คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง Irrelevant Keywords

คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง

คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องคืออะไร? Irrelevant Keywords คือคำค้นหาที่ไม่มีเหตุผลให้เว็บไซต์หรือหน้าเว็บของคุณไปติดอันดับในผลการค้นหาสำหรับคำเหล่านั้น เพราะมันไม่สอดคล้องกับ เป้าหมายทางธุรกิจ หรือ จุดประสงค์ของเนื้อหา

คุณอาจติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ได้ตั้งใจ

ตัวอย่างเช่น หน้า “ติดต่อเรา” ของแบรนด์แฟชั่น Coach กลับไปติดอันดับในคำค้นหา “email coaching” ซึ่งไม่ตรงกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์เลย

google-serp-coach-email-coaching

หรือในบางกรณี คุณอาจตั้งใจให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในคีย์เวิร์ด ที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็ได้

ตัวอย่างเช่น แบรนด์แฟชั่นอาจสร้างบทความบล็อกขึ้นมาเพื่อพยายามติดอันดับในคำค้นยอดนิยมอย่าง “รูปแมว” แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของแบรนด์เลยก็ตาม แต่ถ้าเว็บไซต์มี อำนาจหรือความน่าเชื่อถือสูงพอ ก็ยังสามารถติดอันดับในคีย์เวิร์ดนั้นได้อยู่ดี

อ่านเพิ่มเติม : วิธีการหา และ ทำ keyword research

Table of Contents

การติดอันดับในคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณได้อย่างไร

1. ไม่ช่วยสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ

การติดอันดับในคีย์เวิร์ด ที่ไม่เกี่ยวข้อง มักจะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใด ๆ ต่อธุรกิจของคุณ

ตัวอย่างเช่น:

  • คนที่ค้นหา “email coaching” แทบไม่มีโอกาสคลิกเข้าไปที่หน้าติดต่อของแบรนด์ Coach
  • คนที่เข้าไปอ่านบล็อก “รูปแมว” ของแบรนด์แฟชั่น ก็ไม่น่าจะซื้อเสื้อผ้าต่อจากหน้านั้น

ดังนั้น อย่าเสียเวลาสร้างคอนเทนต์ SEO เพื่อหวังอันดับในคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง

และอย่าใช้คีย์เวิร์ดเหล่านี้กับ โฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) เพราะคุณต้องเสียเงินทุกครั้งที่มีคนคลิก แม้พวกเขาจะไม่กลายเป็นลูกค้าก็ตาม (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นอยู่แล้ว)

2. อาจเป็นสัญญาณว่าเนื้อหาของคุณมีปัญหา

หากหน้าเว็บของคุณติดอันดับคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง ดีกว่าคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง นั่นอาจหมายความว่า เนื้อหาของคุณไม่ตอบโจทย์เจตนาการค้นหา พูดง่าย ๆ คือ ไม่ช่วยให้ผู้ใช้งานบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

อีกกรณีหนึ่ง การติดอันดับจากคีย์เวิร์ด ที่ไม่เกี่ยวข้องอาจบ่งชี้ว่า หน้าเว็บของคุณไม่ได้ถูกปรับแต่ง (Optimize) ได้ดีพอ ทั้ง Google และผู้ใช้อาจไม่เข้าใจว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับอะไร

อย่างไรก็ตาม หากหน้าเว็บของคุณติดอันดับจากคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องเล็กน้อย แต่ยังติดอันดับสูงจากคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจริง ๆ อยู่ ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก

เช่น หน้า “ติดต่อเรา” ของแบรนด์ Coach ติดอันดับที่ 48 สำหรับคำว่า “email coaching” (ซึ่งไม่เกี่ยวข้อง) แต่ก็ติดอันดับสูงกว่าสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง เช่น “coach email”

organic-search-positions-coach-email

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า Google เข้าใจวัตถุประสงค์หลักของหน้านั้นอย่างถูกต้อง และในกรณีของ Coach จึง ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม

3. อาจลดความน่าเชื่อถือในด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Topical Authority)

Topical Authority คือความเชี่ยวชาญที่เว็บไซต์ของคุณแสดงออกมาในหัวข้อหรือหมวดหมู่ใดหมวดหมู่หนึ่ง

