On-Page SEO Important หรือที่เรียกว่า On-Site SEO คือการปรับปรุงเว็บไซต์และเนื้อหาภายในหน้าเว็บเพื่อให้เหมาะสมกับทั้ง Search Engines (เครื่องมือค้นหา เช่น Google) และ ผู้ใช้งาน การทำ SEO ประเภทนี้จะช่วยให้หน้าเว็บติดอันดับสูงขึ้นบน Google และดึงดูด Organic Traffic (ผู้เข้าชมที่ไม่ได้มาจากโฆษณา) ได้มากขึ้น
การทำ On-Page SEO คืออะไร?
งานทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการทำ On-Page SEO Important ได้แก่
- การปรับเนื้อหาให้ตรงกับ Search Intent (ความตั้งใจในการค้นหาของผู้ใช้)
- การปรับปรุง Title Tags (ชื่อเรื่องของหน้าเว็บที่แสดงบนผลการค้นหา)
- การเพิ่ม Internal Links (ลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นภายในเว็บไซต์เดียวกัน)
- การปรับปรุง URLs (ที่อยู่เว็บไซต์)
การทำ On-Page SEO นั้นแตกต่างจากการทำ Off-Page SEO ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพจากภายนอกเว็บไซต์ เช่น การสร้าง Backlinks (ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของเรา)
On-Page SEO VS Off-Page SEO
On-Page SEO Important คือการปรับแต่งเว็บไซต์หรือหน้าเว็บของเราโดยตรงเพื่อให้อันดับดีขึ้นในหน้าผลการค้นหาของ Google เช่น การปรับเนื้อหา, การใช้คีย์เวิร์ด, หรือการปรับโครงสร้างของเว็บไซต์ ส่วน Off-Page SEO คือการสร้างปัจจัยภายนอกเว็บไซต์เพื่อให้มีผลต่ออันดับของเรา เช่น การทำ Backlinks (ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมาที่เว็บไซต์ของเรา), การโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย, หรือการประชาสัมพันธ์
Backlinks ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ Off-Page SEO นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีการโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดียและการทำประชาสัมพันธ์อีกด้วย
การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพจะต้องให้ความสำคัญกับทั้ง On-Page และ Off-Page อย่างไรก็ตาม On-Page SEO เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมและจัดการได้โดยตรง ดังนั้นการเริ่มต้นจากการปรับปรุง On-Page SEO Important ก่อนจึงเป็นสิ่งที่ดีและเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดครับ

ทำไม On-Page SEO Important ถึงสำคัญ?
On-Page SEO Important สำคัญเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ Search Engine อย่าง Google เข้าใจว่าหน้าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวกับอะไร และ search intent ตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาอยู่หรือไม่
เมื่อเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ของคุณมีความเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ Google ก็จะแสดงผลหน้านั้นให้กับผู้ใช้เห็น แม้ว่าอัลกอริทึมของ Google จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ประสบการณ์ของผู้ใช้” ซึ่ง Google เองก็แนะนำให้เราสร้าง “เนื้อหาที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับแรก” ซึ่งหมายความว่าการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและตรงกับความต้องการของผู้ใช้มีความสำคัญมากกว่าที่เคย
ในบทความถัดไป เราจะมาเรียนรู้วิธีการปรับปรุงเนื้อหาของคุณให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของ On-Page SEO กัน

9 เทคนิค On-Page SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณให้อันดับพุ่ง
ต่อไปนี้คือ เทคนิคทำอันดับให้ติดมากขึ้น สำคัญในการปรับปรุง On-Page SEO Important ที่คุณควรพิจารณา ในคู่มือนี้ พวกเรา SEOGURU จะพาคุณเรียนรู้กันเลย
1. Write Unique, Helpful Content เนื้อหาที่มีคุณภาพไม่ซ้ำใคร
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและไม่ซ้ำใคร ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO บนเว็บไซต์ เพื่อให้เนื้อหาของคุณตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการค้นหา
เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องมือค้นคว้าคำหลัก keyword research tool เพื่อหาหัวข้อและคำหลักที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น ลองใส่คำว่า “audio book” ลงใน Keyword Magic Tool

ในการเลือกคีย์เวิร์ด คำค้นหา keywords ที่มีคนค้นหาจำนวนมาก High-volume keywords นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่คุณควรตรวจสอบ ความยากของคีย์เวิร์ด Keyword Difficulty หรือ KD % ควบคู่กันไปด้วย
KD % ที่สูง หมายถึง มีการแข่งขันสูง ทำให้การจัดอันดับบนหน้าค้นหาเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

