วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ หากทำอย่างถูกวิธี SEO (Search Engine Optimization) สามารถดึงดูดผู้เข้าชมที่ตรงเป้าหมายมาสู่เว็บไซต์ของคุณได้หลายพันคนต่อเดือน
สิ่งนี้ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณจากสิ่งที่ถูกมองข้าม ให้กลายเป็นทรัพย์สินที่สร้างโอกาสทางธุรกิจและยอดขายได้
Backlinko เริ่มต้นจากการเป็นบล็อกส่วนตัวธรรมดาในปี 2012 โดยเผยแพร่โพสต์เพียงหนึ่งหรือสองโพสต์ต่อเดือน ในช่วงสองปีแรก ทราฟฟิกของเราเติบโตจากไม่กี่ร้อยคนต่อเดือน เป็นหลายพันคน
ปัจจุบัน Backlinko มีการเข้าชมกว่า 680,000 ครั้งต่อเดือน โดย 74% มาจากการค้นหาแบบออร์แกนิก
ต้องใช้เวลากว่าทศวรรษกว่าจะมาถึงจุดนี้ แต่แนวทางการทำ SEO ของเรายังคงเหมือนเดิมเสมอ เราให้ความสำคัญกับ เนื้อหาที่มีประโยชน์, ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี, การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง, และการได้รับลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูง
บทความนี้จะแนะนำวิธีทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณใน 10 ขั้นตอนที่เข้าใจง่าย พร้อมแนะนำเครื่องมือที่มีประโยชน์ตลอดกระบวนการ (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
นอกจากนี้ เราได้สัมภาษณ์ Andrew Peluso เจ้าของ Bananas Marketing Agency เพื่อให้คำแนะนำเชิงลึกเกี่ยวกับการเริ่มต้นทำ SEO คุณจะพบกับเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญของเขาตลอดคู่มือนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ
พร้อมหรือยัง? เดี๋ยวพวกเรา SEOGURU จะพาไปรับชมกัน
มาเริ่มกันที่ ขั้นตอนแรก กันเลย!
1.ตั้งค่าเว็บไซต์ของคุณ
หากคุณยังไม่ได้ตั้งค่าเว็บไซต์ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม
เลือกแพลตฟอร์มที่ตรงกับระดับทักษะทางเทคนิคและความต้องการทางธุรกิจของคุณ ตัวอย่างเช่น เครื่องมือสร้างเว็บไซต์หลายแห่งมี ตัวแก้ไขแบบลากและวาง ทำให้การออกแบบและปรับแต่งเว็บไซต์เป็นเรื่องง่าย
นี่คือตัวเลือกยอดนิยม:
- WordPress: เหมาะสำหรับการจัดการทุกองค์ประกอบของเว็บไซต์ รวมถึง SEO
- Squarespace: เหมาะสำหรับแสดงผลงาน (Portfolio) และการจองนัดหมาย
- Shopify: เหมาะสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ สร้างร้านค้าออนไลน์ได้ง่ายเพื่อขายสินค้า
- Wix: เหมาะสำหรับเว็บไซต์พื้นฐาน เช่น พอร์ตโฟลิโอ, บล็อก, หรือเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่เน้นอีคอมเมิร์ซ
อ่านเพิ่มเติม: ทําเว็บ wordpress ยากไหม ควรเริ่มต้นอย่างไร ?
พิจารณาใช้ WordPress เนื่องจากให้ความยืดหยุ่นทางเทคนิคมากขึ้นในการปรับปรุงอันดับของคุณ
“เว็บไซต์ WordPress ที่เรียบง่ายแต่ทำออกมาอย่างดีจะช่วยให้คุณมีโอกาสทำอันดับได้ดีที่สุด ผมแนะนำให้ลองหาวิดีโอสอนใน YouTube เพื่อช่วยสร้างเว็บไซต์ WordPress ของคุณ”
แม้ว่าเครื่องมือสร้างเว็บไซต์จะได้รับความนิยม แต่พวกมันอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากมีข้อจำกัดในการควบคุมส่วน backend ของเว็บไซต์ของคุณ
เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นและความต้องการด้าน SEO ซับซ้อนมากขึ้น ข้อจำกัดเหล่านี้อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณได้
“ปัญหาของแพลตฟอร์มอย่าง Wix โดยเฉพาะคือ หากคุณจริงจังกับการทำ SEO สุดท้ายแล้วคุณจะต้องก้าวออกจากแพลตฟอร์มนั้นอยู่ดี Wix ในฐานะเครื่องมือสร้างเว็บไซต์มีข้อจำกัดในการควบคุมส่วน backend, HTML, และฟังก์ชัน JavaScript ซึ่งสุดท้ายแล้ว คุณจะต้องการการควบคุมเหล่านั้น และ WordPress คือแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับการให้คุณควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่”
WordPress มีปลั๊กอินและธีมมากมายที่ช่วยเสริมความพยายามในการทำ SEO ของคุณ และทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น เช่น Elementor ซึ่งช่วยให้คุณออกแบบเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดายด้วยเทมเพลตสำเร็จรูป
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้แพลตฟอร์มใด ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนสำคัญเหล่านี้เมื่อสร้างเว็บไซต์ใหม่
เลือกชื่อโดเมน
ชื่อโดเมนของคุณคือที่อยู่เว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต
ดังนั้น ควรเลือกชื่อโดเมนที่:
- เกี่ยวข้อง และสะท้อนถึงธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณ
- ง่ายต่อการจดจำและออกเสียง
- กระชับ: หลีกเลี่ยงชื่อที่ยาวและซับซ้อน ควรมีไม่เกิน 2-3 คำ และความยาวไม่เกิน 15 ตัวอักษร เพื่อให้ลูกค้าพิมพ์ได้ง่าย
- ไม่ซ้ำใคร โดดเด่น และไม่สับสนกับเว็บไซต์อื่นๆ
ตัวอย่างเช่น Backlinko.com เป็นชื่อที่ไม่ซ้ำใคร จดจำง่าย และกระชับ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะ “Backlinks” เป็นหัวข้อสำคัญในอุตสาหกรรม SEO