การไปติดอันดับจากคีย์เวิร์ดนอกกลุ่มเนื้อหาหลัก อาจทำให้ Topical Authority ของเว็บไซต์ลดลง

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
เพราะมันทำให้เว็บไซต์ของคุณดู ไม่เฉพาะทางหรือไม่เน้นเนื้อหาในด้านใดด้านหนึ่ง

ทั้งเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้งานต่างก็ มักจะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ลองคิดตามดูว่า…

คุณอยากได้รับคำแนะนำเรื่องสุขภาพจากเว็บไซต์ A หรือเว็บไซต์ B?

คีย์เวิร์ดของเว็บไซต์ Aคีย์เวิร์ดของเว็บไซต์ B
“healthy recipes” (สูตรอาหารเพื่อสุขภาพ)“gut health” (สุขภาพลำไส้)
“fitness plans” (แผนการออกกำลังกาย)“nutritional advice” (คำแนะนำด้านโภชนาการ)
“paris travel guide” (ไกด์เที่ยวปารีส)“allergy symptoms” (อาการภูมิแพ้)
“fashion trends” (เทรนด์แฟชั่น)“flu treatments” (การรักษาไข้หวัด)
“celebrity news” (ข่าวดารา)“chronic pain” (อาการเจ็บป่วยเรื้อรัง)

เห็นได้ชัดว่า เว็บไซต์ B มีความสม่ำเสมอในหัวข้อเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งน่าเชื่อถือกว่าในสายตาทั้งของผู้ใช้งานและของ Google

แน่นอนว่าคุณคงเลือก เว็บไซต์ B ใช่ไหม?

เพราะเว็บไซต์นี้มี Topical Authority สูงกว่า เนื่องจากคีย์เวิร์ดทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสุขภาพ ทำให้เนื้อหาดูมีความเฉพาะทาง และน่าเชื่อถือมากกว่า

เว็บไซต์ B จึงมีแนวโน้มที่จะ ติดอันดับสูงขึ้นในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และได้รับการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ (Engagement) ดีกว่าเว็บไซต์ A อย่างชัดเจน

อ่านเพิ่มเติม : 7 วิธีหา Keyword ทำ SEO เรียกลูกค้าตัวจริงเข้ามาชมเว็บ

วิธีตรวจสอบการติดอันดับจากคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง

ต่อไปนี้คือวิธีตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับจากคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องบน Google หรือไม่ ทั้งในส่วนของ ผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic) และ โฆษณาแบบชำระเงิน (Paid Ads)

วิธีตรวจสอบอันดับแบบออร์แกนิกที่ไม่เกี่ยวข้อง

Organic Rankings คือการติดอันดับในผลการค้นหาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน

หากต้องการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับจากคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเปล่า ให้ทำตามขั้นตอนนี้:

  1. นำชื่อโดเมนของคุณไปใส่ในเครื่องมืออย่าง Semrush’s Organic Research
  2. เลือกประเทศเป้าหมายที่คุณต้องการวิเคราะห์
  3. คลิก “Search” เพื่อดูข้อมูลการจัดอันดับคีย์เวิร์ดของเว็บไซต์คุณ
organic-research-search-coach

รายงานในแท็บ “Positions” จะแสดงรายการคีย์เวิร์ดทั้งหมดที่เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ ตามฐานข้อมูลคีย์เวิร์ดของ Semrush

สำหรับแต่ละคีย์เวิร์ด คุณสามารถดูได้ว่า URL ใดในเว็บไซต์ของคุณที่ติดอันดับสูงที่สุด

organic-research-coach-organic-search-positions

เลื่อนดูรายการคีย์เวิร์ดเพื่อค้นหาคำที่ ไม่เกี่ยวข้อง กับเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ

หากคุณไม่แน่ใจว่าคีย์เวิร์ดใดเกี่ยวข้องหรือไม่ ให้คลิกที่ ไอคอนในคอลัมน์ “SERP” เพื่อดูหน้าผลการค้นหาจริง (SERP) ด้วยตัวคุณเอง

organic-search-positions-view-serp

ดูผลลัพธ์ที่ติดอันดับสูงสุดในหน้า SERP เพื่อดูว่า เจตนาของการค้นหาคำนั้นคืออะไร และ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหน้าเว็บคุณหรือไม่

