การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการพัฒนา ต่อยอดและขยายธุรกิจออนไลน์ เป็นการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง แต่หลายคนยังคงสงสัยว่าทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร ถึงใช้เวลานานและต้องลงทุนสูง
บทความนี้พวกเราผู้เชี่ยวชาญ SEOGURU จะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาที่ใช้ในการ ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร และเหตุผลที่ต้องใช้เวลาและทุนมาก รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับเมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับใน Search Engine รับรองว่า คุ้มแน่นอน
SEO คืออะไร ? รู้ก่อนไว้ไม่เสียหาย

SEO หรือ Search Engine Optimization คือการปรับปรุงเว็บไซต์และเนื้อหาเพื่อให้เครื่องมือค้นหา เช่น Google สามารถเข้าใจ และ จัดหมวดหมู่ของเว็บของเราให้เหมาะสม ในหมวดหมู่การค้นหา และ จัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น
พูดง่ายๆคือ ให้ผู้ใช้ค้นหา แล้วเจอเว็บของเราอยู่บนๆ นั้นเอง เมื่อเว็บขึ้นอันดับต้นๆ แล้ว นั้นแปลว่า ผู้ใช้ที่เสิชหา จะเข้าถึงเว็บได้ง่ายยิ่งขึ้น นั้นหมายถึงจำนวนลูกค้า และเงินทุนที่มากขึ้น ที่จะเข้ามา
การทำSEO แบ่งออกเป็น 2 ด้านใหญ่ๆ ได้แก่

- On-Page SEO : การปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างภายในเว็บไซต์ ให้ดูดี มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญ ปัจจุบันปรับ EAT ก็จะดี และ มีผลต่อการจัดอันดับของ Google หรือการทำ Title , Description หรือการปรับ หัวข้อ H ต่างๆก็สำคัญเช่นเดียวกัน
- Off-Page SEO : ทำได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นการ เพิ่ม Traffic การสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) และ เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
ในการ ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร ไม่ใช่กระบวนการที่สามารถทำได้เสร็จภายในเวลาไม่กี่วัน บางขณะหากการแข่งขันสูง อาจต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือ หลายปี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แตกต่างกับการซื้อ Ads โดยสิ้นเชิง
เหตุผลที่การทำ SEO ต้องใช้เวลานาน
ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร นั้นไม่สามารถบอกได้ชัดเจน เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายข้อที่เกี่ยวข้อง โดยหลักๆ แล้วก็คือ การแข่งขันที่สูง หากคุณทำ Keyword ที่ไม่มีการแข่งขันเท่าใด การทำ SEO ก็จะติดอันดับไว แต่แน่นอนว่า การแข่งขันไม่สูง ผู้ค้นหาก็น้อยตามไปด้วย ทำให้ผลที่ต้องการอาจไม่เป็นดังหวัง เดียวเราพาไปดูกันว่า มีเหตุอะไรบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับเวลาในการทำ SEO

- การแข่งขันที่สูง ธุรกิจออนไลน์ทุกประเภทต่างก็ต้องการที่จะติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา คำค้นหายอดนิยมมักจะมีการแข่งขันสูง ซึ่งทำให้การทำ SEO สำหรับคำค้นหาเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นในการเอาชนะคู่แข่ง
- การปรับตัวของ Search Engine เครื่องมือค้นหาอย่าง Google มีการปรับปรุงอัลกอริทึมอยู่เสมอ เพื่อให้ผลการค้นหามีความแม่นยำและมีคุณภาพมากขึ้น กระบวนการนี้อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณต้องปรับตัวและปรับปรุงอยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
- ความต้องการเนื้อหาที่มีคุณภาพ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง ต้องการเวลาในการวิจัยและเขียน การเขียนบทความ บล็อกโพสต์ หรือเนื้อหาอื่น ๆ ที่มีคุณภาพสูง ไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการสร้างสรรค์ แต่ยังต้องใช้เวลาในการโปรโมทและสร้างลิงก์ย้อนกลับ
- การวิเคราะห์และปรับปรุง SEO เป็นกระบวนการที่ต้องการการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง คุณต้องตรวจสอบและวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่ออันดับที่ดีขึ้น และ อยู่ได้ยืนยาว