เลือกธีม
ธีมของเว็บไซต์กำหนดลักษณะโดยรวมและความรู้สึกของเว็บไซต์ เลือกธีมสำเร็จรูปที่สอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์ของคุณและรองรับการแสดงผลบนมือถือ
จากนั้นปรับแต่งธีมให้เหมาะกับแบรนด์ของคุณเอง
เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่สม่ำเสมอและน่าจดจำ ควรเพิ่มสิ่งเหล่านี้ลงในเว็บไซต์ของคุณ:
- โลโก้
- สีของแบรนด์
- ฟอนต์
- กราฟิกหรือรูปภาพ
อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับ SEO
ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย
มาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความไว้วางใจของผู้ใช้และ SEO เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ปลอดภัยในผลการค้นหา
ปกป้องเว็บไซต์ของคุณด้วย SSL Certificate (HTTPS) เพื่อป้องกันข้อมูลของผู้เยี่ยมชมโดยใช้การเข้ารหัสข้อมูล
นี่คือลักษณะของใบรับรองความปลอดภัยที่ปรากฏบนเว็บไซต์
ผู้ให้บริการโฮสติ้งหลายรายมี SSL Certificate ฟรีรวมอยู่ในแพ็กเกจ ทำให้ง่ายต่อการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยนี้ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
ตรวจสอบกับผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณว่า SSL รวมอยู่ในแพ็กเกจหรือไม่ หากไม่มี คุณสามารถหา ปลั๊กอิน เพื่อใช้งานได้ เช่น บน WordPress คุณสามารถใช้ Really Simple SSL ได้เลย
อ่านเพิ่มเติม: หลักการออกแบบ เว็บไซต์ที่ดี และเหมาะกับการทำ SEO
ปรับแต่งให้เหมาะกับหน้าจอมือถือ
กว่าครึ่งของการเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมดมาจากอุปกรณ์มือถือ ดังนั้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณรองรับการแสดงผลบนมือถือ หมายความว่าต้องสามารถปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกันได้
ธีมและเทมเพลตเว็บไซต์สมัยใหม่ส่วนใหญ่มีการออกแบบที่รองรับการแสดงผลบนมือถือ แต่คุณสามารถทดสอบว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับการใช้งานบนมือถือหรือไม่ ด้วยการเข้าชมเว็บไซต์ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
นี่คือสิ่งที่ควรตรวจสอบระหว่างการทดสอบบนมือถือ:
- การจัดวาง (Layout): การจัดวางปรับให้พอดีกับหน้าจอขนาดเล็กได้หรือไม่? มีส่วนใดถูกตัดออกหรือทับซ้อนกันหรือเปล่า?
- การนำทาง (Navigation): เมนูนำทางใช้งานง่ายบนหน้าจอสัมผัสหรือไม่? ปุ่มและลิงก์มีขนาดใหญ่พอสำหรับการแตะได้อย่างแม่นยำหรือไม่?
- ข้อความ (Text): ข้อความอ่านง่ายและมีขนาดที่เหมาะสมสำหรับหน้าจอมือถือหรือไม่? หลีกเลี่ยงฟอนต์ที่ต้องซูมเข้าเพื่ออ่าน ควรใช้ขนาดฟอนต์ประมาณ 16 ถึง 20 พิกเซล
- รูปภาพ (Images): รูปภาพพอดีกับหน้าจอหรือไม่?
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับ Mobile SEO
2. ทำการวิจัย
การเรียนรู้วิธีทำ SEO สำหรับเว็บไซต์รวมถึงการวิจัยลูกค้า คู่แข่ง และคีย์เวิร์ด เพื่อให้คุณสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและเครื่องมือค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิจัยลูกค้าของคุณ
การเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาอะไรบนโลกออนไลน์ คือพื้นฐานสำคัญของกลยุทธ์ SEO ที่ประสบความสำเร็จ
เริ่มต้นด้วยการมองผ่านมุมมองของลูกค้า และระดมความคิดเกี่ยวกับคำถามที่พวกเขาอาจมีเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรืออุตสาหกรรมของคุณ
ลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้:
- ปัญหาของลูกค้า: ปัญหาใดที่ลูกค้ากำลังเผชิญซึ่งธุรกิจของคุณสามารถแก้ไขได้? เช่น ลูกค้าของบริษัทกฎหมายอาจมองหาคำแนะนำเกี่ยวกับการยื่นคำร้องหย่าในรัฐของพวกเขา
- ความต้องการข้อมูล: ช่องว่างความรู้ใดที่คุณสามารถเติมเต็มได้? เช่น ลูกค้าของร้านทำผมอาจค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับราคาบริการในพื้นที่
- การตัดสินใจซื้อ: ปัจจัยใดที่พวกเขาพิจารณาเมื่อต้องเลือกวิธีแก้ปัญหา? เช่น ลูกค้าของร้านเบเกอรี่อาจต้องการทราบเกี่ยวกับตัวเลือกการจัดส่งเค้กวันเกิด
สร้างรายการคำถามที่ลูกค้าของคุณถาม ทั้งจากการสนทนาต่อหน้า ทางโทรศัพท์ หรือผ่านช่องทางการตลาด เช่น อีเมลและโซเชียลมีเดีย วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่
วิธีเพิ่มเติมในการวิจัยกลุ่มเป้าหมาย:
- ฟอรัมและกลุ่มโซเชียลมีเดีย: สำรวจกลุ่ม Facebook, Reddit, Quora และฟอรัมเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดูว่าผู้คนถามคำถามอะไรและพูดคุยในหัวข้อใดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของคุณ
- Answer The Public: เครื่องมือนี้สร้างแผนภาพคำถามที่ผู้คนมีเกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะ เพียงใส่ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ เครื่องมือจะแสดงรายการคีย์เวิร์ดในรูปแบบคำถามออกมาให้คุณ
