Keyword Difficulty หรือ ความยากของคีย์เวิร์ด คือหนึ่งในดัชนีสำคัญที่นัก SEO ทุกคนต้องรู้จักและเข้าใจ เพราะมันคือเครื่องมือที่ใช้วัดว่า คำค้นหานั้นๆ มีการแข่งขันสูงแค่ไหน ยิ่งคะแนนสูงเท่าไร ยิ่งยากที่จะดันเว็บไซต์ของเราให้ติดหน้าแรก Google ได้ง่ายๆ ลองนึกภาพเหมือนคุณจะลงสนามแข่ง ถ้าเลือกสนามผิด ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าใครแข่งกับใคร หรือจะชนะได้ยังไง โอกาสร่วงตั้งแต่ยังไม่ออกตัวก็มีสูงมาก
นักทำ SEO มือใหม่หลายคนพลาดตั้งแต่เริ่ม เพราะเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ยากเกินไปโดยไม่รู้ตัว เสียเงินลงโฆษณา เสียเวลาเขียนคอนเทนต์ดีๆ แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ใดๆ เลย นั่นแหละคือผลจากการไม่ใส่ใจ ความยากของคีย์เวิร์ด เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากวางแผน SEO ให้แม่น ติดอันดับไวแบบไม่เสียแรงฟรี อย่ามองข้ามดัชนีตัวนี้เด็ดขาด
Keyword Difficulty คืออะไร?
Keyword Difficulty หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า KD คือค่าที่ใช้บอกว่า คำค้นหานี้ แข่งขันกันดุเดือดแค่ไหนบน Google ถ้าจะให้พูดแบบง่ายๆ มันก็เหมือนกับระดับความยากในเกมนั่นแหละ ถ้าคำไหนความยากระดับ Easy ก็คือคุณสามารถสร้างคอนเทนต์ แล้วมีโอกาสติดหน้าแรก Google ได้เร็วหน่อย แต่ถ้าระดับ Hard นี่ ขอบอกเลยว่า คู่แข่งแน่นเอี๊ยด ต้องใช้ทั้งเวลา ทุน และพลังในการทำ SEO แบบจัดเต็ม ถึงจะไต่ขึ้นไปแซงหน้าได้
ใครที่กำลังเริ่มต้นทำเว็บไซต์หรือสร้างคอนเทนต์ ต้องรู้จักและให้ความสำคัญกับ KD เพราะมันช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่เลือกคีย์เวิร์ดมั่วๆ ไปวันๆ เพราะถ้าเลือกผิดตั้งแต่ต้น เหมือนคุณกำลังจะไปแข่งในสนามประลองระดับโลก โดยไม่มีทั้งอาวุธ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากฎของเกมคืออะไร
วัดค่าอย่างไร? มีหน่วยเป็นอะไร?
ค่าของ KD วัดกันด้วย คะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 100 ซึ่งเครื่องมือ SEO ชั้นนำอย่าง
ต่างก็ใช้ระบบนี้ในการประเมิน ยิ่งคะแนน KD สูงเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่า คู่แข่งที่ ติดหน้าแรก Google ตอนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน ทั้งเรื่องของจำนวน Backlink, ความเก่า ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ และคุณภาพของเนื้อหา
ตัวอย่างเช่น คำที่มี KD แค่ 10–20 คือระดับ Beginner ลงคอนเทนต์ดีๆ สักชิ้นก็พอมีลุ้นติดหน้าแรกได้ไม่ยาก แต่ถ้าคำไหน KD สูงเกิน 60 เมื่อไหร่ นั่นแปลว่า สนามนี้มีแต่เสือ ถ้าคุณยังไม่พร้อม อาจต้องใช้กลยุทธ์ระยะยาว หรือเลี่ยงไปเลือกคำที่ง่ายกว่านี้ก่อน
ทำไม Keyword Difficulty สำคัญกับ SEO

