12 เทรนด์การตลาด เนื้อหาที่จะดำเนินต่อไปในปี 2024

เทรนด์การตลาด

การแบ่งปันประสบการณ์ที่แท้จริงและตรงไปตรงมาเป็นหัวใจสำคัญของเนื้อหาคุณภาพสูง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระแสของ AI ที่ทำให้ทุกคนสามารถเผยแพร่บล็อกทั่วไปได้

ตัวอย่างเช่น ที่ SEOGURU เราให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์จริงและมีผู้เข้าชมจากการค้นหาแบบออร์แกนิกกว่า 635,000 คนต่อเดือน

backlinko-organic-visitors

ในการอัปเดตล่าสุดของเครื่องมือค้นหา Google บอกว่าเนื้อหาควรมาจากประสบการณ์ของคนจริงๆ และ เป็นเนื้อหาที่มีประโยชน์

แต่นี่เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการเพิ่มทราฟฟิกของคุณ

ดังนั้น อะไรที่กำลังฮิตและเป็น เทรนด์การตลาด ในปี 2024

ในบทความนี้พวกเราทำมาเพื่อเรียนรู้ว่าเส้นทางของการตลาดปัจจุบัน และเนื้อหากำลังไปทางไหนในปีนี้และวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากมัน

Quick shout-out : ขอขอบคุณ Brian Dean ที่แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและมีส่วนร่วมในบทความนี้

Table of Contents

1. ใช้ AI เพื่อปรับแต่งขยายเนื้อหาแทนที่จะทดแทนมนุษย์ทั้งหมด

AI จะไม่มาแทนที่กระบวนการผลิตเนื้อหาทั้งหมด บทบาทของ AI คือการขยายและปรับปรุง ไม่ใช่การนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่เป็นต้นฉบับที่ยังไม่มีใครแชร์มาก่อน

เครื่องมือเขียนของ AI ใด ๆ จะอิงผลลัพธ์จากข้อมูลที่มีอยู่แล้วบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็คือบล็อก และ บทความ อื่น ๆ

แต่สำหรับเนื้อหาของคนจะต้องเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพ และวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างเนื้อหาคุณภาพ คือการแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ และแน่นอน AI ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หมายความว่ามันไม่สามารถให้ความคิดเห็นที่เป็นเอกลักษณ์และมาจากประสบการณ์จริงได้

Leigh avatar
แม้แต่ Jasper ซึ่งเป็นเครื่องมือการเขียนแบบ AI ก็ยังจ้างนักเขียนอิสระจำนวนหนึ่งเพราะพวกเขารู้ว่า AI ไม่สามารถเผยแพร่เนื้อหาได้ด้วยตนเองเพียงอย่างเดียว เราจำเป็นต้องมีคนอยู่ด้วย

นั่นเป็นเพราะการผลิตเนื้อหาต้องการมากกว่าการเขียนข้อความออกมา เพื่อให้เนื้อหามีคุณค่าแก่ผู้อ่าน มันต้องมีการวางแผนที่เหมาะสม การวิจัยเชิงลึก ประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรม และมนุษย์ที่สามารถรวบรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันในแบบที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงได้

แม้ว่าผู้ประกอบการหลายคนจะได้รับประโยชน์จากการพึ่งพา AI สำหรับเนื้อหา แต่เรายังไม่ถึงจุดนั้น

ตั้งแต่ ChatGPT และเครื่องมือเขียน AI ตัวอื่น ๆ เปิดตัว ผู้คนต่างพูดถึงมันว่าจะมาแย่งงานของนักเขียนบทความ

ความจริงก็คือ คนที่ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพอาจแย่งงานนักเขียนเนื้อหาได้ ไม่ใช่ AI เอง

มาดูกันว่าคุณจะใช้ประโยชน์จาก AI ในการเพิ่มขนาดกระบวนการผลิตเนื้อหา หรือ บทความของคุณโดยไม่ต้องพึ่งพา AI อย่างเต็มที่ได้อย่างไร

วิธีใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาได้เร็วขึ้น

แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการใช้ AI คืออะไร ?

นี่คือตัวเลือกที่ชื่นชอบบางส่วน :

  • Semrush Content Shake : ใช้เพื่อประหยัดเวลาในการค้นหาสถิติที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่คุณกำลังเขียนเกี่ยวกับ คุณสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลต่างๆได้ ก่อนที่จะเริ่มต้นทำการเขียน ช่วยให้คุณดูและใช้ข้อมูลที่เหมาะสมกับบทความของคุณ
semrush-contentshake
  • Frase : ใช้เพื่อเร่งกระบวนการสร้างบทสรุปของคุณ ด้วย Frase คุณสามารถสร้างโครงร่างโดยใช้ AI หรือเลือกหัวข้อจากบทความที่มีอันดับสูงสุด คุณยังสามารถใช้ Frase เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของคุณด้วยคำหลัก (Keyword) ที่เกี่ยวข้อง
frase

Frase ช่วยให้คุณสร้างโครงร่างอย่างรวดเร็วตามเนื้อหาที่ได้รับการจัดอันดับในหน้าแรกของ SERP แล้ว

  • Otter : ใช้เพื่อถอดเสียงและจัดโครงสร้างการสัมภาษณ์กับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (SMEs) หากคุณต้องการค้นหาหัวข้อเฉพาะที่กล่าวถึงอย่างรวดเร็ว คุณสามารถขอให้ Otter ดึงมันออกมาให้คุณได้ ตัวอย่างเช่น Otter AI สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อที่กล่าวถึงในส่วนต่าง ๆ ของการสัมภาษณ์ หรือ การประชุม
otter

Otter ถอดเสียงการประชุมให้คุณ AI ช่วยให้คุณจัดโครงสร้างข้อมูลเชิงลึกตลอดการประชุมหรือสรุปสิ่งที่พูดคุยกัน

โปรดทราบว่าเราแนะนำให้ใช้ AI เพียงเพื่อสร้างโครงร่างระดับสูงเท่านั้น ซึ่งเป็นเหมือนโครงกระดูกที่วางพื้นฐานไว้และมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับแก้ได้ในภายหลัง