ทำไมทำ SEO ต้องใช้ทุนสูง มีระยะเวลา ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร

การทำ SEO ต้องใช้ทรัพยากรหลายด้าน ซึ่งนำไปสู่การใช้ทุนสูง นี่คือเหตุผลบางประการ
- ความต้องการผู้เชี่ยวชาญ การทำ SEO ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์คำค้นหา มีความเกี่ยวข้องกันหลายด้านในการทำ การสร้างเนื้อหา การปรับปรุงเทคนิค และการสร้าง Backlink การจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือทีมงาน SEO ที่มีคุณภาพต้องใช้เงินทุนสูง
- เครื่องมือและเทคโนโลยี การทำ SEO ต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์คำค้นหา เครื่องมือตรวจสอบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น keywordtool , ahrefs เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้มักจะมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่สูงอยู่เสมอ
- การสร้างเนื้อหา การสร้างเนื้อหาต้องการนักเขียน ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องที่เขียน และดีที่สุดคือต้องเข้าใจ บทความ SEO ที่ดีอีกด้วย การทำบทความถูกหลัก ช่วยให้หน้าโพสนั้นติดอันดับได้ และทำให้โครงสร้างของเว็บใหญ่ขึ้น
- การโปรโมทและสร้างลิงก์ การสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ Backlink ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณต้องใช้เวลาและความพยายาม การจ้างนักทำ Backlink ก็ต้องใช้ทุนเช่นเดียวกัน
- การสร้าง Traffic หรือยอดผู้เข้าชม ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร ก็สำคัญเช่นเดียวกัน การเพิ่มยอดผู้เข้าชม ก็ใช้ทุนเช่นเดียวกัน
หากเว็บเราติดอันดับ จะได้อะไรบ้าง ?
เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร จะมีประโยชน์หลายประการที่สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต อย่างยั่งยืน ในระยะยาว ได้
- เพิ่มการมองเห็นและผู้เข้าชม Traffic การติดอันดับในผลการค้นหาจะเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์คุณ ซึ่งหมายความว่าจะมีผู้เข้าชมมากขึ้น เช่น ผู้เข้าชมเว็บต่อเดือน 5000 คน หากสัก 10% ใช้บริการเรา ก็ถือว่าคุ้มค่าการมียอดผู้เข้าชมเยอะ โอกาสที่ผู้เข้าชมจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าก็สูงขึ้นเช่นกัน
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์ที่ติดอันดับในผลการค้นหามักจะได้รับความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้ ค้นหาเจออันแรกๆ คนก็กดเข้าไปเยอะกว่าเนื่องจากผู้ใช้มักจะเชื่อว่าเว็บไซต์ที่มีอันดับสูงเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
- ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การติดอันดับ SEO นั้นไม่เหมือนกับการ ทำ google Ads เพราะไม่จำเป็นต้องเสียค่าคลิ้ก คนจะกดเข้ามาทำไหร่ก็ได้ไม่เสียเงิน
- การเติบโตของธุรกิจในระยะยาว เป็นการลงทุนในระยะยาวที่สามารถนำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
ถ้าทำให้เว็บติด หน้าแรกของ Google ถึงเป็นจุดหมายที่ทุกธุรกิจต้องไปให้ถึง?
ในยุคที่ใครๆ ก็เริ่มต้นค้นหาทุกอย่างจาก Google การได้อยู่ “หน้าแรก” จึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็น สงครามทำเลออนไลน์ ที่ใครได้ครอง ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร ก็เหมือนได้ยึดหัวใจของลูกค้าไปก่อนใคร
เพราะเมื่อคนเสิร์ชหาสินค้าหรือบริการบางอย่าง สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือเว็บไซต์ที่อยู่บนสุด ยิ่งอยู่อันดับต้นๆ เท่าไหร่ โอกาสที่คนจะคลิกเข้ามาก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว และนั่นหมายถึง โอกาสทองในการขาย สร้างรายได้ และสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงในระยะยาว

ตัวเลขไม่โกหก หน้าแรกคือทุกอย่าง
จากสถิติแล้ว พบว่า เว็บไซต์ที่ครองอันดับ 1 บน Google ได้รับคลิกเฉลี่ยสูงถึง 27.6% ของผลการค้นหาทั้งหมด ในขณะที่อันดับ 2 ได้เพียง 15.8% เท่านั้น ต่างกันแค่ “หนึ่งอันดับ” แต่ผลลัพธ์กลับห่างกันเกือบ สองเท่า!
