การทำ SEO ในยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายอย่างแท้จริง ด้วยการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน มีเว็บไซต์ใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่พื้นที่ในการแสดงผลบน Google ยังคงจำกัดเพียงแค่ 10 อันดับแรกเท่านั้น นี่จึงทำให้การแย่งชิงพื้นที่บนหน้าแรกของ Google ไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งไปกว่านั้น อันดับของเว็บไซต์ก็ไม่ได้คงที่เสมอไป มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอด ไม่ว่าคุณจะตั้งใจทำเนื้อหาออกมาดีแค่ไหน ก็มีโอกาสที่อันดับจะร่วงได้เช่นกัน
วันนี้พวกเรา SEOGURU จะพาทุกท่านไปพบกับ แนวทางการทำ SEO อัพเดตล่าสุด หลังจาก Google มีการอัปเดตใหม่ Google Search’s Core Updates ไปเริ่มกันเลยดีกว่า
มีอะไรบ้างหลังจากที่ Google Core update
Google มีการอัปเดตอัลกอริทึ่มที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์มากที่สุด เป้าหมายคือการแสดงผลเว็บที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ Google ใช้ในการประเมินเว็บไซต์และจัดอันดับนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว มีเพียงแนวทางหลักๆ ที่ควรปฏิบัติตามเท่านั้น ต่อไปนี้คือ 5 ประเด็นสำคัญที่ Google Core Update ล่าสุดให้ความสำคัญ ซึ่งต้องทราบเอาไว้ก่อนปรับ แนวทางการทำ SEO ให้ดีมากยิ่งขึ้น
1. Helpful Content Update (HCU)
เป็นการปรับปรุงอัลกอริทึมของ Google ที่เน้นให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริง มากกว่าเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อดึงดูดอัลกอริทึมของเสิร์ชเอนจินเท่านั้น (Search Engine Optimization – SEO)
การอัปเดต HCU นี้ประกอบไปด้วยหลักการสำคัญ 3 ข้อ:
- ความเป็นประโยชน์: เนื้อหาควรมีประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน โดยช่วยให้พวกเขาเข้าใจเรื่องราวหรือหัวข้อที่ค้นหาได้อย่างชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- ความน่าเชื่อถือ: เนื้อหาต้องมีที่มาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และควรถูกเขียนหรือให้คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ รวมถึงมีการอ้างอิงข้อมูลอย่างถูกต้อง
- ความถูกต้อง: เนื้อหาที่เผยแพร่ต้องมีความถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ปราศจากข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหามุ่งเน้นตอบโจทย์ผู้ใช้งานจะมีโอกาสได้อันดับที่ดีกว่า ขณะเดียวกันก็เป็นการลดคะแนนเว็บไซต์ที่เน้นการจัดอันดับเพื่อเอาชนะอัลกอริทึม
2. Spam Update
การอัปเดต Spam ล่าสุดของ Google มุ่งเน้นไปที่การตรวจจับลิงก์สแปม โดยเฉพาะลิงก์ที่เกิดจากการ “ซื้อขายลิงก์” เพื่อสร้าง backlink ปลอมๆ ให้กับเว็บไซต์ การอัปเดตนี้มีผลกระทบต่อเว็บไซต์ทุกภาษาและทุกภูมิภาคทั่วโลก หากเว็บไซต์ใดมีการใช้กลยุทธ์ “ซื้อขายลิงก์” อาจถูก Google ลงโทษ ซึ่งจะส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์ในการค้นหาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
3. Scaled Content Abuse
การอัปเดต Scaled Content Abuse เป็นการปรับปรุงอัลกอริทึมที่มุ่งจัดการกับเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ สร้างโดย AI ซึ่งมีคุณภาพต่ำและสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้ โดยมีลักษณะเด่นดังนี
- การสร้างเนื้อหาจำนวนมากโดยอัตโนมัติ เว็บไซต์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการผลิตเนื้อหาโดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ ส่งผลให้เนื้อหามักมีคุณภาพต่ำ ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่กล่าวถึง และมีการแฝงคำสำคัญ (Keyword) อย่างหนาแน่น