ด้วยความเชี่ยวชาญของคุณ คุณสามารถขยายรายละเอียดและเพิ่มข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้

หรือคุณสามารถมอบโครงร่างให้กับนักเขียนหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้พวกเขาสามารถพัฒนาเนื้อหาต่อไปได้

จำไว้ว่าหากคุณพึ่งพา AI มากเกินไป คุณอาจพลาดประเด็นสำคัญบางอย่างที่คุณอาจรู้จากประสบการณ์ของคุณเอง

และประสบการณ์ตรงก็คือสิ่งที่อัลกอริธึมของ Google มองหาในเนื้อหาคุณภาพสูง

นี่นำเรามาสู่ เทรนด์การตลาด เนื้อหาถัดไปที่คุณควรติดตามในปี 2024

2. ให้ความสำคัญกับการแบ่งปันประสบการณ์ตรง

หลายคนชอบการรับฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้อื่น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ Reddit ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยม

เพื่อผู้ใช้งานทาง Google ได้ใช้งาน EEAT ในปลายปี 2022 ที่ผ่านมา เพื่อจัดการคอนเทนต์ที่ถูกสร้างจาก AI โดยจะให้ความสำคัญกับคอนเทนต์จากผู้รู้จริง ๆ เป็นหลัก  

semrush-reddit-overview

การให้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์ตรง จะทำให้ผู้ใช้งานได้ข้อมูลที่นำไปใช้งานได้จริง หากเทียบข้อมูลที่ได้จากผู้ที่มีประสบการณ์กับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ สิ่งที่จะได้รับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

หากต้องการให้บล็อกหรือเว็บไซต์ของคุณมีจำนวนผู้เข้าชมที่มากขึ้น ต้องให้ความสำคัญกับคอนเทนต์เป็นหลัก จะต้องถ่ายทอดจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีประสบการณ์ตรง

ไม่เพียงผู้ใช้งานจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เท่านั้น ยังส่งผลต่อ Google ด้วยเช่นกัน หากเนื้อหาของคุณมีคุณภาพ มีประโยชน์กับผู้ใช้งาน จะส่งผลให้อันดับเว็บไซต์ของคุณเพิ่มสูงขึ้น

วิธีสร้างคอนเท้นท์ที่มีคุณภาพ

การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพที่สุดคือการแบ่งปันประสบการณ์ที่เคยทำมา โดยการเล่าถึงประสบการณ์และรายละเอียดในสิ่งต่างๆที่เคยทำมา

  • เคยเอาชนะความท้าทายอะไรมาบ้าง ?
  • ทำไมถึงเลือกทำ ในสิ่งทำให้ผู้คนสนใจ ?
  • เจอประสบการณ์พิเศษอะไรบ้าง ?

จากนั้นให้สร้างเนื้อหาตามประสบการณ์ที่คุณเคยเจอ ตัวอย่าง Brian Dean เขียนบทความเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ โดยที่ใน 2 ประโยคแรกของโพสต์ ได้แชร์ภาพจำนวนของผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพื่อเป็นสิ่งยืนยันในสิ่งที่ทำ

backlinko-more-blog-traffic-intro

อีกตัวอย่าง Italo Mendonca แชร์ข้อมูลทางเลือกในกระบวนการลงทุนด้วยภาพที่มีตัวเลขยืนยัน

จากตัวอย่างทั้ง 2 คน ใช้การแชร์ภาพที่มาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เพื่อเป็นสิ่งยืนยัน

แม้คุณอาจยังไม่เชี่ยวชาญในสิ่งที่คุณเขียนออกไป แต่คุณสามารถสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์จริง เพื่อถ่ายทอดข้อมูลในเชิงลึกให้กับผู้อื่น เพื่อทำให้บทความของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่าน รวมถึงยังทำให้บทความของคุณมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น เมื่อคุณไม่มีประสบการณ์ การถ่ายทอดเรื่องราวจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการแชร์ข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้คุณถ่ายทอดข้อมูลที่มีคุณภาพออกมาได้

Leigh avatar
มันไม่เหมือนกับการพูดว่า "ฉันใช้สิ่งนี้เพื่อลดน้ำหนัก" หรือ "ฉันใช้สิ่งนี้เพื่อทำให้จานไก่ดีขึ้น" แต่ผู้เชี่ยวชาญควรมีความรู้เฉพาะในอุตสาหกรรม และพวกเขาสามารถนำเสนอความคิดเห็นที่เป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าจะไม่ใช่ประสบการณ์ตรงในความหมายที่แท้จริงก็ตาม

3. การเผยแพร่ แหล่งที่มา ของบทความ

ในปี 2024 การทำ backlink นั้นยังถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำอันดับเว็บไซต์

ดังนั้นแล้วถ้าหากคุณต้องการอยากจะได้ backlink , ผู้คนเข้าชมเว็บไซต์ , และการแชร์เนื้อหาบทความมากขึ้น ก็ควรลองใช้เนื้อหาที่มี แหล่งที่มา ในปีนี้

แหล่งที่มาของบทความคืออะไร ?

การโพสต์บทความที่มีแหล่งที่มา นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ได้รับการรองรับ และเมื่อมีข้อมูลใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ทำให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ซึ่งนั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้นักเขียนบล็อก และ นักข่าว สามารถที่จะนำไปอ้างอิงในการทำบทความของพวกเขาได้

เป็นข้อมูลดั้งเดิม ( การศึกษา และ สถิติ ) ที่มีประโยชน์ และโดดเด่น จนทำให้บรรดาผู้เผยแพร่รายใหญ่ นั้นต้องการที่จะทำให้ลิงค์ไปให้กับเนื้อหาของคุณ

วิธีการหา แหล่งที่มา

ในส่วนนี้ พวกเราจะแนะนำคุณผ่านบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการ เผยแพร่โพสต์ที่มีแหล่งที่มาจำนวนมากในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เลือกหัวข้อที่ถูกต้องสำหรับ แหล่งที่มา ของบทความ