การทำ SEO ไม่ใช่แค่เรื่องของการใส่คีย์เวิร์ดลงในบทความเท่านั้น แต่คือการวางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด ซึ่งการเข้าใจ ความยากของคีย์เวิร์ด คือหัวใจหลักของการเลือกคำค้นหาให้เหมาะกับเป้าหมายของเว็บไซต์ ถ้าคุณเลือกผิดตั้งแต่จุดเริ่มต้น เหมือนวางหมากพลาดในเกม ที่ใช้ทรัพยากรลงสนามอย่างจำกัด ทั้งเงิน เวลา และแรงกายแรงใจจะสูญเปล่าในพริบตา
เลือกผิด = เสียทรัพยากร
ลองนึกภาพว่าคุณเพิ่งเริ่มทำเว็บไซต์ แล้วไปเลือกคีย์เวิร์ดยากระดับ 80 ขึ้นไปตั้งแต่แรก โดยที่ยังไม่มีคอนเทนต์คุณภาพ ไม่มี Backlink หรือความน่าเชื่อถือใดๆ ต่อ Google ผลที่ได้คือ ต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี กว่าจะเห็นแสงสว่างของหน้าแรก และนั่นคือกับดักของคนทำ SEO ที่ยังไม่เข้าใจ KD อย่างแท้จริง ทั้งค่าใช้จ่ายในการจ้างทีมงาน การซื้อโฆษณา และการสร้างเนื้อหาอาจกลายเป็นต้นทุนที่ไม่คืนกลับมาเลยก็ได้
เลือกถูก = ขึ้นหน้าแรกเร็ว
ในทางกลับกัน ถ้าคุณรู้จักเลือกคีย์เวิร์ดที่มี KD ต่ำ-กลาง (เช่น 10–40) โดยวิเคราะห์ควบคู่กับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย คุณจะสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ ติดอันดับได้ในเวลาอันรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ใหม่ที่ใช้คีย์เวิร์ดระดับง่ายเกี่ยวกับ “เคล็ดลับดูแลต้นไม้ในคอนโด” หรือ “แจกสูตรขนมไม่ใช้เตาอบ” ก็สามารถขึ้นอันดับ Top 10 ภายในไม่กี่สัปดาห์ ส่งผลให้ทราฟฟิกพุ่งไว ยอดขายมาเร็ว และเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ทันใจแบบไม่ต้องรอข้ามปี
วิธีเช็ก Keyword Difficulty แบบมือโปร

ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้คุณวัดค่า ความยากของคีย์เวิร์ด ได้อย่างแม่นยำ เครื่องมือยอดนิยมที่ควรรู้จัก ได้แก่
- Ahrefs : เด่นเรื่องการวิเคราะห์ Backlink และ KD อย่างละเอียด เหมาะสำหรับมือโปรที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกแบบเจาะลึก
- SEMrush : ครบเครื่องเรื่อง SEO และ การตลาดออนไลน์ วิเคราะห์คู่แข่ง พร้อมข้อมูล KD และ SERP features
- Ubersuggest : เหมาะสำหรับมือใหม่ ใช้ง่าย แสดง KD แบบเป็นมิตร พร้อมไอเดียคีย์เวิร์ดเสริม
- Google Keyword Planner : ฟรี และเชื่อถือได้จาก Google โดยตรง แม้จะไม่มี KD แบบเจาะจง แต่ใช้ดูแนวโน้มและคำค้นหาที่เกี่ยวข้องได้ดี
แต่ละเครื่องมือมีจุดแข็งที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและงบประมาณของคุณว่าจะเลือกใช้ตัวไหนให้ตรงโจทย์มากที่สุด
วิธีอ่านค่าและวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์
อย่าหลงเชื่อแค่คะแนน KD อย่างเดียว เพราะเบื้องหลังตัวเลขนั้น มีอะไรซ่อนอยู่เยอะกว่าที่คิด การจะประเมินว่าเราจะสู้ไหวไหม ต้องวิเคราะห์ปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น
- จำนวนและคุณภาพของ Backlink ที่เว็บไซต์คู่แข่งมี
- คุณภาพเนื้อหา (On-Page SEO) เช่น การใช้ H1, คีย์เวิร์ด, ความยาวเนื้อหา, ความสดใหม่ของบทความ