- การสร้างเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อน เว็บไซต์เหล่านี้สร้างแพลตฟอร์มหลายแห่งที่มีเนื้อหาคล้ายกันหรือเหมือนกันทั้งหมด โดยมักมีวัตถุประสงค์ในการสร้างลิงก์ (Link farming) เพื่อนำผู้เข้าชมไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ
4. Site Reputation Abuse
“Site Reputation Abuse” หมายถึง “การละเมิดชื่อเสียงของเว็บไซต์” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีบุคคลนำเนื้อหาคุณภาพต่ำจากเว็บไซต์อื่นไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ โดยหวังที่จะใช้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั้นในการเพิ่มอันดับ SEO ของตนเอง
วิธีการนี้ถือเป็นการทำสแปม ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ให้รีวิวสินเชื่ออาจนำบทความรีวิวเกี่ยวกับสินเชื่อเงินกู้ไปเผยแพร่บนเว็บไซต์การศึกษาที่มีชื่อเสียง การใช้กลยุทธ์ Site Reputation Abuse นี้อาจทำให้เว็บไซต์ถูกลงโทษโดย Google ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออันดับในการค้นหาอย่างแน่นอน
5. Expired Domain Abuse
“Expired Domain Abuse” หรือ “การละเมิดโดเมนที่หมดอายุ” เป็นหนึ่งในการอัปเดตล่าสุดของ Google ที่มุ่งเน้นการใช้โดเมนที่หมดอายุในทางที่ไม่ถูกต้องจรรยาบรรณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO หรือการปรับแต่งผลการค้นหา ตัวอย่างของการละเมิดโดเมนที่หมดอายุรวมถึง:
- การซื้อโดเมนที่หมดอายุเพื่อสร้างเนื้อหาใหม่ โดเมนที่หมดอายุอาจมี Backlink ที่มีคุณภาพอยู่แล้ว การซื้อมันแล้วเปลี่ยนเนื้อหาหรือสร้างเว็บไซต์ใหม่ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเดิม จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จาก Backlink เหล่านี้ในการยกระดับอันดับ SEO ของเว็บไซต์ใหม่ได้
- การเปลี่ยนเส้นทางโดเมนที่หมดอายุ การซื้อลิ้งค์ของโดเมนที่หมดอายุแล้วทำการ redirect 301 เพื่อเปลี่ยนเส้นทางการเข้าถึงไปยังเว็บไซต์อื่น ทำให้เว็บไซต์นั้นได้รับประโยชน์จากพลัง SEO ของโดเมนที่หมดอายุก่อนหน้านี้
แนวทางการทำ SEO แบบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แต่ยังส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และความน่าเชื่อถือของระบบค้นหาของ Google ด้วย
ตัวอย่างของเว็บไซต์ที่มีอันดับพุ่งสูง และ อันดับร่วงลงต่ำ
การอัปเดตของ Google นั้นมีเจตนาที่ดีในการปรับปรุงคุณภาพการค้นหา แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปตามคาดหวัง โดยที่ Google ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของโดเมนมากกว่าคุณภาพของเนื้อหาจริงๆ เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เช่น สำนักข่าวหรือสื่อมวลชนต่างๆ มักจะเห็นอันดับที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่เว็บไซต์ขนาดเล็กที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเฉพาะกลับพบว่าอันดับตกต่ำลง หรือบางเว็บไซต์อาจหลุดออกจากระบบผลการค้นหาของ Google ไปโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่า สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบค้นหา ทำให้ผู้ใช้งานอาจไม่ได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพสูงสุด แต่กลับได้รับข้อมูลจากแหล่งที่มีชื่อเสียงมากกว่า ซึ่งไม่ได้แปลว่าข้อมูลเหล่านั้นจะดีเสมอไป
ตัวอย่างของเว็บที่มีอันดับพุ่งสูง
ตัวอย่างของเว็บที่มีอันดับร่วง
แนวทางการทำ SEO ปัจจุบัน Google ชอบเว็บแบบไหน ?