โดยจะมีสองวิธีที่คุณสามารถจะทำเพื่อเอาชนะแนวคิดสำหรับ การโพสต์จากแหล่งที่มาได้

วิธีแรกก็คือ การพัฒนาแนวคิด ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า สามารถใช้งานได้จริง

ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์การคลิก ผ่านตัวชี้วัดคอนเทนต์น่าคลิกของเรา

ทำไมเราถึงเลือกเอาหัวข้อ อัตราการคลิกผ่านตัวชี้วัดคอนเทนต์

นั่นก็เพราะว่าเป็นหัวข้อที่คนทำ seo ส่วนใหญ่นั้นจะให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่ผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังสามารถที่จะหาข้อมูลเอาไว้อ้างอิงได้อยู่

aol-click-data

ดังนั้นพวกเราถึงรู้ว่าการอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา จะช่วยทำให้มีจำนวนการคลิกที่มากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง

google-ctr-stats-backlinks-and-referring-domains

นอกจากนั้นแล้วคุณยังสามารถที่จะตาม เทรนด์หัวข้อใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อีกด้วย

เช่นเดียวกับการที่เราทำการศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยในการจัดอันดับของ Google Lens ที่เรามีการเผยแพร่ไปในปี 2020

ซึ่งถือว่าเป็นการพูดถึงการวิเคราะห์เชิงลึก ครึ่งแรกที่เกี่ยวกับเรื่องของการ จัดอันดับของ Google Lens

ทำให้เนื้อหานี้มีความโดดเด่น และได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากในสัปดาห์แรก

visual-search-ranking-factors-traffic

มุ้งเน้นไปที่ความถูกต้อง

เมื่อพูดถึง บทความที่มีแหล่งที่มา ก็มีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ ที่ต้องคำนึงถึงก็คือ

ถ้าหากคุณต้องการอยากจะให้คนอื่นจริงจังกับ การวิจัยของคุณ ข้อมูลของคุณจะต้องถูกต้อง 100% เท่านั้น

เพราะถ้าหากคุณเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด ก็จะทำให้ชื่อเสียของคุณนั้นหายไป

แน่นอนว่าคุณสามารถที่จะพิสูจน์ความถูกต้องของวิธีการของคุณด้วยการ แชร์วิธีการ และ อ้างอิงไปถึง แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้นั่นเอง

วิเคราะห์ข้อมูลให้เห็นเป็นภาพ

ภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ แหล่งที่มาของบทความ นั้นจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม โดยจะมีเหตุผลหลักๆอยู่ 2 ประการคือ

อย่างแรก จะช่วยทำให้ข้อมูลต่างๆของคุณ นั้นเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

ลองดูสถิติตัวอย่างเช่น เวลาที่ใช้ในการตอบกลับครั้งแรก ของผลการค้นหาด้วยเสียง เฉลี่ยอยู่ที่ 0.54 วินาที ( เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 2.1 วินาที )

มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่จะจินตนาการถึงภาพอะไรแบบนี้

แต่ถึงอย่างไร ภาพเพียงแค่ 1 ภาพก็จะทำให้เราสามารถเข้าใจมันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

time-to-first-byte

อย่างที่สอง ภาพนั้นจะช่วยทำให้นักเขียนบล็อก อยากจะนำเอารูปลงในโพสต์ของพวกเขา และนั่นก็สามารถที่จะทำให้มีการทำ ลิงค์ย้อนกลับมาหาเราได้เช่นเดียวกัน

searchenginejournal-backlink

เผยแพร่ผ่านการประชาสัมพันธ์

ขั้นตอนนี้จะทำ หรือไม่ทำก็ได้

แต่ถ้าหากข้อมูลของคุณที่ทำการเผยแพร่ไป มีสิ่งที่น่าสนใจ หรือทำให้แปลกใจ การเผยแพร่ผ่านข่าวประขาสัมพันธ์ ก็จะช่วยทำให้โพสต์ของคุณ เข้าถึงคนที่สนใจในหัวข้อนั้นได้

ซึ่งนี่ก็คือตัวอย่างของข่าวประชาสัมพันธ์ ที่เรามีการตีพิมพ์ไปในช่วงปี 2020 เพื่อที่จะช่วยกระจายข่าวเกี่ยวกับ แหล่งที่มาของเรา

backlinko-press-release

4. สร้างตัวตนและความเชี่ยวชาญในด้านที่ถนัด

การทำเนื้อหาที่ตัวเองถนัดและมีความเชี่ยวชาญ จะทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของ Google ที่ชอบเนื้อหาที่สร้างด้วยบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้มองว่า เนื้อหานั้นมีที่มาจากคนที่รู้ข้อมูลจริง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ

เพราะปัจจุบันนี้มีเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นด้วย AI มากมาย เป็นเรื่องใหม่สำหรับ Google ที่ต้องมาแยกให้ออกว่า เนื้อหาไหนถูกสร้างขึ้นจริง

มีตัวอย่างมาแล้วจาก เว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Sports Illustrated ที่มีเนื้อหาที่สร้างจาก AI ขึ้นมา และสร้างโปร์ไฟล์นักเขียนปลอมขึ้นมา

4

ปัญหานี้ทำให้ Search engines  ต้องทำการพิจารณาและประเมิณเกณฑ์การจับอันดับใหม่ขึ้นมา  นี่คือประเด็นหลักที่จะต้องสร้างตัวตนและสร้างเนื้อหาใหม่ๆ ที่เป็นตัวของตัวเอง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาที่นำเสนอ

วิธีสร้างตัวตนและความน่าเชือถือ

นี่คือเคล็ดลับที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือของคุณ ที่สามารถทำได้จริง

แสดงความน่าเชื่อถือ ผ่านเนื้อหา : เผยแพร่เนื้อหาในด้านที่คุณถนัด ผ่านทางช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บทความ บล็อก หรือ การโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งต้องมั่นใจว่า เนื้อหานั้นตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้จริง