ลองคิดดูสิ ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร ถ้าคุณอยู่ในอันดับ 5 หรือ 10 ล่ะ? แทบไม่มีใครมองเห็นคุณเลยด้วยซ้ำ เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะหยุดดูแค่หน้าแรก และคลิกเพียงไม่กี่ลิงก์แรกเท่านั้น
การติดหน้าแรก = การสร้างแบรนด์โดยไม่ต้องจ่ายค่าแอด
หลายคนยังเข้าใจผิดว่า การยิงแอดคือวิธีเดียวที่จะทำให้คนเห็นแบรนด์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การติดหน้าแรกด้วย SEO คือการสร้างการมองเห็นแบบ ไม่ต้องเสียเงินต่อคลิก
เมื่อเว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในผลการค้นหาบ่อยๆ ผู้คนจะเริ่มจดจำชื่อแบรนด์โดยอัตโนมัติ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้าง ความเชื่อมั่น (Trust) และ ภาพลักษณ์ที่แข็งแรง (Brand Image) โดยไม่ต้องเปลืองงบโฆษณาเลยแม้แต่น้อย
แล้วจะขึ้นหน้าแรกได้ยังไง?
เส้นทางสู่หน้าแรกของ Google ไม่ได้มีสูตรลับซับซ้อน แต่มันเริ่มจาก “ความเข้าใจ” และ “ความใส่ใจในรายละเอียด” ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร คุณต้องทำให้เว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์ทุกอย่างที่ผู้ใช้กำลังตามหา
- มีคอนเทนต์ที่ให้คำตอบได้จริง
- โหลดไว อ่านง่าย ใช้งานสะดวก
- โครงสร้างเว็บชัดเจน เข้าใจง่ายทั้งคนและบอท
เมื่อ Google เห็นว่าผู้ใช้งานชอบเว็บไซต์ของคุณ อยู่ในเว็บนาน คลิกต่อไปหน้าอื่น หรือกลับมาอีก นั่นคือสัญญาณบอกว่า เว็บไซต์นี้มีคุณภาพ และ Google ก็พร้อมจะยกคุณขึ้นไปบนสุดของผลการค้นหาทันที
หน้าแรก คือเวทีของคนที่พร้อมที่สุด
อย่าลืมว่า ทุกคลิกที่คุณพลาดไป คือโอกาสที่คู่แข่งของคุณได้ไปแทน ดังนั้น ถ้าอยากให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว อย่ามองข้ามพลังของการอยู่หน้าแรกบน Google เพราะที่นั่น
- คือ “พื้นที่แห่งความเชื่อถือ”
- คือ “เวทีของแบรนด์ที่คนเห็นก่อนใคร”
- และคือ “เส้นทางลัดสู่ความสำเร็จของธุรกิจในโลกออนไลน์” อย่างแท้จริง
ปัจจัยที่มีผลต่อการทำอันดับ SEO ถ้าอยากให้เว็บไซต์ขึ้นหน้าแรกจริง!
การทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับบน Google ไม่ใช่เรื่องของ “โชค” แต่คือผลลัพธ์จากการวางแผนและปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง SEO จึงเปรียบเหมือนสนามแข่งที่ใครเข้าใจกติกามากกว่า ก็มีโอกาส “เข้าเส้นชัย” ก่อนใคร
โดยหลัก ๆ แล้ว ปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำอันดับ SEO แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ สิ่งที่เราควบคุมได้ และ สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้
ถ้าคุณเข้าใจและจัดการทั้งสองด้านนี้ได้ดี เว็บไซต์ของคุณก็พร้อมจะทะยานขึ้นสู่หน้าแรกของ Google ได้อย่างมั่นคงแน่นอน
ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ (Controllable Factors)
คือสิ่งที่เราสามารถลงมือทำได้เองโดยตรง ทั้งในด้านเทคนิค เนื้อหา และการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้และ Google มากที่สุด
1. การเลือกใช้คีย์เวิร์ด Keyword Selection
คีย์เวิร์ดคือ “หัวใจของ SEO” การเลือกคำที่ใช่คือจุดเริ่มต้นของการดึงคนที่ใช่มาหาเว็บไซต์ของเรา หากเลือกคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงเกินไป เว็บใหม่อาจใช้เวลานานกว่าจะไต่อันดับได้ ในทางกลับกัน หากเลือกคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงและมีการแข่งขันต่ำกว่า โอกาสติดหน้าแรกก็จะเพิ่มขึ้น
เครื่องมือช่วยค้นหาคีย์เวิร์ด เช่น Ubersuggest , SEMrush , Ahrefs , KWFinder สามารถช่วยบอกได้ว่าคำไหนกำลังมาแรง และคำไหนควรหลีกเลี่ยง
2. อายุของเว็บไซต์ Domain Age
เว็บไซต์ก็เหมือนไวน์ ยิ่งเก่า ยิ่งมีคุณค่า เว็บที่เพิ่งเปิดใหม่อาจต้องใช้เวลาให้ Google ทำความรู้จักก่อน แต่เมื่อเว็บมีอายุพอสมควร และได้รับการอัปเดตสม่ำเสมอ Google จะเริ่มให้ความเชื่อถือมากขึ้น
- ดังนั้น ถ้าคุณมีเว็บไซต์อยู่แล้ว อย่าปล่อยให้มันนิ่ง!
- อัปเดตคอนเทนต์อยู่เสมอ เพิ่มเนื้อหาที่มีคุณค่า และกระตุ้น Traffic เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- เพื่อให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณ “ยังมีชีวิต” และมีพลังในการแข่งขัน
3. On-Page SEO (หรือ On-Site SEO)
สิ่งที่อยู่ “ภายในเว็บไซต์” On-Page SEO คือส่วนที่เราควบคุมได้มากที่สุด และ Google ให้ความสำคัญสูงมาก
- คุณภาพของคอนเทนต์ ต้องให้คุณค่าและตอบคำถามที่ผู้ใช้งานต้องการจริง ๆ เนื้อหาที่ละเอียดและมีความยาวพอเหมาะ จะช่วยให้ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่บนเว็บนานขึ้น ยิ่งคนอยู่ในเว็บนาน Google ก็ยิ่งเชื่อว่าเนื้อหานั้น “ดีจริง”
- การเคลื่อนไหวของเว็บไซต์ อัปเดตเนื้อหาอยู่เสมอ เช่น การแก้ไขข้อมูล เพิ่มรูป หรือเชื่อมลิงก์ใหม่ เว็บที่นิ่งเกินไปจะถูกมองว่า “ร้าง” และอันดับอาจค่อย ๆ ร่วงลงโดยไม่รู้ตัว
- ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ Page Speed จากสถิติของ Unbounce มีถึง 70% ของผู้ใช้งานที่ “ไม่รอ” ถ้าเว็บโหลดเกิน 3 วินาที! เว็บช้าคือศัตรูตัวร้ายของทั้ง UX และ SEO เพราะนอกจากผู้ใช้จะออกจากเว็บเร็ว (Bounce Rate สูง) Google ยังมองว่าเว็บไซต์นั้นไม่มีประสิทธิภาพด้วย เครื่องมือที่ควรใช้วัดและปรับความเร็ว เช่น Google PageSpeed Insights และ Google Analytics
- จำนวน Traffic บนเว็บไซต์ คือหลักฐานสำคัญว่า “มีคนสนใจเว็บของคุณจริง” Google จะให้ความสำคัญกับเว็บที่มีผู้เข้าชมอย่างสม่ำเสมอ อย่าลืมโปรโมตผ่านโซเชียล หรือเชื่อม Internal Link ภายในเว็บเพื่อให้คนอยู่ต่อและคลิกไปเรื่อย ๆ
4. Off-Page SEO