ตัวอย่างเช่น หน้า SERP สำหรับคำว่า “email coaching” เต็มไปด้วยผลลัพธ์ที่เกี่ยวกับ การให้คำปรึกษาหรือลูกค้าผ่านทางอีเมล

google-serp-email-coaching

การนำคีย์เวิร์ดนี้ไปใช้กับหน้าติดต่อของ Coach จึงไม่สมเหตุสมผล

หากคุณพบว่ามีการติดอันดับจากคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง และควรจัดการจริง ๆ คุณจะต้อง ลบหรืออัปเดตเนื้อหา เราจะอธิบายวิธีการในภายหลัง

วิธีตรวจสอบการติดอันดับจากคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องใน Google Ads

หากคุณใช้ Google Ads ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าโฆษณาของคุณ ไม่ได้แสดงผลสำหรับคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้งบประมาณ PPC สูญเปล่า

เริ่มต้นด้วยการ เข้าสู่ระบบ Google Ads

จากนั้นคลิกที่ “Campaigns” > “Insights and reports” > “Search terms”

google-ads-search-terms

คุณจะเห็นรายการคำค้นหาที่ทำให้โฆษณาของคุณแสดงผล

คีย์เวิร์ดที่มี จำนวนคลิกและอัตราการแปลง (Conversions) ต่ำที่สุด มักจะเป็น คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง มากที่สุด

image 10

เคล็ดลับ: หากคุณไม่แน่ใจว่าคีย์เวิร์ดนั้นเกี่ยวข้องหรือไม่ ให้ลองค้นหาคำดังกล่าวใน Google เพื่อดูว่า ผลการค้นหาแบบออร์แกนิก (Organic Results) ที่แสดงออกมาเป็นประเภทไหนบ้าง

หากคุณพบคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง ควรอัปเดตแคมเปญโฆษณาของคุณโดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:

  • ประเภทของการจับคีย์เวิร์ด (Keyword Match Types): เป็นตัวกำหนดว่า คำค้นหาของผู้ใช้ต้องใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดของคุณมากแค่ไหน ยิ่งคุณกำหนดให้จับคีย์เวิร์ดอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะลดความเสี่ยงที่คีย์เวิร์ดไม่เกี่ยวข้องจะทำให้โฆษณาปรากฏได้
    แต่โปรดทราบว่า วิธีนี้ อาจทำให้คีย์เวิร์ดที่มีประโยชน์บางคำถูกตัดออกไป ด้วยเช่นกัน
  • คีย์เวิร์ดเชิงลบ (Negative Keywords): คือคำที่คุณระบุไว้เพื่อ ไม่ให้โฆษณาของคุณแสดง หากมีคำเหล่านี้อยู่ในคำค้นหาของผู้ใช้ โดยคีย์เวิร์ดเชิงลบก็มีประเภทของการจับคีย์เวิร์ดเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลต่อ ขอบเขตของคำที่ถูกยกเว้น

วิธีหลีกเลี่ยงการจัดอันดับ คำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง

เข้าใจเส้นทางของผู้ซื้อ

เส้นทางของผู้ซื้อ Buyer’s Journey หมายถึงขั้นตอนที่คนๆ หนึ่งทำก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
การเข้าใจเส้นทางนี้จะช่วยให้คุณระบุคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้

The Buyer's Journey

นี่คือ ตัวอย่างเส้นทางการ ซื้อของร้านขายที่นอน ที่เข้าใจง่าย :

  1. คนๆ หนึ่งนอนไม่ค่อยหลับและหาข้อมูลช่วยเหลือทางออนไลน์: เริ่มต้นด้วยปัญหาที่ทำให้พวกเขาค้นหาวิธีแก้
  2. พวกเขาอ่านคู่มือและพบว่าที่นอนใหม่ช่วยได้: พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าที่นอนใหม่เป็นทางออก
  3. พวกเขาอ่านรีวิวที่นอนและตัดสินใจซื้อ: พวกเขาเปรียบเทียบและเลือกซื้อที่นอนที่ตรงใจ