สร้างแบรนด์หรือเอกลักษณ์ให้ตัวเอง :  นอกจากการสร้างเนื้อหาของตัวเองแล้ว จะต้องสร้างแบรนด์ หรือ ความเป็นตัวของตัวเองลงไปด้วย โดยการเผยแพร่เนื้อหาอย่างสม่ำเสมอในโลกสังคมออนไลน์

สร้างโปร์ไฟล์ที่มีความแข็งแกร่ง : การสร้างโปร์ไฟล์ที่ดี ควรมาจากประสบการณ์จริง และ เผยแพร่เนื้อหาออกมาอย่างมีความเป็นกันเอง การสร้างโปร์ไฟล์ที่สร้างสรรค์ ยิ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

มีส่วนร่วมในการเผยแพร่กับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น : การเข้าไปมีส่วนร่วมในการเผยแพร่เนื้อหากับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ที่อาจจะมีชื่อเสียงอยู่แล้ว เช่น การเข้าสัมมนา , หรือพอดแคสต์ เป็นการแนะนำตัวให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น

ลงทุนในการพัฒนาในสิ่งที่ถนัด : การเข้าคอร์สเรียน การประชุม การสัมมนา ทั้งแบบฟรี และมีค่าใช้จ่าย ที่ช่วยเสริมทักษะ และการพัฒนาในด้านที่ตนเองถนัด จะทำให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญมากขึ้น

Leigh-avatar

ความท้าทายที่เรามี คือ การตามหาคนที่สามารถเขียนด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเองได้

5. กลยุทธ์การใช้ประโยชน์ส่วนร่วมกับชุมชน

การมีส่วนร่วมของชุมชนช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความลึกซึ้งให้กับเนื้อหา พวกเขาจะใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ร่วมกันของกลุ่มคนหลากหลาย ช่วยทำให้เนื้อหามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

Leverage Community

ใช่เลย! การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนหรือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม จะช่วยเพิ่มความเป็นของแท้และมีความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาของคุณ เพราะพวกเขาเองได้นำประสบการณ์ความรู้ที่แท้จริง มายังเนื้อหาทำให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพและได้รับความไว้วางใจจากผู้เข้าชมมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การร่วมกันโปรโมทจะส่งผลดีต่อเนื้อหาของคุณให้กับกลุ่มคนที่เข้ามาชมตรงกับกลุ่มเป้าหมายของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ซึ่งจะเป็นการขยายฐานของผู้เข้าชมและเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาที่คุณให้มองเห็นและมีผลกระทบมากขึ้น

การใช้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมของชุมชน คือ การร่วมกันสร้างและร่วมกันโปรโมทเนื้อหากับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมหรือผู้ใช้งาน จะเป็นการช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและขยายการเข้าถึงเนื้อหา โดยจะเป็นการรวมความรู้ประสบการณ์ของผู้มีส่วนร่วมหลากหลาย ทำให้เนื้อหามีคุณค่าได้การยอมรับจากผู้ชมมากยิ่งขึ้น

วิธีการใช้ประโยชน์จากเนื้อหาที่มาจากชุมชน

ลองมาดูวิธีการที่คุณจะสามารถใช้เนื้อหาที่มาจากชุมชนได้อย่างไร :

  • เชิญชวนผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก : ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาของคุณเพื่อผลิตเนื้อหา ความคิดเห็นและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความลึกซึ้งให้กับเนื้อหาได้มากขึ้น
  • ความร่วมมือถามตอบ (Q&A) : ตั้งคำถามตอบกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของคุณ ทำได้ผ่านบล็อกโพสต์ บทความวิจัย สตรีมสด (live streams) หรือการสัมภาษณ์
  • สร้างโปรเจกต์ความร่วมมือ : พัฒนาโปรเจกจากผู้ร่วมงานหลายคนเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของตนเข้าไปในเนื้อหา เช่น บล็อกโพสต์ร่วม, งานวิจัย, เว็บบินาร์ หรือคู่มือที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม
  • ใช้ประโยชน์จากเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC) : กระตุ้นให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมเข้ามาแบ่งปั่นประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นไอเดียของพวกเขา สามารถทำได้ผ่านความคิดเห็น , เขียนโพสผู้เข้าร่วม และการตอบโต้บนแพลตฟอร์มขโซเชียลมีเดีย ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องนี้เพิ่มเติมในส่วนถัดไป

ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญหรือเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC) อย่าลืมให้เครดิตอย่างเหมาะสม เมื่อคุณใช้เนื้อหาของพวกเขา แล้วก็ควรโปรโมทผลงานของพวกเขา บนแพลตฟอร์มของคุณเพื่อแสดงความร่วมมืออย่างเต็มที่

Leigh-avatar

ผู้คนเริ่มค้นหาข้อมูลโดยเพิ่มคำว่า “Reddit” ต่อท้าย และฉันก็ทำเช่นกัน เพราะผู้คนไม่ต้องการเนื้อหาที่สร้างขึ้นเพื่อ SEO แบบไร้คุณภาพ

6. ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่ถูกสร้างจากลูกค้าของแบรนด์ (UGC)

User-Generated Content หรือ UGC คือเนื้อหาคอนเทนต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยลูกค้าของแบรนด์โดยตรง ซึ่งอาจจะเป็นการโพสต์รีวิวสินค้า บน Facebook หรือการถ่ายคู่กับสินค้าที่ถูกโพสต์ลงใน Instagram รวมไปถึงการโพสต์ลงบนเว็บไซต์อย่าง X ที่คุณสามารถนำไปใช้ในการทำการตลาดต่อไปได้

เด็กยุคใหม่หันมาหาข้อมูลจาก Tiktok, Instagram และ Youtube แทนการค้นหาข้อมูลผ่าน Google เหมือนเดิม โดยเฉพาะเวลาค้นหาร้านอาหารตามท้องถิ่น แถวบ้าน หรือวิธีการทำอะไรสักอย่าง

นอกจากนี้ พวกเขายังให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่มาจากลูกค้าคนอื่น เช่น การแกะกล่องรีวิวสินค้า และวีดีโอที่แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ โดยมีผลิตภัณฑ์ของคุณแฝงอยู่ภายในคลิปนั้นๆ