Google Keyword Planner: เครื่องมือนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการค้นหาโฆษณาแบบเสียเงินเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม มันยังมีประโยชน์สำหรับการวิจัยคีย์เวิร์ดแบบออร์แกนิกได้เช่นกัน
สัมภาษณ์ลูกค้าของคุณ: หากเป็นไปได้ ให้ทำแบบสัมภาษณ์หรือแบบสำรวจกับลูกค้าปัจจุบันหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการและปัญหาของพวกเขา คุณสามารถใช้เครื่องมือ เช่น Google Forms, SurveyMonkey หรือ Typeform เพื่อรวบรวมคำตอบจากลูกค้า
Google Autocomplete: ขณะที่คุณพิมพ์คำค้นหาใน Google ระบบจะเสนอคำค้นหาที่เกี่ยวข้องโดยอิงจากความนิยมของการค้นหา ซึ่งสามารถช่วยให้คุณเข้าใจว่าผู้คนกำลังมองหาอะไรได้ง่ายขึ้น
ศึกษาคู่แข่งของคุณ
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด ในการหาไอเดียสำหรับการทำ SEO คือการศึกษาคู่แข่ง ลองเข้าไปดูเว็บไซต์ของคู่แข่ง แล้วค้นหาว่าพวกเขาใช้คีย์เวิร์ดอะไร ในการดึงดูดลูกค้า เพราะถ้าคำเหล่านั้น ช่วยให้พวกเขาได้รับทราฟฟิก ก็อาจช่วยให้กลยุทธ์ SEO ของคุณแข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกัน
หมายเหตุ: เราจะใช้ Semrush เป็นเครื่องมือหลัก ในการวิเคราะห์คู่แข่ง คุณสามารถใช้บัญชีฟรี เพื่อตรวจสอบโดเมนได้สูงสุด 10 เว็บต่อวัน หรือถ้าต้องการลองใช้เวอร์ชัน Pro คุณสามารถใช้ลิงก์นี้เพื่อทดลองฟรี 14 วัน
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังทำ SEO ให้กับร้านทำผมของคุณในไมอามี และหนึ่งในคู่แข่งหลักของคุณคือ Blunt Blonde Salon วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่
ให้เปิดเครื่องมือ Organic Research ใน Semrush จากนั้นใส่ชื่อโดเมน “bluntblondesalon.com” เลือกประเทศเป็น “US” แล้วกด “Search”
คุณจะเห็นข้อมูลว่าร้าน Blunt Blonde Salon ใช้คีย์เวิร์ดทั้งหมด 265 คำ และคาดว่าจะได้รับทราฟฟิก จากการค้นหาทั่วไป ประมาณ 315 คน ในเดือนถัดไป
เลื่อนลงไปที่ส่วน Top Keywords ซึ่งแสดงคีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
คลิก “View all keywords” เพื่อดูคีย์เวิร์ดทั้งหมดที่เว็บไซต์นี้ใช้
เช็คคำที่สำคัญๆ ว่าเราจะเอาคำไหน ไปใช้ในเนื้อหาของเราบ้าง
เลือกคีย์เวิร์ดที่คุณสนใจ และกด “+Add to keyword list” เพื่อบันทึกลงในลิสต์ของคุณ (ตั้งชื่อได้ตามต้องการ)
เพื่อดูรายการคำหลัก วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ ที่คุณบันทึกไว้ ให้คลิกที่รายการนั้น หรือไปที่ “Keyword Strategy Builder” จากเมนูทางด้านซ้าย แล้วเลือกจากรายการของคุณ
หากต้องการดาวน์โหลดคีย์เวิร์ดเหล่านี้เป็นไฟล์สเปรดชีต ให้คลิก “Export” และเลือกฟอร์แมตที่ต้องการ
ค้นหาคีย์เวิร์ดเพิ่มเติม
ตอนนี้ คุณคงมีลิสต์ไอเดียคีย์เวิร์ด จากทั้งลูกค้าและคู่แข่งแล้ว
ขั้นตอนถัดไปคือ ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด อย่าง Keyword Magic Tool ของ Semrush เพื่อค้นหาแนวทางเพิ่มเติม และปรับแต่งลิสต์ของคุณ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลสำคัญ เช่น
- Search volume – จำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
- Keyword difficulty – ความยากในการติดอันดับ Top 10 บน Google
- Search intent – เจตนาของผู้ใช้ในการค้นหาคำนั้น (เดี๋ยวเราจะพูดถึงเรื่องนี้เพิ่มเติม)
ลองพิมพ์หนึ่งในคีย์เวิร์ดของคุณลงไปใน Keyword Magic Tool เลือกภูมิภาคเป้าหมาย แล้วกด “Search”
หากคุณต้องการเจาะกลุ่มลูกค้า ที่มองหาทรงผมสำหรับผมหยิก
ให้ลองค้นหาคำว่า “curly haircuts”
เครื่องมือ จะช่วยดึงคำค้นหาที่เกี่ยวข้องออกมา เช่น “mens curly haircuts” หรือ “short curly haircuts”
โดยเฉพาะ “mens curly haircuts” อาจเป็นคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ เพราะมีการค้นหามากกว่า 9,900 ครั้งต่อวัน และมีระดับความยากที่จัดว่า ง่าย
ลองใช้ ตัวกรอง “Questions” เพื่อค้นหาคำถามที่คนมักจะพิมพ์ค้นหา เช่น “what is the best haircut for curly hair?”
เพิ่มคำหลัก และคำถามที่เกี่ยวข้องเข้าไป ในรายการคำหลักที่คุณได้สร้างขึ้น หลังจากที่คุณวิจัยคำหลักแล้ว
3. วางโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณให้ดี
วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ ใช้คำถามและคีย์เวิร์ดที่คุณค้นคว้ามาก่อนหน้านี้ เป็นแนวทางในการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณ
Andrew แนะนำว่า ควรวางแผนให้ชัดเจนว่า เว็บไซต์ของคุณจะมีหน้าหลักอะไรบ้าง และต้องแน่ใจว่าทุกหน้าออกแบบมา เพื่อตอบคำถามของกลุ่มเป้าหมาย
"ถ้าให้พูดตรงๆ ผมจะเริ่มจากการวางโครงสร้างเว็บไซต์ก่อนเลย คุณต้องมีหน้าอะไรบ้าง เพื่อให้คำตอบกับคนที่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณ?"
โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Architecture) เปรียบเสมือนแผนที่นำทาง ซึ่งช่วยกำหนดลำดับความสำคัญของแต่ละหน้า และแสดงให้เห็นว่าหน้าเว็บเชื่อมโยงกันอย่างไร ตัวอย่างเช่น:
หากต้องการวางแผนโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีและเป็นมิตรกับ SEO คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Lucid มาช่วยจัดระเบียบให้ดูง่ายขึ้น
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการสร้างโครงสร้างเว็บไซต์
- หน้าสำคัญที่ต้องมี: ควรมีหน้า Homepage, About Us, Contact, Products/Services และหน้าที่ตอบคำถามหลักของลูกค้า (เช่น FAQs หรือ Blog) ซึ่งทั้งหมดนี้ควรเข้าถึงได้ง่ายจากเมนูหลัก
- ลำดับชั้นที่เป็นระเบียบ: จัดหมวดหมู่และหน้าต่างๆ ให้เป็นระบบ แยกเป็น หมวดหมู่หลัก และ หมวดย่อย เพื่อให้ทั้งผู้ใช้และ Google เข้าใจโครงสร้างของเว็บได้ง่ายขึ้น
อีกหนึ่งวิธีที่ดีคือ ดูตัวอย่างจากคู่แข่ง ลองสำรวจเว็บไซต์ของพวกเขาดูว่า พวกเขามีหน้าอะไรบ้าง? ครอบคลุมหัวข้ออะไร? แล้วนำไอเดียเหล่านั้นมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณ
4. สร้างคอนเทนต์ที่เหมาะกับ SEO
วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ เมื่อคุณรู้ว่าลูกค้าของคุณต้องการคำตอบอะไร และคุณได้วางโครงสร้างเว็บไซต์ให้รองรับคำถามเหล่านั้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การสร้างคอนเทนต์คุณภาพที่เหมาะกับ SEO
คอนเทนต์ที่ดีควรทำสองสิ่งนี้ได้:
- ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์กับผู้ใช้
- ช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
วิธีเขียนคอนเทนต์ SEO ให้ได้ผล
จับคู่เนื้อหากับเจตนาของผู้ค้นหา
ทุกคำค้นหาที่ลูกค้าพิมพ์ลงไป ล้วนมี “เจตนา” อยู่เบื้องหลัง
หากคุณสามารถสร้างคอนเทนต์ ที่ตรงกับความต้องการนั้นได้ โอกาสที่เว็บของคุณจะติดอันดับสูงก็มีมากขึ้น
4 ประเภทของเจตนาในการค้นหา:
- Informational (ต้องการข้อมูล): ลูกค้ากำลังมองหาคำตอบ เช่น “วิธีทำเค้ก” หรือ “ขั้นตอนหย่าต้องใช้เวลากี่วัน” วิธีตอบโจทย์ให้ เขียนบทความ แนะนำ วิธีทำ หรือสร้างหน้า FAQs ที่ให้คำตอบชัดเจน
- Commercial (ต้องการเปรียบเทียบก่อนซื้อ): ลูกค้ากำลังหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ เช่น “ร้านทำสีผมที่ดีที่สุดในไมอามี” หรือ “แนะนำทนายหย่า” วิธีตอบโจทย์ให้ สร้างบทความรีวิว, เปรียบเทียบสินค้า หรือโชว์รีวิวจากลูกค้า
- Transactional (ต้องการซื้อ/จองเลย): ลูกค้าพร้อมที่จะตัดสินใจ เช่น “จองคิวช่างทำผม” หรือ “ซื้อตั๋วเครื่องบินไปนิวยอร์ก” วิธีตอบโจทย์ให้ ทำหน้า Landing Page หรือ Product Page พร้อมปุ่ม Call-to-Action เช่น “จองคิวเลย” หรือ “ขอใบเสนอราคา”
- Navigational (ต้องการเข้าเว็บเฉพาะเจาะจง): ลูกค้าต้องการเข้าเว็บไซต์ที่รู้จักอยู่แล้ว เช่น “เว็บ The New York Times” หรือ “สั่งเค้กจาก [ชื่อร้านของคุณ]” วิธีตอบโจทย์ให้ ทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย และมีเมนูนำทางที่ชัดเจน
เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
เมื่อคุณเขียนคอนเทนต์ สำหรับเว็บไซต์ อย่าลืมใส่ คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ลงไปในแต่ละหน้าให้เป็นธรรมชาติ
โดยควรแทรกไว้ในส่วนสำคัญ วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ เช่น
- ชื่อเรื่องหลัก (H1)
- หัวข้อรอง (H2–H6)
- เนื้อหาหลักของหน้าเว็บ
- Title Tags (แท็กชื่อเรื่องที่แสดงบน Google)
- Meta Descriptions (คำอธิบายใต้ลิงก์ในหน้าผลการค้นหา)
การใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวกับอะไร และเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับบนหน้าค้นหา
นอกจากการใช้ คีย์เวิร์ดหลัก (Primary Keywords) แล้ว ลองเพิ่ม คีย์เวิร์ดรอง (Secondary Keywords) ลงไปด้วย คำเหล่านี้คือคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน ซึ่งจะช่วยให้คอนเทนต์ของคุณมีความครอบคลุมมากขึ้น และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น
เคล็ดลับ: การใช้คีย์เวิร์ดให้ได้ผล ไม่ใช่การใส่มันไปทุกที่ แต่ต้องให้เป็นธรรมชาติ อ่านแล้วลื่นไหล และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงๆ
ใส่ใจ E-E-A-T เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
นอกจากการใช้คีย์เวิร์ดให้เหมาะสมแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือการแสดงให้เห็นถึง ความเชี่ยวชาญ (Expertise), ประสบการณ์ (Experience), ความน่าเชื่อถือ (Authoritativeness) และความไว้วางใจ (Trustworthiness) หรือที่เรียกกันว่า E-E-A-T ในเนื้อหาของคุณ
วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ แต่จริงๆ แล้ว E-E-A-T คืออะไร?
Google ได้สร้างหลักเกณฑ์นี้ขึ้นมาเพื่อใช้ประเมิน คุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่า Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มาจากผู้เชี่ยวชาญและมีความน่าเชื่อถือจริงๆ หากเว็บไซต์ของคุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณคือผู้รู้จริงในเรื่องที่นำเสนอ โอกาสที่เนื้อหาของคุณจะถูกจัดอันดับสูงขึ้นก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง?
- แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ – อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หรือให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง
- แชร์ประสบการณ์จริง – เขียนจากมุมมองของคนที่มีประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นๆ
- สร้างความน่าเชื่อถือ – พยายามให้เว็บไซต์ของคุณได้รับ Backlink จากเว็บที่มีชื่อเสียง
- สร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จัก – แชร์บทความเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คนมองว่าคุณคือ “ตัวจริง” ในสายงาน
ตัวอย่าง:
หากคุณกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับ “วิธีกรอกแบบฟอร์มภาษี” คุณอาจให้ นักบัญชีมืออาชีพ มาช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เพื่อให้ผู้อ่านมั่นใจได้ว่าเนื้อหานั้นแม่นยำและน่าเชื่อถือ
หรือถ้าคุณกำลังเขียนบล็อกเกี่ยวกับ “ท่าออกกำลังกายช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง” คุณอาจให้ นักกายภาพบำบัดที่มีใบรับรอง มาเป็นผู้สาธิตในวิดีโอ หรือให้คำแนะนำจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ
ให้ความสำคัญกับ E-E-A-T และสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ตอบโจทย์และตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ไม่เพียงแค่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้าง ความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ ให้กับผู้อ่านอีกด้วย
จัดโครงสร้างเนื้อหาโดยใช้หัวข้อ Headings
ช่วยจัดระเบียบเนื้อหาของคุณ หัวข้อ (H1 ถึง H6) และทำให้เนื้อหาอ่านง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังบอกกล่าวให้เครื่องมือค้นหาทราบถึงลำดับชั้นและความเกี่ยวข้องของเนื้อหาของคุณด้วย
นี่คือวิธีการจัดโครงสร้างเนื้อหาของคุณด้วยหัวข้อ:
- H1: ใช้แท็ก H1 สำหรับชื่อเรื่องของหน้าเว็บของคุณ ควรสะท้อนหัวข้อหลักของหน้าเว็บอย่างถูกต้อง และรวมคีย์เวิร์ดหลักของคุณไว้ด้วย H1 บอกผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาว่าหน้าเว็บของคุณเกี่ยวกับอะไร
- H2: ใช้แท็ก H2 เพื่อจัดโครงสร้างส่วนหลักภายในเนื้อหาของคุณ แต่ละ H2 ควรมุ่งเน้นไปที่หัวข้อย่อยเฉพาะ หรือขั้นตอนหนึ่งๆ ในคู่มือ ควรรวมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาหลักของคุณ
- H3: ใช้แท็ก H3 สำหรับหัวข้อย่อยภายในส่วน H2 ของคุณ สิ่งนี้จะสร้างลำดับชั้นที่ชัดเจนและทำให้เนื้อหาของคุณอ่านง่ายขึ้น H3 ยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
5. ปรับปรุง SEO ภายในหน้าเว็บ
SEO ภายในหน้าเว็บ On-page SEO คือ การปรับปรุงแต่ละหน้าเว็บไซต์ให้ปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาได้ดีขึ้นและดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์แบบธรรมชาติมากขึ้น
เนื่องจากคุณเพิ่งเริ่มเรียนรู้วิธีทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ เราจะเน้นไปที่ เทคนิค SEO ภายในหน้าเว็บที่สำคัญ 3 ประการ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณได้
สร้าง Title Tag
Title Tag เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนจะเห็นเมื่อค้นหาข้อมูลใน Google การเขียน Title Tag ที่ชัดเจนและน่าสนใจจะช่วยดึงดูดให้ผู้คนคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
ให้แท็กชื่อเรื่องสั้นกระชับ (ประมาณ 50-60 ตัวอักษร) และสื่อความหมายชัดเจน ควรใส่คำหลักที่ต้องการเน้นเข้าไปในประโยคอย่างเป็นธรรมชาติ
Meta Description คืออะไร?
Meta Description คือคำอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์ วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ ที่จะปรากฏอยู่ใต้ชื่อเรื่องของหน้าเว็บไซต์
ตัวอย่าง:
สรุปเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ให้สั้นที่สุด ภายใน 155 ตัวอักษร โดยใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องด้วย และเขียนคำอธิบายเมตาให้ดึงดูดใจ เพื่อให้ผู้ค้นหาอยากคลิกเข้ามาอ่านต่อ
ใส่ลิงก์ภายใน
ลิงก์ภายใน Internal links คือลิงค์ที่เชื่อมต่อระหว่างหน้าต่างๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณเอง ลิงก์ภายในจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจว่าหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณมีความเกี่ยวข้องกัน และยังช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจได้อย่างลึกซึ้ง
ตัวอย่างเช่น บทความของเราเกี่ยวกับการเขียนเนื้อหา SEO ได้กล่าวถึงการวิจัยคีย์เวิร์ด keyword research เนื่องจากเรามีบทความเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อนี้แล้ว เราจึงได้ใส่ลิงค์ภายในเพื่อนำผู้อ่านไปยังบทความนั้น
ปฏิบัติตามแนวทางการเชื่อมโยงภายในที่ดีที่สุดเหล่านี้
ใช้ Anchor Text อธิบาย
Anchor Text คือ ข้อความที่สามารถคลิกได้ในลิงค์ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างของเนื้อหาที่ผู้ใช้คาดหวังว่าจะพบเมื่อคลิกลิงก์นั้น
ในบริบทของ SEO Anchor Text ให้ข้อมูลแก่เครื่องมือค้นหาเกี่ยวกับหัวข้อของหน้าเว็บที่เชื่อมโยง
เมื่อเขียน Anchor Text ให้ใส่คำหลักหรือรูปแบบที่แตกต่างกัน และหลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงไปยังวลีทั่วไป เช่น “คลิกที่นี่”
ในตัวอย่างของเรา คำหลักเป้าหมายสำหรับบทความที่เราเชื่อมโยงคือ “การวิจัยคำหลัก”
ดังนั้น เราจึงใส่ลิงค์แบบไฮเปอร์ลิงก์ไปยังคำค้นหานี้ เนื่องจากมันอธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บที่เชื่อมโยงไปอย่างเหมาะสม
เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวข้อง