นอกจากนี้ ให้ลองตั้งเป้าไปที่ คีย์เวิร์ดแบบ long-tail keywords ที่มีการแข่งขันน้อยลงด้วย คีย์เวิร์ดเหล่านี้อาจมีปริมาณการค้นหาต่ำกว่า แต่ก็มีโอกาสติดอันดับได้ง่ายกว่า
หลังจากเลือกคีย์เวิร์ดแล้ว ให้สร้างเนื้อหาที่มีรายละเอียด เป็นประโยชน์ และตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนใครเพื่อสร้างความโดดเด่นจากคู่แข่ง
- ใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมชาติ (หลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ด)
- ตอบคำถามให้ครบถ้วนและมอบประโยชน์ที่แท้จริง
- ใช้ภาพประกอบเพื่อช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
อ่านเพิ่มเติม: วิธีทำ คอนเทนต์คุณภาพ ให้ติดอันดับบน Google
2. Place Target Keywords Strategically วางคำหลักในตำแหน่งสำคัญ
1. วางคำหลักในตำแหน่งหลัก
- หัวข้อหลัก (H1): หัวข้อนี้มีความสำคัญสูงสุด ทั้งสำหรับ Google และผู้อ่าน เพราะเป็นส่วนแรกที่ทั้งสองฝ่ายจะเห็น ซึ่งจะบอกว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร
- ย่อหน้าแรก: เป็นส่วนที่ Google ใช้ในการทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดของหน้าเว็บ และเป็นส่วนที่ผู้อ่านจะอ่านเพื่อตัดสินว่าหน้านี้มีข้อมูลที่ต้องการหรือไม่
- หัวข้อย่อย (H2, H3, ฯลฯ): ช่วยจัดระเบียบเนื้อหาให้เป็นหมวดหมู่ย่อยๆ ทำให้เนื้อหาดูน่าอ่านมากขึ้น และยังช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างและหัวข้อหลักของแต่ละส่วนได้ดีขึ้น
2. การตรวจสอบและวิเคราะห์
ใช้เครื่องมือ On Page SEO Checker เพื่อวิเคราะห์ว่าคุณได้วางคำหลักไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือไม่ เครื่องมือนี้จะบอกคุณว่าคำหลักที่คุณต้องการใช้ได้ปรากฏอยู่ในพื้นที่สำคัญๆ ที่ Google สแกนแล้วหรือยัง การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการที่หน้าเว็บของคุณจะติดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา

ถ้าเครื่องมือตรวจพบปัญหา มันจะให้คำแนะนำ เช่น ให้เพิ่มคำอธิบายเมตา meta description ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น หรือปรับปรุงชื่อเรื่องของคุณ

นอกจากนี้ยังแนะนำคำหลัก LSI Keywords ที่เกี่ยวข้องที่คุณสามารถนำไปใช้ได้อีกด้วย
3. Write Keyword-Rich Title Tags ป้ายที่มีคีย์เวิร์ด ป้ายที่มีคีย์เวิร์ด
เขียน Title Tags หรือ ป้ายชื่อหัวข้อ ที่มีคีย์เวิร์ด Title tags คือโค้ด HTML ที่ใช้กำหนดชื่อของหน้าเว็บ ซึ่งจะแสดงในผลการค้นหา (search results) แถบเบราว์เซอร์ และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย Title tags มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ว่าจะคลิกเข้าชมหน้าเว็บของคุณหรือไม่
ตัวอย่างลักษณะที่ปรากฏในหน้าผลการค้นหา SERP

คำแนะนำดี ๆ ในการเขียน Title Tag (ชื่อหน้าเว็บ) มีดังนี้
- ความยาว: ควรมีความยาวประมาณ 50-60 ตัวอักษร เพื่อไม่ให้ชื่อแสดงไม่ครบ
- คีย์เวิร์ด: ใส่คำหลัก Target Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อให้ Google เข้าใจว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร
- ไม่ซ้ำกัน: หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อซ้ำกันในแต่ละหน้า เพื่อให้แต่ละหน้ามีจุดประสงค์ที่ชัดเจนและไม่เหมือนใคร
นอกจากนี้ เครื่องมือ On Page SEO Checker ยังสามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมและอธิบายว่าทำไมการแก้ไขบางอย่างถึงมีความสำคัญต่อการทำ SEO อีกด้วย