ถ้าลองคิดดูดีๆ User Generated Content (UGC) จะมีประโยชน์หลักๆ อยู่ 2 อย่างเลย คือ :

  • เมื่อลูกค้าเป็นคนสร้างคอนเทนต์ให้กับคุณ การนำไปต่อยอดในการทำการตลาดแบรนด์ของคุณ จึงรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  • และเพราะคนเหล่านั้น ได้ใช้สินค้าหรือบริการของคุณมาแล้วจริงๆ คอนเทนต์ที่ได้ จึงออกมาดูจริงใจ ทำให้คนอื่นรู้สึกเชื่อถือได้มากกว่า แค่คำโฆษณาของแบรนด์เอง

สร้าง User Generated Content (UGC) อย่างไร ให้มีประโยชน์ต่อแบรนด์

คุณอาจจะคิดว่า ลูกค้าจะเป็นคนสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า การให้บริการ หรือแม้แต่สถานที่ตั้ง ให้กับแบรนด์ของคุณเอง โดยไม่ต้องบอก

มันอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่เสมอไป

เพราะฉะนั้นคุณต้องลงมือทำเอง ด้วยวิธีการต่อไปนี้ :

โปรโมตและโชว์รีวิวของลูกค้า : รีวิวและคำบอกเล่าจากลูกค้า เป็นคอนเทนต์จากผู้ใช้งานที่ทรงพลัง ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี เพราะลูกค้าคนอื่น เชื่อคำแนะนำจากผู้ใช้งานจริงมากกว่าโฆษณา ตัวอย่างที่ดีคือโปรแกรม Creator-Generated Content ของ Amazon ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้สร้างคอนเทนต์ เกี่ยวกับสินค้าบน Amazon ผู้สร้างคอนเทนต์มักจะทำวิดีโอแกะกล่อง รีวิว สอนวิธีใช้ และถ่ายรูปไลฟ์สไตล์กับสินค้า Amazon เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจในการซื้อ ได้ง่ายยิ่งขึ้น

สร้างแคมเปญแฮชแท็กบนโซเชียลมีเดีย : ชวนลูกค้ามาสนุกกับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ หรือแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ โดยใช้แฮชแท็กเฉพาะ ตัวอย่างเช่น แอปเปิ้ลชวนให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือไอโฟน แชร์ภาพถ่ายด้วยแฮชแท็ก #ShotoniPhone แล้วนำภาพถ่ายที่ดีที่สุด มาลงบนอินสตาแกรมของแบรนด์ พร้อมแท็กเครดิตให้เจ้าของภาพ การโชว์ภาพถ่ายสวยๆ ที่ถ่ายจากไอโฟน ช่วยให้คนเห็นความสามารถของไอโฟนมากขึ้น

instagram-apple-shotoniphone-

จัดประกวดหรือการแข่งขันสนุกๆ : ชวนลูกค้ามาร่วมสนุกกับการประกวดหรือ จัดการแข่งขันที่เกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ
ร่วมงานกับผู้สร้างคอนเทนต์ : ไม่ว่าจะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ หรือคนที่เพิ่งเริ่มทำคอนเทนต์ คนเหล่านี้จะช่วยคุณสร้างคอนเทนต์ที่ดีให้กับแบรนด์ของคุณได้

นำคอนเทนต์จากผู้ใช้งานมาลงบนแพลตฟอร์มของคุณ : เมื่อได้คอนเทนต์จากลูกค้าแล้ว ให้โพสต์รูป วิดีโอ หรือเรื่องราวของลูกค้าที่พูดถึงแบรนด์ของคุณลงบนโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ของคุณ

7. นำเนื้อหามาใช้ใหม่ บนแพลตฟอร์มต่างๆ

การนำเนื้อหามาเก่าๆที่เคยสร้างเอาไว้ มาใช้ใหม่บนแพลตฟอร์มอื่นๆ เป็นวิธีที่ดีในการขยายการตลาด โดยที่คุณจะไม่ต้องเริ่มต้นจาก 0 เพียงแค่สร้างรูปแบบการโพสต์ใหม่ ให้มีความน่าสนใจขึ้นเท่านั้น

การนำเนื้อหาเก่ามาใช้ใหม่ เป็นวิธีที่หลายคนเลือกใช้ในตอนนี้ ยังเป็นวิธีเพิ่มจำนวนผู้อ่านที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

การนำเนื้อหาหรือบทความจากบล็อกโพสต์ มาเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียอาจไม่เพียงพอ ดังนั้นคุณจะต้องใช้ตัวช่วยอื่นๆที่จะทำให้บทความของคุณได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มอื่นๆ

วิธีการนำเนื้อหามาใช้ใหม่

  • ปรับเนื้อหาให้เข้ากับช่วงเวลา : เนื้อหาต้องถูกดัดแปลงจากต้นฉบับ เพื่อให้มีความสดใหม่ มีความน่าสนใจ จากนั้นนำไปเผยแพร่ในช่องทางที่กำลังได้รับความนิยมอย่าง เช่น YouTube เพิ่มองค์ประกอบของเรื่องราวในตอนต้น รวมถึงจะต้องเพิ่มเนื้อหาใหม่เข้าไป ตัวอย่างเช่น “The Know” ช่องข่าวออนไลน์ ที่มักจะนำบทความข่าวเชิงบวกในรูปแบบ Instagram Reels ที่มีความเข้าใจง่ายและมีความน่าสนใจ เมื่อเนื้อหาเป็นที่น่าสนใจ ผู้คนจะเริ่มหาช่องทางเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำธุระกิจประเภทไหน ก็สามารถทำตามแนวทางนี้ได้เช่นกัน
the-know-instagram-reel
  • แนะนำขั้นตอนและเคล็ดลับเฉพาะมาใช้ใหม่ : คุณไม่จำเป็นต้องสร้างเนื้อหาใหม่ หรือไม่จำเป็นต้องนำเนื้อหาทั้งหมดมาใช้ใหม่ เพียงเลือกเนื้อหาในส่วนที่ดีที่สุดมาใช้ใหม่ วิธีนี้นอกจากจะทำให้คุณเห็นความสำคัญของเนื้อหาของคุณในอดีต แต่อาจส่งผลดีต่อคุณในเวลานี้ด้วยเช่นกัน
instagram-semrush-carousel