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าเว็บที่คุณเชื่อมโยงนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าเว็บปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีบทความบล็อกเกี่ยวกับประโยชน์ของโยคะในการลดความเครียด คุณสามารถใส่ลิงก์ภายในไปยังหน้าเว็บอื่นๆ ในไซต์ของคุณเกี่ยวกับท่าโยคะต่างๆ และเทคนิคการทำสมาธิ
สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และส่งสัญญาณไปยังเครื่องมือค้นหาว่าหน้าเว็บของคุณมีความเชื่อมโยงกัน
ปรับแต่งภาพ
SEO สำหรับรูปภาพ หมายถึง วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่ การปรับแต่งภาพเพื่อให้มีโอกาสปรากฏสูงขึ้นในการค้นหาของ Google และ Google Images
ตัวอย่าง: ถ้าคุณกำลังสร้างหน้าเว็บเกี่ยวกับ “บริการซ่อมเครื่องทำน้ำอุ่น” คุณควรใส่คำค้นหาเดียวกันนี้ในชื่อไฟล์ภาพของหน้านั้นด้วย เช่น “ซ่อมเครื่องทำน้ำอุ่น.jpg”
นี่คือวิธีการทำ SEO สำหรับรูปภาพ:
- ใช้ชื่อไฟล์ภาพที่อธิบายได้: แทนที่จะใช้ชื่อไฟล์ภาพทั่วไป เช่น “ภาพ1.jpg” ให้ใช้ชื่อไฟล์ที่อธิบายเนื้อหาของภาพ เช่น “ระบบทำความร้อนประหยัดพลังงาน.jpg”
- เพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text): คำอธิบายภาพเป็นข้อความที่อธิบายภาพสำหรับผู้ที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนหรือมองไม่เห็นเลย รวมถึงในกรณีที่ภาพโหลดไม่ขึ้น คำอธิบายภาพจะปรากฏบนหน้าเว็บไซต์แทนภาพด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของภาพได้ดีขึ้นด้วย อย่าลืมใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องในข้อความอธิบายภาพอย่างเป็นธรรมชาติ
- บีบอัดขนาดไฟล์รูปภาพ: ไฟล์รูปภาพขนาดใหญ่สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดช้าลง ซึ่งส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และ SEO ได้ ก่อนอัปโหลดรูปภาพลงบนเว็บไซต์ของคุณ ให้ใช้เครื่องมือฟรี เช่น Image Resizer , tinypng เพื่อลดขนาดไฟล์
6. สร้างความน่าเชื่อถือและรับลิงค์ย้อนกลับ
คุณได้สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและเหมาะสมสำหรับการค้นหาแล้ว วิธีทำ SEO สำหรับเว็บใหม่
นั่นเยี่ยมมาก
แต่เมื่อเว็บไซต์ธุรกิจของคุณยังใหม่ คุณจำเป็นต้องสร้างความน่าเชื่อถือและอำนาจผ่านลิงค์ย้อนกลับด้วย
ลิงค์ย้อนกลับ backlink คือลิงค์ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง มันเป็นสัญญาณสำหรับอัลกอริทึมการค้นหาว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือและมีข้อมูลที่มีคุณค่า
การมีลิงค์ย้อนกลับ (Backlinks) ช่วยให้ Google รู้ว่าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจที่น่าเชื่อถือและเป็นที่พูดถึง
แม้ว่าจะมีหลายวิธีในการหาลิงก์ย้อนกลับ แต่ Andrew แนะนำให้เข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนของคุณ
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไปตั้งบูธที่ตลาดนัดในท้องถิ่น เว็บไซต์ของงานอาจมีโลโก้ของคุณและลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณ
“ผมแนะนำให้คุณเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน เพราะกิจกรรมออฟไลน์สามารถนำไปสู่การได้รับลิงก์ย้อนกลับได้ ไม่เพียงแต่ลิงก์ย้อนกลับเหล่านี้จะแสดงให้ Google เห็นว่าคุณมีส่วนร่วมในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังจะดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพให้มีส่วนร่วมกับคุณมากขึ้นด้วย เพราะพวกเขาเห็นว่าคุณมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกระบบออนไลน์เช่นกัน”
นี่คือวิธีการเพียงบางส่วนในการสร้างความน่าเชื่อถือและรับลิงก์คุณภาพสูง:
- แบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณค่า: สร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีประโยชน์อย่างสม่ำเสมอบนเว็บไซต์ของคุณ เพื่อช่วยให้ผู้ชมแก้ปัญหาและกระตุ้นให้พวกเขาแชร์เนื้อหากับผู้อื่น
- เข้าร่วมหอการค้าท้องถิ่น: สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การได้รับลิงก์บนไดเรกทอรีของพวกเขาและโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับธุรกิจท้องถิ่นอื่นๆ
- สนับสนุนกิจกรรมและทีม: การเป็นสปอนเซอร์มักจะรวมถึงการได้รับลิงก์บนเว็บไซต์ของกิจกรรมและการวางโลโก้บนเสื้อทีมและแบนเนอร์
- บริจาคให้กับชุมชนและองค์กรการกุศลท้องถิ่น: องค์กรการกุศลหลายแห่งจะแสดงความขอบคุณของคุณบนเว็บไซต์ของพวกเขา ซึ่งจะทำให้คุณได้รับลิงก์ที่เกี่ยวข้อง
- ขอให้ใส่ลิงก์: ขอให้องค์กรที่คุณเกี่ยวข้องใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ
- รับการอ้างอิง: สร้างโปรไฟล์ธุรกิจของคุณบนไดเรกทอรีธุรกิจ เช่น Yelp และ Yellow Pages
7. เผยแพร่เนื้อหาของคุณ
การสร้างเนื้อหาและปรับแต่งองค์ประกอบภายในหน้าเว็บเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ขั้นตอนต่อไปคือการโปรโมทเนื้อหาของคุณบนแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณให้มากขึ้น
การเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นจะช่วยสร้างแบรนด์ของคุณ เสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มการมองเห็นของคุณบนโลกออนไลน์
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้าชมจะส่งสัญญาณไปยังเครื่องมือค้นหาว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าและมีความเกี่ยวข้อง ซึ่งจะส่งผลดีต่ออันดับการค้นหาของคุณ
- โซเชียลมีเดีย: แชร์เนื้อหาของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่คุณใช้งานมากที่สุด ปรับแต่งข้อความให้เหมาะสมกับรูปแบบและกลุ่มเป้าหมายของแต่ละช่องทาง
- จดหมายข่าวทางอีเมล: ส่งจดหมายข่าวถึงผู้สมัครรับข้อมูลของคุณเป็นประจำ โดยรวบรวมบทความ บทความ หรือข่าวสารล่าสุดของบริษัท
- เขียนบทความรับเชิญ: สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ในอุตสาหกรรมของคุณ และเชื่อมโยงกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณ วิธีนี้ช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นและสร้างลิงก์ย้อนกลับ