Title Tag คืออะไร และจะปรับแต่ง Title Tag ให้เหมาะกับ Google ได้อย่างไร
4. Write Click-Worthy Meta Descriptions เขียนให้น่าคลิก
Meta Description คือโค้ด HTML ที่ใช้อธิบายสรุปเนื้อหาของหน้าเว็บโดยย่อ โดยทั่วไปแล้ว เครื่องมือค้นหาอย่าง Google จะแสดง Meta Description นี้เป็นคำอธิบายสั้นๆ ในหน้าผลการค้นหา (SERP) ซึ่งจะปรากฏอยู่ใต้ชื่อหน้าเว็บของคุณ

คำแนะนำสำหรับการเขียน Meta Description ไม่มีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับของ Google แต่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ว่าจะคลิกเข้าชมหน้าเว็บของคุณหรือไม่ หาก Meta Description ของคุณไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้หรือเนื้อหาในหน้าเว็บ Google อาจสร้างคำอธิบายขึ้นมาใหม่เอง
เพื่อให้ Google เลือกใช้ Meta Description ที่คุณเขียนไว้ ควรทำตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้
- คำนึงถึงอุปกรณ์มือถือ: Google จะตัดคำอธิบายเมตาที่ความยาวประมาณ 120 ตัวอักษรบนมือถือ ดังนั้นควรเขียนให้กระชับ
- ใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมาย: การทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้เห็นว่าหน้าเว็บของคุณตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหา Google มักจะทำตัวหนาคีย์เวิร์ด (และคำพ้องความหมาย) ที่ตรงกับคำค้นหาของผู้ใช้
- ใช้ประโยคแบบ Active Voice: การใช้ประโยคแบบประธานเป็นผู้กระทำ จะมีความตรงไปตรงมามากกว่าและช่วยประหยัดพื้นที่
- เพิ่ม Call to Action (CTA): กระตุ้นให้เกิดการคลิกด้วยคำต่างๆ เช่น “ลองใช้ฟรี” หรือ “อ่านเพิ่มเติม”
หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Meta Description คุณสามารถดูเคล็ดลับได้ในเครื่องมือ On Page SEO Checker

5. Use Headings and Subheadings to Structure Your Page จัดระเบียบหน้าเว็บหัวข้อให้อ่านง่ายขึ้น
การใช้หัวข้อหลักและหัวข้อย่อย (Headings and Subheadings) ช่วยให้เป็นระเบียบและอ่านง่ายขึ้นมาก
- หัวข้อ Headings เช่น H1, H2, H3 เป็นต้น ช่วยให้ผู้อ่าน กวาดสายตาดูเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อหาข้อมูลที่สนใจ
- นอกจากนี้ ยังช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างและความสำคัญ ของเนื้อหาในหน้าเว็บของคุณได้ดีขึ้น
ลองเปรียบเทียบหน้าเว็บที่ไม่มีการจัดหัวข้อเลย กับหน้าเว็บที่ใช้หัวข้ออย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะเห็นว่าหน้าเว็บที่จัดโครงสร้างด้วยหัวข้อจะ อ่านและทำความเข้าใจง่ายกว่ามาก

หัวข้อ Headings ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บของคุณ ซึ่งจะช่วยยืนยันว่าหน้าเว็บของคุณเกี่ยวข้องกับการค้นหาของผู้ใช้หรือไม่
วิธีการใช้ Heading อย่างเหมาะสม
- H1 ใช้สำหรับหัวข้อหลักของหน้าเว็บ
- H2 ใช้สำหรับหัวข้อย่อย
- H3 ใช้สำหรับหัวข้อที่ลงรายละเอียดระดับที่ลึกกว่าในหัวข้อย่อยเหล่านั้น

คุณสามารถใส่คำหลัก keywords ที่ต้องการในหัวข้อเหล่านี้เพื่อทำให้เนื้อหาของคุณชัดเจนยิ่งขึ้น On Page SEO Checker ยังมีคำแนะนำในการปรับแต่งหัวข้อให้เหมาะสมอีกด้วย คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง Irrelevant Keywords
6. Optimize URLs ปรับปรุง URL ให้เหมาะสม
Google แนะนำให้ใช้ URL ที่เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน ซึ่งหมายถึงการใช้คำที่สื่อถึงเนื้อหาของหน้าเว็บของคุณ หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขที่สุ่มขึ้นมา วันที่เผยแพร่ หรือข้อความที่ไม่จำเป็นใน URL
การใส่ คีย์เวิร์ดหลัก ลงใน URL จะช่วยให้ Google และผู้ใช้งาน เข้าใจได้ว่าหน้าเว็บของคุณเกี่ยวกับอะไร
ตัวอย่าง URL ที่ “ไม่เป็นมิตร” อาจมีลักษณะดังนี้