ตามที่คุณได้เห็น Semrush ได้เปลี่ยนคู่มือการตลาดที่เนื้อหายาว มาอธิบายใหม่ให้เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆที่ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นนอกจาก Semrush ของ Instagram จะได้รับความนิยมที่เพิ่มขึ้น ผู้คนยังอาจเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ของ Semrush เพื่ออ่านข้อมูลที่น่าสนใจต่างๆอีกด้วย

8. สร้างเนื้อหาที่เป็นหัวข้อใหม่

สร้างเนื้อหาที่มีหัวข้อใหม่ๆ ก่อนที่มันจะได้รับความนิยม เพื่อทำให้เนื้อหาน่าสนใจและมีความโดดเด่น

จับเรื่องที่กำลังมีกระแสขึ้นมาพูดคุย ทำให้เนื้อหาของคุณจะได้รับความสนใจและถูกเผยแพร่ออกไปมากขึ้น

คำถามคือ แล้วคุณจะค้นหาเรื่องที่กำลังเป็นกระแสและคิดว่าจะได้รับความนิยมได้อย่างไร ?

และเมื่อเจอแล้ว ควรจะทำอย่างไร ?

นั่นคือสิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อไป

วิธีหาหัวข้อที่กำลังเป็นกระแสใหม่ๆ

ค้นหาจาก Google Trends

Google Trends สามารถยืนยันได้ว่า หัวข้อไหนกำลังจะได้รับความนิยมหรือลดความนิยมลงแล้ว

gg

หรือ จะเปรียบเทียบแนวโน้มทั้ง 2 แบบก็ได้

8

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถ้าจะพูดถึงหัวข้อที่กำลังมาแรง แต่คุณเองก็ยังไม่ได้รู้ข้อมูลมากพอ

เว้นแต่ว่า คุณจะดูจากคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

นี่คือวิธีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง

ขั้นตอนแรก ให้คุณค้นหา คำที่คิดว่ากำลังได้รับความนิยม

จากนั้นให้ดูคำค้นหาที่เกี่ยวข้องทางด้านล่าง

gg1

นี่คือการแสดงคำค้นหาที่คล้ายกันของ Google ซึ่งมีประโยชน์มาก

หัวข้อที่กำลังได้รับความนิยม

คำค้นหาที่เกี่ยวข้องที่ Google แสดง มีประโยชน์ทั้งหมด

แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า มันจะแสดงเฉพาะหัวข้อที่คุณสนใจเท่านั้น

นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราถึงแนะนำให้ใช้หัวข้อที่กำลังได้รับความนิยม

หัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมจะถูกสแกนหาเฉพาะคำที่คนกำลังให้ความสนใจอย่างแพร่หลาย

และถ้าเทรนนั้น เป็นเทรนที่ถูกค้นหาจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กระแสนิยม เราจะเพิ่มมันเข้าไปในฐานข้อมูลที่กำลังเติบโต

gg3

การสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อนั้น

เมื่อคุณค้นพบหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมแล้ว ต้องทำอย่างไรในขั้นตอนต่อไป ?

คุณสามารถสร้างวิดีโอ หรือสร้างโพสต์แนวทางถึงเรื่องนั้นก่อน

ไม่ได้มีรูปแบบการโพสต์ที่แน่นอน เพราะเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญมากนัก

เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น คือ คุณต้องสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาให้ครอบคลุมมากที่สุด

เพราะหัวข้อนี้ เป็นหัวข้อใหม่ เพราะฉะนั้นเนื้อหาที่คุณสร้างขึ้นจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลทันที

สมมติว่าแนวโน้มออกมาดี

ตัวอย่าง เช่น เราได้เผยแพร่เนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่นี้ออกไปเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับการจัดอันดับของ Google

นี่เป็นแนวทางที่เกี่ยวกับปัจจัยการจัดอันดับของ Google ซึ่งอาจจะไม่ใช่คำแนะนำที่ดีที่สุด

ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมในแต่ละเดือนถึงมีผู้เข้าชมจำนวนมาก

gg t

9. ปรับปรุงการออกแบบเนื้อหาและประสบการณ์ของผู้ใช้

User ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสัญญาณจากผู้ใช้ ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO

อัลกอริธึมของ Google พิจารณาความเร็วของเว็บไซต์ ความง่ายในการนำทาง และการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้ เมื่อจัดอันดับเว็บไซต์

และหากเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว ตอบคำถามของผู้ใช้ได้ และใช้งานง่าย ผู้ใช้จะมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเว็บไซต์ของคุณและมีปฏิสัมพันธ์กับมัน รวมถึงมีโอกาสมากขึ้นที่จะเยี่ยมชมหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณด้วย

good-content-design-and-ux

สิ่งนี้ส่งสัญญาณให้กับอัลกอริทึมของ Google ว่า UX (ประสบการณ์ผู้ใช้) ของเว็บไซต์ของคุณยอดเยี่ยม และคุณมอบคุณค่าให้กับผู้ที่เข้าชม ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับการจัดอันดับที่ดี

วิธีปรับปรุงการออกแบบเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้

การปรับแต่ง UX คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ซึ่งรวมถึง :

  • การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์
  • การใช้งาน Popup อย่างรอบคอบ
  • การออกแบบ Layout ที่ง่ายต่อการนำทาง
  • ทำให้การเรียกร้องให้ดำเนินการ (call-to-action) และการสร้างรายได้มีความเกี่ยวข้องกับบริบท ตัวอย่าง เช่นปุ่ม สมัครสมาชิก , เข้าสู่ระบบ , ซื้อเลย ควรถูกใช้ในบริบทที่เหมาะสม
  • ลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เป็นประโยชน์จริง ๆ เท่านั้น
  • ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ตั้งแต่เนื้อหาตอนต้น ไม่ซ่อนข้อมูลสำคัญไว้ที่ด้านล่าง
Leigh-avatar