- ฟอรัมและชุมชนออนไลน์: มีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง และแบ่งปันความเชี่ยวชาญของคุณเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพ
- การโฆษณาแบบเสียเงิน: ลงทุนกับโฆษณาบนโซเชียลมีเดียแบบกำหนดเป้าหมาย หรือแคมเปญการค้นหาแบบเสียเงินเพื่อเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นและดึงดูดทราฟฟิกไปยังเว็บไซต์ของคุณ
อ่านเพิ่มเติม: ทําอันดับ SEO กับ 200 ปัจจัย ที่ส่งผลต่อการทำ อันดับของ Google ในไทยปี 2025
8. ตั้งค่า Google Business Profile
Google Business Profile (GBP) คือหน้าร้านค้าดิจิทัลที่คุณสามารถใส่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ เช่น ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อ
GBP เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดการการแสดงผลธุรกิจของคุณบนการค้นหาของ Google และแผนที่ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นและเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นทุกที่ทุกเวลา
เริ่มต้นง่ายๆ เพียงค้นหาธุรกิจของคุณบน Google หาก Google สร้างโปรไฟล์สำหรับธุรกิจของคุณไว้แล้ว อย่าลืมยืนยันสิทธิ์ของคุณ เพื่อให้คุณสามารถจัดการและดูแลธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มที่
ถ้ายังไม่มีโปรไฟล์ ก็ไม่ต้องห่วง! คุณสามารถสร้างโปรไฟล์ใหม่ด้วยขั้นตอนง่ายๆ
นี่คือสิ่งที่ควรจำไว้เมื่อคุณตั้งค่าโปรไฟล์ธุรกิจของ Google เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ
เลือกหมวดหมู่ที่ถูกต้อง
หมวดหมู่หลักของคุณสำคัญมากสำหรับการทำ SEO เพราะมันจะส่งผลต่อคำค้นหาที่ธุรกิจของคุณจะปรากฏขึ้น ช่วยให้ลูกค้าหาคุณเจอได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากเป็นสำนักงานกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแพ่ง ควรกำหนดหมวดหมู่ธุรกิจให้ชัดเจนเป็น “ทนายความกฎหมายแพ่ง” เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าค้นหาธุรกิจของคุณได้ง่ายและตรงจุดมากขึ้น
ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเทศกาล
ถ้าธุรกิจของคุณมีฤดูกาล ควรพิจารณาเปลี่ยนหมวดหมู่หลักให้ตรงกับช่วงที่มีความต้องการสูงสุด เพื่อให้ลูกค้าหาคุณเจอในเวลาที่เหมาะสมที่สุด
ตัวอย่างเช่น บริการซ่อมแอร์อาจจะเน้นหมวดหมู่ “บริการซ่อมแอร์” ในช่วงฤดูร้อน และเปลี่ยนเป็น “ผู้รับเหมาทำความร้อน” ในช่วงฤดูหนาว
อย่าลืมใส่รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
เพิ่มรูปภาพคุณภาพสูงที่แสดงถึงธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณให้ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน หากมีบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาล ก็อย่าลืมโชว์ให้เห็นด้วย! รูปภาพที่ดีจะช่วยดึงดูดความสนใจและทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากเข้ามาใช้บริการมากขึ้น
เช่น ภาพถ่ายทีมงานของคุณที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในฤดูร้อนหรือบริการเครื่องทำความร้อนในฤดูหนาว
ข้อมูลต้องสอดคล้องกัน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อธุรกิจ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ (NAP) ของคุณสอดคล้องและถูกต้อง
ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์ของคุณ โปรไฟล์โซเชียลมีเดีย และไดเรกทอรีออนไลน์ต่างๆ เช่น Yelp
กระตุ้นและตอบสนองต่อการรีวิว
การรีวิวที่ดีช่วยสร้างความเชื่อมั่นและมีผลต่ออันดับการค้นหาในท้องถิ่น กระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิวและตอบกลับอย่างรวดเร็วทั้งความคิดเห็นที่ดีและไม่ดี
9. ตั้งค่า Google Search Console และ Google Analytics
ตั้งเครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Search Console (GSC) และ Google Analytics (GA) เพื่อติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์และเข้าใจวิธีที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเนื้อหาของคุณ
ทำไมต้องติดตั้งทั้งสองอย่าง ?
- GSC มุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาของ Google
- GA ให้มุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงการเข้าชมจากแหล่งอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย
มาดูกันว่าเราจะตั้งค่าเครื่องมือแต่ละตัวอย่างไร
Google Search Console
เปิด Google Search Console ใส่โดเมนของคุณแล้วคลิก ‘ดำเนินการต่อ
ถัดไป คุณจะเห็นคำแนะนำในการยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมนของคุณ
- เข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มที่คุณซื้อชื่อโดเมน (เช่น GoDaddy)
- ค้นหาหมวด ‘การกำหนดค่า DNS’ สำหรับโดเมนของคุณบนแพลตฟอร์มผู้ให้บริการโดเมน
- วางบันทึกที่เป็นเอกลักษณ์ที่ GSC ให้มาในหมวด ‘การกำหนดค่า DNS’ สำหรับโดเมนของคุณ
- กด ยืนยัน
Google Analytics
เปิด Google Analytics ตั้งชื่อบัญชีของคุณและเลือกการตั้งค่าการแชร์ข้อมูลบัญชี
จากนั้นเลื่อนลงไปที่ ‘ถัดไป’
ขั้นตอนถัดไปคือต้องสร้างทรัพย์สินสำหรับบัญชีของคุณ ทรัพย์สินหมายถึงเว็บไซต์ที่คุณต้องการติดตามและวิเคราะห์
ตั้งชื่อทรัพย์สินของคุณและเลือกเขตเวลากับสกุลเงินของคุณ คลิก ถัดไป
ตอนนี้ เลือกรายละเอียดธุรกิจของคุณ เช่น อุตสาหกรรมและขนาดธุรกิจ
และวัตถุประสงค์ของธุรกิจของคุณ เช่น การสร้างลูกค้าเป้าหมาย, การขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ
ยอมรับข้อตกลงข้อกำหนดในการให้บริการของ Google Analytics
เลือกแพลตฟอร์มที่คุณต้องการเริ่มรวบรวมข้อมูลจาก (เช่น เว็บไซต์, แอป Android หรือแอป iOS)
ในกรณีของคุณ ให้เลือก เว็บไซต์
ใส่ URL ของเว็บไซต์ของคุณและพิมพ์ ‘My Website’ ในช่อง ‘ชื่อสตรีม’ คลิก ‘สร้างสตรีม’