คือการสร้างความน่าเชื่อถือจาก “ภายนอกเว็บไซต์” เพราะ Google ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนจากคนอื่นด้วย ตัวอย่างวิธีที่นิยม เช่น
- การได้รับ Backlink จากเว็บที่มีคุณภาพ (ไม่ใช่เว็บสแปม)
- การเขียนบทความ Guest Post แล้วใส่ลิงก์กลับมาที่เว็บของเรา
- การถูกอ้างอิงจากสื่อหรือเว็บไซต์อื่น ๆ
ยิ่งเว็บภายนอกพูดถึงเรามากเท่าไหร่ Google ก็ยิ่งมองว่า “เว็บนี้มีอิทธิพลและน่าเชื่อถือ” มากขึ้น
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrollable Factors)
แม้เราจะวางแผนดีแค่ไหน แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น อัลกอริทึมของ Google และ คู่แข่งในตลาด
1. Google Algorithm
คือระบบสมองของ Google ที่ใช้ตัดสินว่าเว็บไหนควรอยู่บนสุด และอัลกอริทึมนี้ “เปลี่ยนตลอดเวลา” ไม่มีวันหยุด บางครั้งเว็บไซต์ของคุณอาจอยู่อันดับ 1 มานาน แต่พอมีการอัปเดตอัลกอริทึมใหม่ อันดับก็อาจตกได้ในพริบตา เพราะ Google ต้องการให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเสมอ องค์ประกอบที่ส่งผลต่ออัลกอริทึม เช่น
- Backlink ที่มีคุณภาพ
- Fresh Content เนื้อหาที่อัปเดตเสมอ
- ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด
- ประสบการณ์ผู้ใช้งาน UX
- ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ Authority
ดังนั้น นักการตลาดทุกคนควร “อัปเดตความรู้เรื่องอัลกอริทึมอยู่เสมอ” เพื่อไม่ให้เว็บของตัวเองหลุดจากหน้าแรกโดยไม่รู้ตัว
2. คู่แข่ง (Competitors)
SEO ไม่ได้แข่งกับ Google แต่แข่งกับ “คนอื่น” ที่อยากติดหน้าแรกเหมือนกัน วันนี้คุณอาจอยู่ในอันดับ 3 แต่พรุ่งนี้คู่แข่งอาจอัปเดตคอนเทนต์และแซงคุณไป ทางออกคืออย่าหยุดพัฒนา
- ทำ Keyword Research เป็นประจำ
- วิเคราะห์คู่แข่งว่าพวกเขาทำอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ
- รักษาคุณภาพเว็บให้ดีที่สุดอยู่เสมอ
เพราะในสนาม SEO ไม่มีคำว่า “ชนะตลอดกาล” มีแต่ “คนที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด” เท่านั้นที่อยู่รอด
สรุป อยากติดอันดับ ต้องเข้าใจทั้ง ในเว็บ และ นอกเว็บ
SEO ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ “เกมระยะยาว” ที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความอดทน และการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา หากคุณยังใหม่ในเส้นทางนี้ การมีผู้เชี่ยวชาญหรือเอเจนซี่ SEO ที่มีประสบการณ์มาช่วยวางกลยุทธ์ ก็ถือเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เพราะพวกเขาจะช่วยย่นเวลาและเพิ่มโอกาสให้คุณไปถึงหน้าแรกได้ไวกว่าเดิม

บทสรุป ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร
การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน และ ใช้ทุนสูง หากถามตรงๆ เลยว่า ทำ SEO ใช้เวลาเท่าไร ? คำถามนี้ตอบไม่ได้ เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ว่าเกี่ยวข้องกับหลายอย่าง ส่วนมากจะเป็นการแข่งขัน เพราะมีหลายเว็บที่ทำเช่นเดียวกัน โดยปกติ ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือนอย่างแน่นอน
บางเว็บไซต์ที่การแข่งขันสูง ยิ่งใช้เวลานาน อาจเป็นปีก็ได้เช่นเดียวกัน ทุนก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน เพราะยิ่งทำ บทความอย่างต่อเนื่อง มีการทำ Offpage ควบคู่ ก็ยิ่งทำให้เว็บติดอันดับได้ไวขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ SEO อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน และคุ้มค่าอย่างแน่นอน หากอยากทำ SEO ปรึกษาพวกเรา SEOGURU ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