ถ้าผู้ใช้เข้ามาแล้วออกจากหน้าเว็บทันที (bounce) ฉันคิดว่า Google จะเน้นย้ำเรื่องนี้มากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าผลการค้นหา (SERP) เต็มไปด้วยเนื้อหาที่สร้างโดย AI ซึ่งมีความเสี่ยงสูง

10. สร้างภาพหรือวิดีโอที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ภาพและวิดีโออธิบายแบบกำหนดเอง รวมถึงวิดีโอสั้น ๆ และภาพประกอบ อย่างภาพหน้าจอ หรือแผนภาพ จะช่วยอธิบายเรื่องยากๆ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

วิดีโอสั้นๆ ยังคงได้รับความนิยมสูง และมักจะขึ้นเป็นผลการค้นหาใน (featured snippet) หรือตำแหน่งบนสุดของหน้าแรก Google Search ที่เป็น Organic Search ซึ่งไม่นับรวมส่วนที่เป็นโฆษณา

เทรนด์นี้บ่งบอกว่าวิดีโอเป็นคอนเทนต์สำคัญ สำหรับกลยุทธ์การตลาดด้วยคอนเทนต์ และจะยังคงเป็นที่นิยมต่อไปในปี 2024 และหลังจากนั้น

วิธีการทำให้ภาพและวิดีโอได้ผลลัพธ์ที่ดี

เพื่อให้ภาพและวิดีโออธิบายของคุณได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูล เข้าใจง่าย และน่าสนใจ

ซึ่งรวมถึง :

ใส่ภาพประกอบข้อมูลลงในบทความ : สร้างภาพที่แสดงข้อมูล หรืออธิบายขั้นตอนที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น

สร้างช่อง YouTube : เนื่องจาก YouTube เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงเป็นที่ที่ดีในการเผยแพร่คอนเทนต์ของคุณ และ Google ยังแสดงวิดีโอ YouTube บนหน้าแรกของผลการค้นหาอีกด้วย

google-videos-in-serp-

เน้นในการทำวิดีโอสั้น ๆ : YouTube Shorts, Instagram Reels และ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ดีในการเผยแพร่วิดีโออธิบายของคุณ ตัวอย่างเช่น เจ้าของร้านเบเกอรี่ “Brooki Bakehouse” มักจะแชร์วิดีโอ อธิบายขั้นตอนการทำขนม และเคล็ดลับการทำเบเกอรี่ ซึ่งวิดีโอดังกล่าวมีผู้ชม 2 ล้านวิว ไลก์ 290,000 ครั้ง เซฟ 28,500 ครั้ง และแชร์ 570 ครั้ง การแชร์วิดีโอสั้น ๆ เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการทำให้ผู้คนรู้จักถึงแบรนด์ของคุณ

@brookibakehouse

My best 10 baking tips from a bakery owner 🤫 The last one is a game changer! #bakingtips #bakeryowner #baking #fyp

♬ original sound – brooki

การฝังวิดีโอ YouTube ลงในบทความ : จะช่วยให้บทความของคุณน่าสนใจมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี ที่จะทำให้ช่อง Youtube ของคุณมีคนเห็นมากขึ้น ถ้าคุณมีทั้งบล็อกและช่อง YouTube ให้ฝังวิดีโอในบทความเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจหัวข้อและเพิ่มยอดวิวของวิดีโอไปพร้อมกัน ลองดูว่า Notion ฝังวิดีโอ YouTube ลงในบทความ เกี่ยวกับเครื่องมือใหม่อย่าง ปฏิทิน ได้อย่างไร
notion-introducing-notion-calendar-

ทำให้ได้รับความสนใจและเห็นภาพรวมของฟีเจอร์ใหม่ได้เร็วขึ้นผ่านวิดีโอ แถมยังช่วยโปรโมทช่อง YouTube ผ่านบล็อกของเขาได้อีกด้วย ทำให้คนที่เข้ามาอ่านบล็อก ผ่านการค้นหาทั่วไป ก็สามารถพบและติดตามช่อง YouTube ของเขาได้เช่นกัน

11. การกระจายเนื้อหาของคุณ ผ่านช่องทางอีเมลอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2024 การทำการตลาดผ่านอีเมล นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็น กลยุทธ์ที่เน้นในเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ การดูแล และการรักษาความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย

ซึ่งแนวทางนี้นั้นจะเกี่ยวข้องกับการที่คุณ ให้คุณค่าผ่านทางอีเมล การสร้างความไว้วางใจ และการกระตุ้นให้เกิดความสนใจ

บางคนอาจจะมองว่า การตลาดผ่านอีเมล เป็นวิธีการที่เก่ามาก แต่ถึงอย่างไรถ้าวิธีการนี้ก็ยังเป็นแนวโน้มสำคัญ ในเรื่องของการทำบทความการคลาด

ในความเป็นจริงแล้ว ลิทมัส นั้นพบว่าการทำการตลาดผ่านอีเมล นั้นมีผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 3,600% นั่นก็แสดงว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ ที่คุณใช้จ่ายในการตลาดผ่านอีเมล คุณจะได้รับผลตอบแทย 36 ดอลลาร์

โดยจะยกตัวอย่างเช่น Wandering Aimfully นั้นดำเนินโปรแกรมโค้ชชิ่ง ที่เปิดตัวผ่านอีเมลทั้งหมด โดยไม่ต้องโปรโมตผ่านสื่ออะไรทั้งหมด และพวกเขาก็สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 226,000 ดอลลาร์ ภายใน 2 สัปดาห์จากรายชื่อในอีเมลทั้งหมดเพียงแค่ 11,000 คนเท่านั้น


วิธีการเพิ่มรายชื่ออีเมลของคุณ และเพิ่มการมีส่วนร่วม

ถึงแม้ว่าพื้นฐานของการทำการตลาดผ่านอีเมล นั้นจะยังคงเหมือนเดิมอยู่ แต่ก็มีกุลยุทธ์ที่น่าสนใจ และกำลังเป็นเทรนด์ในปีนี้ ให้พิจารณาอยู่บ้าง