ดังนั้น คำค้นหาอย่าง “ทำไมฉันนอนไม่หลับ” และ “รีวิวที่นอน” จึงเกี่ยวข้องกับร้านขายที่นอน

แต่คนที่ค้นหา “คำคมเกี่ยวกับการนอน” ไม่น่าจะกำลังตัดสินใจ ซื้อที่นอน ดังนั้น คำค้นหานี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับร้านขายที่นอน

การวิจัยคำหลัก

การวิจัยคำหลัก Keyword research คือ กระบวนการค้นหาคำที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูล ซึ่งคำเหล่านี้จะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่มีความหมายให้กับธุรกิจของคุณได้ *** ค้นหาคีย์เวิร์ด Keyword Research สำหรับ SEO คู่มือฉบับสมบูรณ์

มันเป็นเหมือนการกำหนดทิศทางที่สำคัญให้กับงานปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน เครื่องมือค้นหา SEO และการทำโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก PPC ของคุณ

เพื่อให้การวิจัยคำหลักง่ายขึ้น คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง “Keyword Magic Tool” ของ Semrush ได้

เพียงแค่ใส่ชื่อเว็บไซต์ของคุณ เลือกประเทศเป้าหมาย และคลิก Search “ค้นหา” (คุณยังสามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ของคุณเพื่อดูข้อมูลที่ปรับให้เข้ากับเว็บไซต์ของคุณโดยเฉพาะได้ด้วย)

****ขอแนะนำ 8 keyword research tools เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุด (ฟรีและเสียเงิน) ****

Keyword Magic Tools – Search – Dog toys – Chewy

คุณจะเห็นรายการคำค้นหาแบบ “Broad Match” (จับคู่แบบกว้าง) ที่มีคำค้นหาเริ่มต้นของคุณหรือคำที่ใกล้เคียงกัน

คอลัมน์ Intent (ความตั้งใจ) จะบอกประเภทของความตั้งใจ ในการค้นหาของแต่ละคำค้นหา

I (Informational)ต้องการข้อมูลผู้ใช้ต้องการค้นหาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง
N (Navigational)ต้องการไปยังเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเฉพาะผู้ใช้ต้องการไปที่เว็บไซต์หรือหน้าเว็บที่รู้จักอยู่แล้วโดยตรง
C (Commercial)ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์, สินค้า หรือบริการผู้ใช้ต้องการค้นคว้าข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
T (Transactional)ต้องการทำบางอย่าง (เช่น ซื้อของ)ผู้ใช้ต้องการทำธุรกรรมหรือดำเนินการบางอย่าง เช่น ซื้อสินค้า, จองตั๋ว, หรือสมัครบริการ
Keyword Magic Tools – Dog toys – Intent

เพื่อที่จะเข้าใจเจตนา ในการค้นหาได้ดียิ่งขึ้น search intent ให้ลองคลิกเข้าไปดูผลลัพธ์ที่ขึ้นอันดับต้นๆ ในหน้าผลการค้นหา (SERP) นะ

และให้สังเกตข้อมูลสำคัญของคำค้นหาเหล่านี้ด้วย

  • ปริมาณการค้นหา (Volume): จำนวนเฉลี่ยของการค้นหาคำนั้นๆ ต่อเดือน ยิ่งตัวเลขสูงเท่าไหร่ โอกาสที่ผลลัพธ์ของคุณจะเข้าถึงคนได้มากขึ้นก็ยิ่งสูงเท่านั้น
  • คะแนนความยากของคำค้นหาของคุณ (PKD %): คะแนนความยากส่วนตัวของคุณที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งวัดว่าโดเมนของคุณจะยากแค่ไหนที่จะขึ้นไปติดอันดับ 10 ผลการค้นหาแบบทั่วไป (organic)
  • ความหนาแน่นของการแข่งขัน (Com.): คะแนนความหนาแน่นของการแข่งขัน ซึ่งวัดว่าการได้พื้นที่โฆษณาในหน้าผลการค้นหาจะยากแค่ไหน คะแนนจะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1
  • ราคาต่อคลิก (CPC (USD)): ราคาโดยประมาณต่อการคลิก (เป็นดอลลาร์สหรัฐ) ในหน้าผลการค้นหานี้ นี่คือจำนวนเงินที่ผู้ลงโฆษณาจ่ายทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของพวกเขาสำหรับคำค้นหานี้