หากต้องการสร้าง URL ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ควรมีลักษณะดังนี้

การใส่ข้อมูลเพิ่มเติมใน URL จะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาในหน้าเว็บได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ Google สามารถจับคู่หน้าเว็บของคุณกับการค้นหาที่เกี่ยวข้องได้แม่นยำขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : URL Slug คือ อะไร ควรตั้งแบบไหนดีกับการทำ SEO อย่างไร ?
7. Strategically Add Internal Links การใส่ลิงค์ภายในอย่างมีกลยุทธ์
ลิงค์ภายใน Internal links คือลิงค์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น ลิงก์ที่เขียนว่า “ย่านที่น่าพักที่สุด” และเมื่อคลิกแล้วจะพาผู้ใช้ไปยังหน้าอื่นในเว็บไซต์ของคุณเอง

Internal links หรือลิงก์ภายในเว็บไซต์สำคัญต่อการทำ On-page SEO เพราะ
- ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณ: ลิงก์ภายในทำหน้าที่เหมือนแผนที่ ช่วยให้ Google และ Search Engine Ranking อื่นๆ เข้าใจว่าหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของคุณเชื่อมโยงกันอย่างไร
- นำทาง Google Crawler ให้ค้นพบและเข้าถึงหน้าใหม่ๆ ได้: การมีลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงถึงกันจะช่วยให้บอทของ Google ค้นหาหน้าใหม่ๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
- ส่งสัญญาณว่าหน้าที่ถูกลิงก์มีคุณค่า: เมื่อคุณลิงก์จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง นั่นเป็นการบอก Google ว่าหน้าที่ถูกลิงก์นั้นมีความสำคัญและน่าเชื่อถือ
- ช่วยให้ผู้ใช้งานท่องเว็บไซต์ได้สะดวก (และอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น): ลิงก์ภายในที่ดีช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้เวลาบนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น
8. Add External Links to Authoritative Sources การเพิ่มลิงค์ภายนอกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
การเพิ่มลิงก์ภายนอก External Links คือการใส่ลิงก์ที่เชื่อมโยงผู้ใช้จากเว็บไซต์ของคุณไปยังเว็บไซต์อื่น ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้ และยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เข้าชมได้อีกด้วย Google แนะนำให้เพิ่มลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลภายนอกที่น่าเชื่อถือเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับเนื้อหาของคุณ
แนวทางการเพิ่มลิงก์ภายนอกที่ดีที่สุด เพื่อการสร้างลิงก์ภายนอกที่มีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้
- เชื่อมโยงเฉพาะแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพและมีความเกี่ยวข้องเท่านั้น: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ปลายทางที่คุณลิงก์ไปนั้นมีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณจริง ๆ
- ใช้ Anchor Text ที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ คือข้อความที่ใช้เป็นลิงก์ (ตัวอักษรสีน้ำเงิน) ควรใช้ข้อความที่สื่อความหมายชัดเจนว่าผู้ใช้จะถูกนำไปที่เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร เพื่อให้ผู้ใช้รู้ว่าจะเจออะไรเมื่อคลิก
- สร้างความสมดุลระหว่างจำนวนและตำแหน่งของลิงก์: ไม่ควรใส่ลิงก์มากเกินไปหรือวางในตำแหน่งที่ดูเหมือนสแปม ควรใส่ในจำนวนที่เหมาะสมและเป็นธรรมชาติกับเนื้อหา
คุณสามารถตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับลิงก์ภายนอกได้ด้วยเครื่องมือ Site Audit โดยไปที่แท็บ “Issues” (ปัญหา) พิมพ์คำว่า “external” (ภายนอก) ในช่องค้นหา เพื่อดูรายงานผลที่พบได้เลย

9. Include and Optimize Images ใส่รูปภาพ ปรับให้เหมาะสม
การใส่รูปภาพสามารถช่วยให้คุณติดอันดับใน Google Images และเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ เริ่มต้นด้วยการเขียน Alt text ข้อความอธิบายรูปภาพ ที่ละเอียดและชัดเจน เพื่ออธิบายรูปภาพของคุณให้ทั้งระบบค้นหาของ Google และผู้ใช้ที่ใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอ Screen readers เข้าใจได้ง่าย

