลอย่าง “เคล็ดลับการเขียน” มีการประมูลประมาณ 2 ดอลลาร์

ในทางกลับกัน คีย์เวิร์ดที่มีความต้องการสูง เช่น “WordPress hosting” มีการประเมินราคาค่าคลิกอยู่ที่ $37.41

(มันสูงกว่าคำว่า “writing tips” ถึง 18 เท่าเลยทีเดียว!)
เราไม่ได้บอกว่าคุณต้องไปเน้นคำค้นหาที่มีค่าคลิกเกิน 20 ดอลลาร์ขึ้นไป
แทนที่จะไปมุ่งเน้นแค่ค่าคลิกที่สูง ลองใช้เจตนาซื้อ (พร้อมกับปริมาณการค้นหา, ความแข่งขัน, และปัจจัยอื่นๆ) เพื่อหาคำค้นหาที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับคุณดีกว่า
การจับคู่ระหว่างผลิตภัณฑ์และคำค้นหา
ส่วนที่สองของศักยภาพในการทำรายได้เรียกว่า “การจับคู่ระหว่างผลิตภัณฑ์และคำค้นหา”
คำค้นหานี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณขายหรือเปล่า?
ชัดเจนเลยว่า ยิ่งคำค้นหามีความใกล้เคียงกับสินค้าหรือบริการของคุณมากเท่าไหร่ ผู้ที่ค้นหาก็ยิ่งมีโอกาสที่จะตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นเท่านั้น! พูดได้เลยว่า
คุณไม่จำเป็นต้องเน้นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณขายเสมอไป
ตัวอย่าง เช่น
SEO GURU, คือบริษัทที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ SEO
แต่เราไม่ได้เน้นแค่คีย์เวิร์ดที่ตรงๆ อย่าง “ปรึกษา SEO” หรือ “คอร์สการตลาดออนไลน์
แทนที่จะเน้นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรง ส่วนใหญ่จะเลือกคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าที่มีศักยภาพจะค้นหาในช่วงเวลาที่พวกเขายังไม่มองหาสิ่งนั้น
และเราสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมกับ SEO โดยใช้คีย์เวิร์ดเหล่านั้น
เราไม่ได้ขายซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการตรวจสอบ SEO
เรารู้ดีว่าผู้ที่ค้นหาคำว่า ‘SEO Audit’ คือกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
ขั้นตอนที่ 5: ประเมินอัตราคลิกออร์แกนิก (Organic CTR)
ขั้นตอนนี้คือการหาคำตอบว่า ผู้คนที่ค้นหาจริง ๆ แล้วกดคลิกผลการค้นหากี่คน
คุณอาจเคยเห็นกราฟแบบนี้มาก่อนใช่ไหม

มันเป็นการประเมินว่าผลลัพธ์อันดับ 1 ได้คลิกเท่าไหร่, อันดับ 2 ได้คลิกเท่าไหร่, และต่อ ๆ ไป
แต่สิ่งที่กราฟเหล่านั้นไม่บอกคุณคือ ผลการค้นหาปัจจุบันมันหนาแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ Google ใช้ Featured Snippets ล้านรายการเพื่อให้คำตอบกับคุณ โดยที่คุณไม่ต้องคลิกอะไรเลย

นอกจากนี้ยังมีภาพ, วิดีโอ YouTube และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ทำให้ผู้คนเบี่ยงเบนความสนใจจากผลการค้นหาที่ออร์แกนิก

พูดอีกอย่างก็คือ
ปริมาณการค้นหามีประโยชน์ แต่ถ้าหากไม่มีใครคลิกผลการค้นหาจริง ๆ มันก็ไม่สำคัญหรอกว่ามีคนค้นหาคำนี้มากแค่ไหน
นี่คือเหตุผลที่คุณต้องการประมาณอัตราคลิกออร์แกนิก (Organic CTR)
ดูที่ผลการค้นหาบนหน้า SERP
สิ่งที่คุณต้องทำที่นี่คือตรวจสอบผลการค้นหาหน้าแรกของ Google สำหรับคีย์เวิร์ดหลัก ของคุณ
ถ้าหน้าแรกมีข้อมูลเยอะมากๆ เราก็จะรู้เลยว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เห็นผลการค้นหาปกติเลย…ไม่ต้องพูดถึงว่าจะคลิกเข้าไปดู
ตัวอย่าง เมื่อเราค้นหาคำว่า “life insurance” หรือ “ประกันชีวิต” บน Google หน้าแรกของผลการค้นหาจะแสดงข้อมูลที่หลากหลายและครอบคลุม

เราจะเห็น 4 ads above the fold

และ Featured Snippet

และ คำถามที่ผู้คนมักถามถึง

จะเห็นทั้งหมดนี้ก่อนที่คุณจะไปถึงผลการค้นหาแบบออร์แกนิกแรก
นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรหลีกเลี่ยงคีย์เวิร์ดนี้
ท้ายที่สุดแล้ว มันมี ราคาเสนอราคาสูงสุด อยู่ที่ 46.95 ดอลลาร์

แต่มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้ในขณะที่คุณเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดจากรายการของคุณ
Ahrefs “Clicks”
Ahrefs ใช้ข้อมูล Clickstream เพื่อหาว่าผู้ค้นหาจำนวนเท่าใดที่คลิกเข้าไปดูอะไรบางอย่าง

เรายังคงแนะนำให้ดูผลการค้นหาอยู่ดี แต่ ‘Clicks’ สามารถช่วยคุณกรองคำหลักที่มี CTR ต่ำมากๆ ออกไปได้
ขั้นตอนที่ 6: เลือกคำหลักที่เป็นที่นิยม
สุดท้ายนี้ ถึงเวลาที่จะดูว่าคำหลักในรายการของคุณกำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นหรือลดลง
การเลือกคำหลักที่กำลังเป็นที่นิยม (trending keywords) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำ SEO
ด้วยวิธีนั้น คุณจะได้รับปริมาณการเข้าชมจากคำเหล่านั้นมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
Google Trends ช่วยคุณได้ในเรื่องนี้
ตั้งค่าช่วงวันที่ให้แสดงข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือนที่ผ่านมา

สังเกตเส้นกราฟ

หากความนิยมของคำหลักเพิ่มขึ้น (หรืออย่างน้อยก็คงที่) นั่นเป็นสัญญาณที่ดี
ถ้าไม่ใช่ คุณอาจต้องการเลือกใช้คำหลักอื่นที่เกี่ยวข้องมากกว่า
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดขั้นสูง (แผนผัง 5 ขั้นตอน) : บทเรียนวิดีโอที่แนะนำคุณผ่านกระบวนการนี้อย่างละเอียด
17 วิธี ที่ดีที่สุด ในการหาคีย์เวิร์ด (Keyword Research) สำหรับเครื่องมือ SEO : ลิสต์เครื่องมือ Seo ที่ดีที่สุด
การค้นหาคีย์เวิร์ดแบบ Long Tail Keywords : วิธีโดยละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์คีย์เวิร์ดเพื่อค้นหาคีย์เวิรดแบบ Long-Tail ที่มีการแข่งขันต่ำ

หากต้องการให้เว็บไซต์ของคุณ ติดอยู่ในหน้าแรกของ Google แต่ไม่อยากเสียเวลาศึกษาและลงมือทำเอง สามารถมาปรึกษา Seo ฟรี กับเราได้ที่ Seo guru ที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์คอยบริการคุณด้วยความยินดี ติดต่อได้ทาง Line Official ของเรา ได้ตลอด 24 ชั่วโมง