บันทึก คำค้นหาที่เกี่ยวข้องโดยใช้ช่องทำเครื่องหมายและปุ่ม “ส่งคำค้นหา

Keyword Magic Tools – Dog toys – Send keywords

ตอนนี้คุณพร้อมที่จะปรับปรุงเนื้อหาหรือแคมเปญโฆษณาของคุณให้ตรงกับคำหลักที่คุณเลือกแล้ว

เน้นคุณภาพของเนื้อหา

ยิ่งเนื้อหาของคุณมีคุณภาพมากเท่าไหร่ โอกาสที่ Google จะเข้าใจและจัดอันดับเนื้อหาของคุณสำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง (แทนที่จะเป็นคำหลักที่ไม่เกี่ยวข้อง) ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

โดยทั่วไป เนื้อหาที่มีคุณภาพคือ

  • สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
  • เขียนได้ดี (เช่น อ่านง่ายและไม่มีข้อผิดพลาด)
  • ครอบคลุมเนื้อหาอย่างละเอียด
  • ถูกต้องและน่าเชื่อถือ
  • จัดโครงสร้างด้วยย่อหน้าและหัวข้อย่อย
  • เสริมด้วยรูปภาพ วิดีโอ และภาพอื่นๆ

ตัวอย่างเช่น มีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงว่าหน้าเว็บด้านล่างนี้เกี่ยวกับเมล็ดทานตะวันสำหรับปลูก ไม่ใช่สำหรับกิน

  • เว็บไซต์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องในหัวข้อการทำสวน
  • เนื้อหาที่เขียนถึงกระบวนการปลูกเมล็ดและการปลูกดอกทานตะวัน
  • รูปภาพดอกทานตะวันหลายรูป (ไม่ใช่เมล็ด)
  • ตัวกรองสำหรับ “สีดอกไม้”, “วงจรชีวิตพืช”, “ฤดูออกดอก” และอื่นๆ
ParkSeed – Sunflowers

ปัจจัยเหล่านี้ ช่วยให้มั่นใจว่าหน้าเว็บจะติดอันดับต้น ๆ สำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เช่น “เมล็ดทานตะวันสำหรับปลูก” และติดอันดับต่ำกว่าสำหรับคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น “เมล็ดทานตะวันกินได้”

ใช้กลยุทธ์การปรับแต่งคำค้นหา

การปรับแต่งคำค้นหา Keyword optimization คือการใช้คำค้นหาอย่างมีกลยุทธ์ แต่เป็นธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวกับอะไร

โดยทั่วไป ทุกหน้าเว็บควรมีคำค้นหาหลักที่แสดงถึงหัวข้อโดยรวมของหน้าเว็บนั้น ใช้คำค้นหานี้ในตำแหน่งต่อไปนี้:

  • แท็กชื่อเรื่อง (Title tag): ชื่อหน้าเว็บที่สามารถปรากฏในหน้าผลการค้นหา
  • คำอธิบายเมตา (Meta description): สรุปหน้าเว็บที่สามารถปรากฏในหน้าผลการค้นหา
  • แท็ก H1: หัวเรื่องหลักที่ปรากฏบนหน้าเว็บ
  • URL slug: ส่วนที่ไม่ซ้ำกันของที่อยู่เว็บเพจ

คุณยังสามารถใช้คำค้นหาหลัก (และคำค้นหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรียกว่าคำค้นหารอง) ใน:

  • ย่อหน้า
  • หัวข้อย่อย
  • ข้อความรูปภาพ alt (คำอธิบายภาพที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเข้าถึง)

นอกจากนี้ ให้ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องเมื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บภายใน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากคุณเชื่อมโยงไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์กางเกงยีนส์ผู้ชายของคุณ ให้แนบลิงก์กับข้อความ anchor เช่น “กางเกงยีนส์ผู้ชาย” แทนที่จะเป็น “คลิกที่นี่”

สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้และ Google เข้าใจว่าหน้าเว็บที่เชื่อมโยงนั้นเกี่ยวกับอะไร

เพียงแต่ต้องแน่ใจว่าอย่าใช้คำค้นหามากเกินไป การใช้คำค้นหาอย่างไม่เป็นธรรมชาติอาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจาก การใส่คำค้นหามากเกินไป (keyword stuffing) ขัดต่อนโยบายสแปมของ Google

ตั้งค่าแคมเปญโฆษณาของคุณอย่างรอบคอบ

เมื่อคุณตั้งค่าแคมเปญโฆษณาแบบจ่ายเงิน (Paid Search Campaign) ให้เลือกคำหลัก (Keyword) ที่คุณต้องการกำหนดเป้าหมาย และตัดสินใจเลือกประเภทการจับคู่คำหลัก (Keyword Match Type)

  • การจับคู่แบบกว้าง (Broad Match): หมายความว่าคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำหลักของคุณ อาจทำให้โฆษณาของคุณแสดงได้
  • การจับคู่แบบวลี (Phrase Match): หมายความว่าคำค้นหาที่รวมความหมายของคำหลักของคุณ อาจทำให้โฆษณาของคุณแสดงได้
  • การจับคู่แบบตรงทั้งหมด (Exact Match): หมายความว่าคำค้นหาต้องตรงกับความหมายของคำหลักของคุณเท่านั้น โฆษณาของคุณจึงจะแสดง

ยิ่งประเภทการจับคู่มีความเฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ โอกาสที่คำหลักที่ไม่เกี่ยวข้องจะทำให้โฆษณาของคุณแสดงก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น แต่ดังที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ มันก็อาจตัดคำหลักที่เกี่ยวข้องบางคำออกไปได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ควรพิจารณาใช้คำหลักเชิงลบ (Negative Keywords) ด้วย คำหลักเหล่านี้คือคำหลักที่จะป้องกันไม่ให้โฆษณาของคุณแสดง และมีประเภทการจับคู่คำหลักเชิงลบอยู่สามประเภท

  • การจับคู่แบบกว้างเชิงลบ (Negative Broad Match): หมายความว่าโฆษณาของคุณจะไม่แสดง หากคำค้นหามีคำหลักเชิงลบของคุณอยู่ในลำดับใดๆ ก็ตาม
  • การจับคู่แบบวลีเชิงลบ (Negative Phrase Match): หมายความว่าโฆษณาของคุณจะไม่แสดง หากคำค้นหามีคำหลักเชิงลบของคุณอยู่ในลำดับที่ระบุ
  • การจับคู่แบบตรงทั้งหมดเชิงลบ (Negative Exact Match): หมายความว่าโฆษณาของคุณจะไม่แสดง หากคำค้นหานั้นตรงกับคำหลักเชิงลบของคุณทุกประการ

ปรับปรุงอันดับของคุณสำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์ทุกเว็บจะมีช่วงที่ติดอันดับ สำหรับคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องบ้าง แต่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก ถ้าโดยหลักแล้วเว็บไซต์ของคุณติดอันดับ สำหรับคำค้นหาที่ เกี่ยวข้อง กับธุรกิจของคุณ

เพื่อเรียนรู้วิธีการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพดีขึ้น สำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ ลองดูคู่มือฉบับเต็มของเรา ซึ่งมีขั้นตอนแบบละเอียด เพื่อการติดอันดับที่สูงขึ้นบน Google ครับ

ระบบ crm

หากสนใจอยากจะปรึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับทำ SEO ทำอย่างไรถึงมีอันดับมาหน้าแรกได้ ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญพิเศษ มากด้วยประสบการณ์ทำเว็บไซต์มากว่า 10 ปี โดยทีมงานยินดีให้คำปรึกษาให้คุณได้ รู้จักกับการปรับเปลี่ยนยอดขายยังไงให้ปัง ของคุณได้ด้วยทีมงาน SEOGURU

ติดตามเข้ามาสอบถามเพิ่มเติมทางไลน์ LINE ได้เลยยินดีให้บริการ