นี่คือเคล็ดลับในการเขียน Alt Text (ข้อความอธิบายรูปภาพ) ที่ดี
- เขียนให้สั้นกระชับ ไม่ควรเกิน 125 ตัวอักษร
- ใส่คีย์เวิร์ดหลัก ลงไปอย่างเป็นธรรมชาติ
- ข้ามการเขียน Alt Text สำหรับรูปภาพที่ใช้ตกแต่งเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงคำว่า รูปภาพของ หรือ ภาพของ

คุณยังสามารถปรับแต่งรูปภาพได้โดยใช้ชื่อไฟล์ที่สื่อความหมาย, บีบอัดขนาดไฟล์เพื่อให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น และเปิดใช้งานการโหลดแบบ Lazy Loading เพื่อให้รูปภาพโหลดเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอมาเห็นเท่านั้น
อ่านเพิ่มเติม: ที่ปรึกษา SEO สำคัญอย่างไร? เลือกสอนทำ SEO หรือจ้างทำ SEO ดี
เทคนิคการทำ On-Page SEO Important ขั้นสูง
หลังจากเชี่ยวชาญพื้นฐานการทำ On-Site SEO แล้ว ลองใช้เทคนิคการปรับแต่งหน้าเว็บขั้นสูงเหล่านี้ดูสิ
Optimize for Page Speed การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วของหน้าเว็บไซต์
ความเร็วของหน้าเว็บไซต์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งคุณสามารถวัดความเร็วได้ฟรีด้วยเครื่องมือ PageSpeed Insights ของ Google เครื่องมือนี้จะให้คะแนนประสิทธิภาพโดยรวมสำหรับทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (desktop) พร้อมทั้งแสดงคำแนะนำในการปรับปรุงความเร็วด้วย
PageSpeed Insights จะประเมินจากสัญญาณที่เรียกว่า Core Web Vitals ซึ่งเป็นสัญญาณที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้บนหน้าเว็บ ได้แก่
- Largest Contentful Paint (LCP): ระยะเวลาที่เนื้อหาหลักของหน้าเว็บใช้ในการโหลดเสร็จสมบูรณ์
- First Input Delay (FID): ระยะเวลาที่เว็บไซต์ใช้ในการตอบสนองต่อการโต้ตอบครั้งแรกของผู้ใช้
- Cumulative Layout Shift (CLS): ระดับที่องค์ประกอบบนหน้าเว็บมีการเลื่อนหรือขยับในขณะที่กำลังโหลด

ผลลัพธ์ที่ได้แสดงข้อผิดพลาดที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลง และมี “โอกาส” ที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้น

ผลลัพธ์ที่ได้แสดงข้อผิดพลาดที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลง และมี “โอกาส” ที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้น
สำหรับการวิเคราะห์เชิงลึกทางเทคนิค ให้เปิด Site Audit (เครื่องมือตรวจสอบเว็บไซต์) จากนั้นค้นหา Core Web Vitals (สัญญาณชีพหลักของเว็บ) ใต้หัวข้อ Thematic Reports (รายงานตามหัวข้อ)
รายงานนี้จะแสดงเมตริกสำคัญต่างๆ เช่น
- LCP (Largest Contentful Paint): เวลาที่ใช้ในการโหลดเนื้อหาหลักที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บ
- TBT (Total Blocking Time): เวลาบล็อกรวม ซึ่งเป็นค่าประมาณที่ใกล้เคียงกับ FID (First Input Delay)
- CLS (Cumulative Layout Shift): การเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์สะสม
นอกจากนี้ รายงานยังให้คำแนะนำในการปรับปรุงและระบุหน้าเว็บที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย

เพื่อติดตามข้อผิดพลาดอย่างสม่ำเสมอ คุณสามารถเรียกใช้รายงานนี้เป็นประจำทุกเดือนได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่าให้รายงานนี้ส่งถึงคุณโดยอัตโนมัติได้ในส่วน “รายงานของฉัน” My Reports
Featured Snippets คำตอบเด่น
Featured snippets มักจะปรากฏอยู่บนสุดของหน้าผลการค้นหา (SERP) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “อันดับศูนย์” (Position Zero) การได้ตำแหน่งนี้จะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) ได้อย่างมาก