- Domain Authority (DA/DR) ว่าแข็งแกร่งขนาดไหน
เทคนิค: ลองพิมพ์คีย์เวิร์ดที่คุณเล็งไว้ลงใน Google แล้วคลิกดู 3–5 เว็บที่ติดอันดับแรกๆ ว่าเขาเขียนอะไร ใช้คีย์เวิร์ดยังไง ยาวแค่ไหน มี Internal/External Link หรือเปล่า แล้วเทียบกับเนื้อหาของคุณ แบบนี้แหละถึงจะเรียกว่า “วิเคราะห์คู่แข่ง” อย่างแท้จริง
ใช้ Keyword Difficulty อย่างไรให้ SEO ปัง
นัก SEO ที่เก่งไม่ใช่แค่คนที่รู้ว่าคำไหนง่ายหรือยาก แต่คือคนที่สามารถวางหมาก ให้คำง่ายดันคำยากได้อย่างชาญฉลาด และใช้ประโยชน์จากทุกคะแนน KD เพื่อพาเว็บไซต์ของตัวเองติดอันดับได้เร็วและยั่งยืนที่สุด
วางแผนเนื้อหาตามระดับความยาก
คำที่มี KD สูง (ระดับยาก) ควรใช้เป็น เป้าหมายระยะยาว วางแผนคอนเทนต์ใหญ่หรือเสาหลักของเว็บไซต์ เช่น บทความรีวิวเชิงลึก, หน้า Landing Page สำคัญ แล้วค่อยๆ ปั้นคุณภาพเนื้อหาและ Backlink เพื่อไปสู้กับคู่แข่งที่แข็งแรง
ในขณะเดียวกัน คีย์เวิร์ดที่มี KD ต่ำถึงกลาง ควรนำมาใช้สร้างบทความหรือคอนเทนต์เบื้องต้น เพื่อดึงทราฟฟิกเข้ามาก่อน เช่น “เคล็ดลับ SEO สำหรับมือใหม่”, “วิธีเลือกคีย์เวิร์ดให้ติดอันดับเร็ว” ซึ่งสามารถติดอันดับไว และช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ น่าเชื่อถือ พร้อมจะไต่อันดับในคำที่ยากขึ้นในอนาคต
Keyword Cluster + Internal Link
อีกหนึ่งเทคนิคที่มือโปรใช้กันคือการสร้าง Keyword Cluster หรือ “กลุ่มของคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกัน” โดยคุณอาจมีคีย์เวิร์ดหลักเป็นคำที่ยาก เช่น “SEO คืออะไร” (KD สูง) แล้วแตกออกมาเป็นบทความรองที่ใช้คีย์เวิร์ดง่ายกว่า เช่น “ข้อดีของ SEO”, “ทำ SEO เริ่มจากตรงไหน”, “Keyword Difficulty สำคัญยังไง”
จากนั้น เชื่อมบทความทั้งหมดเข้าด้วยกันด้วย Internal Link การทำแบบนี้จะสร้างพลังเชื่อมโยงให้กับเว็บไซต์คุณ ทั้งต่อผู้ใช้งานและต่อสายตาของ Google ทำให้บทความหลัก (ที่ยาก) ค่อยๆ ได้พลังจากบทความรอง (ที่ง่าย) จนในที่สุดจะสามารถไต่ขึ้นไปติดหน้าแรก Google ได้
สรุป Keyword Difficulty รู้ไว้ ไม่เสียรู้

อย่าปล่อยให้ความไม่รู้ ทำให้คุณพลาดโอกาสทองในการขึ้นหน้าแรกของ Google หลายคนลงทุนทำ SEO ไปมหาศาล แต่กลับไม่เห็นผลลัพธ์ เพราะดันไปเลือกคีย์เวิร์ดที่ ยากเกินตัว KD ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่มันคือเข็มทิศสำคัญ ที่จะช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างชาญฉลาด และสร้างความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน
หากตอนนี้คุณยังลังเล ไม่แน่ใจว่าควรเลือกคีย์เวิร์ดไหน หรือไม่รู้จะเริ่มต้นวางแผน SEO อย่างไรดี SEOGURU พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์ SEO ให้คุณ ปรึกษา SEOGURU ฟรี ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมที่จะช่วยคุณวิเคราะห์ วางแผน และดันเว็บไซต์ให้ปังอย่างมืออาชีพ