เลือกตัวสร้างเว็บไซต์ของคุณและทำตามคำแนะนำสำหรับแพลตฟอร์มนั้นๆ
Integrate GSC and GA in Semrush
สมัครทดลองใช้ Semrush ฟรี 14 วัน เพื่อเฝ้าติดตามข้อมูล GSC และ GA ของคุณในแดชบอร์ดเดียว
การรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ และช่วยให้คุณระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ในที่เดียว
เมื่อคุณตั้งค่า Google Search Console และ Google Analytics เสร็จแล้ว ให้ทำการเชื่อมต่อทั้งสองกับ Semrush เพื่อดูข้อมูลในมุมมองเดียว
เข้าสู่ระบบบัญชี Semrush ของคุณและไปที่ ‘SEO Dashboard’ จากเมนูทางด้านซ้าย
ใส่ชื่อเว็บไซต์ของคุณและคลิก เริ่มตอนนี้
ไปที่ ‘SEO Dashboard’ อีกครั้งและเลือกไอคอนการตั้งค่าที่มุมขวาบนของหน้าจอ จากนั้นเลือก ‘ตั้งค่าบัญชี Google’ จากเมนูแบบเลื่อนลง
เลือกอีเมลที่คุณใช้ในการตั้งค่า Google Search Console และ Google Analytics
จากนั้น เลือกทรัพย์สิน GA และ GSC ของคุณ และคลิก บันทึกการเปลี่ยนแปลง
Semrush จะดึงข้อมูลจาก GA และ GSC เพื่อแสดงผลรวมในมุมมองเดียว
เลื่อนลงจนกว่าคุณจะเห็น ‘Traffic Analytics’ และ ‘Google Search Console Performance’ และตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์คุณโดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบหลายบัญชี
10. ติดตามผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์ SEO
เมื่อคุณได้เรียนรู้วิธีทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณแล้ว งานของคุณยังไม่เสร็จ
ติดตามประสิทธิภาพ SEO ของคุณเป็นประจำเพื่อเข้าใจว่าอะไรได้ผลและอะไรที่ต้องปรับปรุง เพื่อที่คุณจะสามารถรักษาหรือพัฒนาการจัดอันดับของคุณได้
ตรวจสอบการแสดงผล
การแสดงผลหมายถึงจำนวนครั้งที่ผู้ใช้เห็นเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คลิกเข้าไป
การมีจำนวนการแสดงผลใดๆ เป็นสัญญาณที่ดี เพราะแสดงว่าคนค้นหาเว็บไซต์เจอได้
เปิด Google Search Console คลิกที่ ‘ผลการค้นหา’ ในหมวด ‘ประสิทธิภาพ’ และเลือก การแสดงผลทั้งหมด
หากไม่เห็นการแสดงผลสำหรับคำค้นหาที่คุณต้องการจัดอันดับ อาจหมายความว่าเนื้อหาของคุณยังไม่ได้รับการจัดทำดัชนีหรือยังไม่ได้รับการปรับแต่งอย่างเพียงพอ
หรือว่า Google อาจไม่ถือว่าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้นๆ
วิธีแก้ไขคือการกลับไปทบทวนเนื้อหาและอัปเดตเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ช่วยให้มันจัดอันดับได้สูงขึ้นและได้รับการแสดงผลมากขึ้น
ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องอย่างธรรมชาติในเนื้อหาของคุณ รวมถึงในหัวข้อ, คำอธิบายเมตา, และข้อความ alt ของภาพ
วิเคราะห์การคลิก
การคลิกคือลักษณะการกระทำของผู้ใช้ที่แสดงให้เห็นว่าผู้เยี่ยมชมพบลิงก์ของคุณในผลการค้นหาและเลือกที่จะเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ การคลิกแสดงให้เห็นว่าการจัดอันดับของคุณสูงพอที่จะดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิค
เลื่อนผ่านผลการดำเนินงานทั่วไปใน Google Search Console และเลือกแท็บ ‘หน้า’ เพื่อดูว่าหน้าไหนได้รับการคลิกมากที่สุด
มันควรจะมีลักษณะประมาณนี้
หากคุณได้รับการแสดงผลแต่มีการคลิกน้อยหรือไม่มีเลย หมายความว่าเว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา แต่ผู้ใช้ไม่คลิกเข้าไป
อาจเป็นเพราะเหตุผลบางประการดังนี้
- อันดับต่ำเกินไป : หน้าเว็บของคุณอาจถูกฝังอยู่ในผลการค้นหา ในกรณีนี้ คุณต้องปรับปรุงการจัดอันดับของคุณโดยการปรับแต่งเนื้อหา สร้างลิงก์ย้อนกลับ และเพิ่มความน่าเชื่อถือโดยรวมของเว็บไซต์ของคุณ
- หัวข้อและคำอธิบายเมตาไม่น่าสนใจ : หัวข้อและคำอธิบายเมตาของคุณอาจไม่ดึงดูดพอที่จะทำให้ผู้ใช้คลิก ปรับปรุงให้มันน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับคำค้นหามากขึ้น
ติดตามอัตราการคลิก (CTR)
อัตราการคลิก (CTR) แสดงถึงเปอร์เซ็นต์ของการแสดงผลที่นำไปสู่การคลิก
ติดตามอัตราการคลิก (CTR) สำหรับคำค้นหาต่างๆ เพื่อดูว่าหน้าไหนมีประสิทธิภาพดี และหน้าไหนที่ต้องการการปรับปรุง
เพื่อดูว่าคำค้นหาไหนที่มีอัตราการคลิกสูงสุดและคำค้นหาไหนที่มีอัตราการคลิกต่ำสุด ให้เลือกแท็บ ‘คำค้นหา’ แบบนี้
เริ่มต้นทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ใหม่ของคุณ
SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ความอดทนและความมุ่งมั่น ด้วยความพยายามที่สม่ำเสมอ คุณสามารถปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณได้อย่างต่อเนื่อง ดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิคมากขึ้น และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ
การมีความคาดหวังที่สมจริงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างที่ Andrew กล่าวไว้ หลายคนทำผิดพลาดโดยการยอมแพ้กับ SEO มากเกินไป โดยไม่ตระหนักว่ามันเป็นการลงทุนระยะยาว
“จำไว้ว่า คุณอาจตามหลังคู่แข่งของคุณอยู่ห้าถึงสิบปี และหลายพันดอลลาร์ อย่าท้อถ้าคุณยังไม่เห็นผลลัพธ์ทันที”
มุ่งเน้นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งโดยการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและเข้าใจผู้ชมของคุณและความต้องการของพวกเขา เมื่อเวลาผ่านไป ความพยายามของคุณจะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและความสำเร็จ
การเข้าใจศิลปะของการเขียนเนื้อหา SEO จะช่วยให้คุณเขียนเนื้อหาที่สอดคล้องกับผู้ชมและเครื่องมือค้นหา
เรียนรู้ทุกสิ่งที่คุณต้องการรู้ในคู่มือการเขียนเนื้อหา SEO ฟรีของเรา ตั้งแต่การปรับแต่งเนื้อหาของคุณไปจนถึงการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
หากคุณต้องการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้มีอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google สามารถติดต่อสอบถาม และปรึกษา Seo ได้ฟรีที่ Seo Guru