รูปแบบของ Featured Snippet ส่วนสรุปเด่น ที่พบบ่อย ได้แก่
- คำจำกัดความ (Definitions)
- ตาราง (Tables)
- รายการ (Lists)
- วิดีโอ (Videos)
วิธีตรวจสอบว่าคำหลัก Keyword มี Featured Snippet หรือไม่ ให้ไปที่ Keyword Overview ใส่คำหลักของคุณแล้วกด “Search” จากนั้นเลื่อนลงไปที่ส่วน SERP Analysis

คลิก “ดู SERP” เพื่อตรวจสอบว่ามี Featured Snippet ข้อมูลสรุปเด่น หรือไม่ ถ้ามี ให้ปรับปรุงหน้าเว็บของคุณให้เหมาะสมกับ Featured Snippet นั้น โดย
- ให้คำตอบที่กระชับ
- ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
- จัดรูปแบบคำตอบให้มีประสิทธิภาพ เช่น ย่อหน้าสั้นๆ, รายการ, ตาราง
การเพิ่ม Schema Markup ข้อมูลที่มีโครงสร้าง
Schema Markup คือโค้ดที่เราใส่เข้าไปในเว็บไซต์เพื่อช่วยให้ Search Engine เช่น Google, Bing เข้าใจเนื้อหาในหน้านั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
การใส่ Schema Markup จะทำให้เกิด Rich Snippets (ข้อมูลพิเศษ) แสดงในหน้าผลการค้นหา (SERPs) ซึ่งจะช่วยให้หน้าเว็บของเราโดดเด่นกว่าปกติ เช่น มีการแสดงคะแนนรีวิว, วันที่จัดงาน หรือข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม ประเภทของ Schema ที่นิยมใช้ได้แก่
- Reviews (รีวิว): แสดงคะแนนดาวของสินค้าหรือบริการ
- Products (สินค้า): แสดงราคา, สถานะสินค้า และข้อมูลเฉพาะของผลิตภัณฑ์
- Events (กิจกรรม): แสดงวันที่, เวลา, และสถานที่จัดงาน
- Local Businesses (ธุรกิจท้องถิ่น): แสดงที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, และเวลาทำการ

คุณต้องการให้แปลข้อความเกี่ยวกับการใช้ Schema.org และการตรวจสอบ Schema ด้วย Site Audit ให้เป็นภาษาไทยที่เข้าใจง่ายใช่ไหมครับ? นี่คือคำแปลที่กระชับและตรงประเด็นครับ
- เรียนรู้ประเภท Schema ศึกษาและทำความเข้าใจประเภทต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ Schema.org ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูลสำหรับ Structured Data ข้อมูลที่มีโครงสร้าง
- ใช้เครื่องมือ Site Audit เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณได้ติดตั้ง Schema อย่างถูกต้องหรือไม่ รายงาน Markup ใน Site Audit จะแสดงหน้าเว็บที่มี Structured Data และชี้ให้เห็นปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น หากพบปัญหา ให้ใช้เครื่องมือตรวจสอบ Markup ของ Schema.org เพื่อนำ URL ที่มีปัญหาไปตรวจสอบและดูคำแนะนำเพิ่มเติมในการแก้ไข

มาดูเทคนิค บนหน้าเว็บ On-Page SEO Important ที่ใช้ได้จริงกัน
ตอนนี้คุณก็รู้เทคนิคขั้นสูงของ On-Page SEO Important แล้ว ลองนำไปใช้จริงเพื่อช่วยให้อันดับเว็บไซต์ของคุณดีขึ้นและดึงดูดคนเข้าชมมากขึ้น
เริ่มง่าย ๆ ด้วยการเข้ามา ปรึกษาทางทีมงาน SEOGURU ทริกต่างๆ เคล็คลับที่ไม่ลับ เฉพาะทางคุณจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือ On Page SEO Checker และฟีเจอร์เจ๋ง ๆ อื่น ๆ อีกมากมายเพื่อ ความรู้ดีๆ เรามีให้เยอะ หรืออยากจะทำเว็บยังไงให้ติดอันดับมากยิ่งขึ้น สร้างเว็บไซต์ยังไงให้ถูกใจผู้ใช้งาน
- ค้นคว้าคำหลัก Keyword Research
- วิเคราะห์คู่แข่ง
- ติดตามอันดับของคำหลัก
- ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณ
สรุป On-Page SEO Important การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้น มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้ผู้ใช้ และแสดงผลบนหน้าค้นหาได้น่าสนใจยิ่งขึ้น