  • การปรับแต่ง : ทำการปรับแต่งอีเมลของคุณ ตามประวัติการซื้อ ความสนใจ และพฤติกรรมการใช้งานของเว็บไซต์ ของสมาชิก
  • การแบ่งกลุ่มลูกค้า : การแบ่งกลุ่มลูกค้าของคุณ ออกเป็นกลุ่มย่อยๆตามลักษณะที่เหมือนกัน และทำการส่งอีเมลเป้าหมายที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
  • เลือกเวลาที่เหมาะสม : ทำการส่งอีเมลในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการทดสอบ เพื่อที่จะหาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการส่งอีเมลให้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
  • องค์ประกอบแบบโต้ตอบ : ใช้แบบสำรวจ แบบทดสอบ หรือการสาธิตผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย และยังเพิ่มจำนวนคลิกได้อีกด้วย
  • การใช้เกมสร้างความน่าสนใจ : กระตุ้นการมีส่วนรวมด้วยการให้คะแนน ป้าย หรือ ข้อเสนอพิเศษ ผ่านประสบการณ์การใช้อีเมลแบบเกม
grammarly-email

12. ดำเนินการจัดการเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ

การเพิ่มเนื้อหาให้มากขึ้น AI ทั่วไป จะต้องการเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงมากขึ้นตาม

เช่นเดียวกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตาม

แต่ในความเป็นจริงแล้ว Superpath รายงานว่า นักการตลาดเนื้อหาโดยเฉลี่ยมีรายได้เพิ่มขึ้น 16.75% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปี 2023

Content marketer

การดูแลด้านเนื้อหา(Content ops) เป็นวิธีการจัดการทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ระบบการบริหารจัดการโครงสร้างและกระบวนการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพอย่างเป็นระบบ

content ops

เมื่อการตลาดเนื้อหาเติบโตขึ้น การจัดการเนื้อหา ได้กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญและมีการเผยแพร่ข้อมูลเฉพาะทาง รวมถึงมีตำแหน่งงานระดับสูงที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ

การผลิตเนื้อหาและการปรับแต่งคุณภาพเนื้อหาในปัจจุบันเน้นความมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ รวมถึงโครงสร้างทีมที่ชัดเจน

นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแพลตฟอร์มเนื้อหาขนาดใหญ่ ที่การสร้างเนื้อหามีความซับซ้อนมากขึ้น

วิธีดำเนินการจัดการเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ

มาดูขั้นตอนในการดำเนินการจัดการเนื้อหาให้มีคุณภาพได้อย่างไร โดยแบ่งเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ :

  • เริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายเนื้อหาให้ชัดเจน เขียนเพื่ออะไร แล้วจะได้อะไรจากเนื้อหานั้น เช่น การสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือยอดขายผลิตภัณฑ์? หรือการสมัครรับอีเมล?
  • สร้างทีมของคุณ กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน สนับสนุนให้พวกเขาพัฒนาทักษะ และลงทุนในการฝึกอบรม
  • วางแผนกระบวนการสร้างคอนเทนต์ทั่วไปคือ เริ่มต้นด้วยการสร้างเอกสารสรุปสั้น ๆ เพื่อนำทางนักเขียนในการสร้างคอนเทนต์ที่คุณต้องการ
  • จากนั้น นักเขียนสามารถสร้างโครงร่างตามเอกสารสรุป และเติมเนื้อหาลงไป เมื่อได้ร่างแรกแล้ว คุณสามารถแก้ไขเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับคอนเทนต์ และเมื่อตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ให้เผยแพร่บนเว็บไซต์ของคุณ สุดท้าย แจกจ่ายคอนเทนต์ของคุณผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย
  • นำเครื่องมือการจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ เช่น Trello, Notion และ Google Drive เพื่อจัดระเบียบงานและโปรเจกต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบ และสามารถติดตามความเคลื่อนไหว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ใช้เครื่องมือสื่อสารอย่าง Slack และ Zoom เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีม
  • นำเครื่องมือเฉพาะ เช่นแอป Semrush, Frase และ Otter ใช้สำหรับการวางแผนเนื้อหาในการเขียน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO อย่างมีคุณภาพของคอนเทนต์
  • สร้างทีมที่มีความหลากหลายตำแหน่ง โดยประกอบด้วยบรรณาธิการ นักเขียนอาวุโส นักออกแบบเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO และผู้จัดการโปรเจก
  • ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและผู้ร่วมโปรโมท เพื่อสร้างเนื้อหาและการเผยแพร่หลากหลายช่องทาง
  • คุณควรหมั่นปรับปรุงเนื้อหาให้ดีเสมอ และนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งในรูปแบบต่างๆ ให้มีประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่อง
Leigh-avatar

ถ้าคุณเป็นทีมเล็กๆ หรือทำงานคนเดียว ที่จ้างคนมาช่วยเป็นครั้งคราว ก็ยังคงคิดถึงการผลิตเนื้อหาเป็นสิ่งที่เป็นระบบบนโครงสร้าง

ปรับปรุงเนื้อหาของคุณ ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

พร้อมที่จะเริ่มปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดเนื้อหาของคุณในปีนี้แล้วหรือยัง?

ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องวางแผนกลยุทธ์และสร้างเนื้อหาของคุณให้มีคุณภาพตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างแท้จริงกับผู้ชม และ เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณอย่างมีนัยสำคัญ

ตรวจสอบบทความของเราเพื่อดูแนวโน้ม SEO ในปี 2024 ซึ่งเราได้แบ่งปั่นแนวทางในอนาคต SEO และให้คำแนะนำในการนำไปใช้เพื่อให้คุณนำหน้าเอาชนะคู่แข่ง

สำหรับบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำในปี 2024 เพื่อให้เนื้อหาของคุณติดอันดับจากการค้นหาแบบธรรมชาติ (organic search results)