จากข้อมูลที่รวบรวมมา สิ่งที่ Google พยายามอัปเดตและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ที่ติดอันดับยังมีความย้อนแย้งกันอยู่พอสมควร แทนที่ Google จะเน้นไปที่คุณภาพของเนื้อหา แต่กลับให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของโดเมนมากกว่า นั่นหมายความว่า หากคุณเป็นเจ้าของโดเมนที่มีความน่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียงอยู่แล้ว การเขียนเนื้อหาอาจไม่จำเป็นต้องมีคุณภาพสูงมากนัก เว็บของคุณก็ยังมีโอกาสที่จะถูก Google นำเสนอในผลการค้นหาก่อนเว็บไซต์อื่นเสมอ
โดยสรุป เว็บที่มีองค์ประกอบต่อไปนี้มักจะมีอันดับสูงขึ้น
- เว็บไซต์ที่มีอายุการใช้งานนาน
- นามสกุลโดเมนที่มีชื่อประเทศ เช่น .co.th
- เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงในวงการ
- เว็บไซต์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง
- เว็บไซต์ที่มีการอัปเดตข้อมูลใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- เว็บไซต์ที่มีปริมาณการเข้าชมสูง
- เว็บไซต์ที่ได้รับ backlink จากแหล่งที่มีชื่อเสียง (เว็บใหญ่ เว็บทางการ)
ในยุคนี้ การมีองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปรับอันดับให้สูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถือเป็น แนวทางการทำ SEO ที่ดีเยี่ยมและเป็นธรรมชาติอีกด้วย
แนวทางการทำ SEO ล่าสุด 2024
เมื่อเราเข้าใจเกี่ยวกับ Google Core Update และได้พิจารณาสิ่งที่ปรากฏบนหน้าผลการค้นหา เราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ Google ประกาศว่าจะทำอาจสวนทางกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
อาจทำให้หลายคนรู้สึกมืดแปดด้านและไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี แต่ในความสับสนนี้ ยังมีหลักการบางประการที่สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นวางแผนการทำ SEO ใหม่ได้ ดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์
การเริ่มต้นทำเว็บไซต์นั้น เราควรวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับโมเดลการสร้างรายได้ของเว็บไซต์ให้ชัดเจนก่อน ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การให้บริการ การขายโฆษณา การรีวิวสินค้าแบบ Sponsored หรือการรีวิวสินค้าแบบ Affiliate เพราะแต่ละประเภทจะมีแนวทางการสร้างเนื้อหาที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณบทความที่ต้องจัดทำด้วย
ตัวอย่างการวางแผน
- เว็บขายสินค้า/บริการ: ควรเริ่มสร้างเนื้อหาจากคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเราเป็นหลัก ก่อนจะขยายไปทำบทความให้ความรู้หรือบทความทั่วไปในภายหลัง
- เว็บขายสินค้าหลายหมวดหมู่: หากมีสินค้าหลายประเภท ควรพิจารณาสร้างเว็บไซต์แยกตามหมวดหมู่ เช่น ถ้าขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง อาจแบ่งเป็นเว็บสำหรับสินค้าสำหรับแมวและอีกเว็บสำหรับสินค้าสำหรับสุนัข
- เว็บข่าว/เว็บวาไรตี้: สำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลายหมวดหมู่ในตัวเดียวกัน ในช่วงแรกควรมุ่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ชื่อโดเมนจึงมีความสำคัญมาก เนื่องจากเว็บไซต์ประเภทนี้ต้องครอบคลุมคีย์เวิร์ดต่างๆ การเลือกชื่อที่ดีจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น
- เว็บรีวิวสินค้าแบบ Sponsored หรือ Affiliate: ควรคุมโทนและทิศทางของเนื้อหาให้มีความสอดคล้องกัน หลีกเลี่ยงการรีวิวสินค้าแบบไม่เลือกเรื่อง หากจะรีวิวอุปกรณ์ออกกำลังกาย ทุกบทความในเว็บก็ควรเกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายเท่านั้น
การวางแผนอย่างรอบคอบในขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่มีความชัดเจนและมีเป้าหมายที่แน่นอน ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการพัฒนาในอนาคต
2. เลือก Niche เฉพาะทางเพื่อควบคุมโทนเนื้อหา
จากการวิเคราะห์ผลกระทบของ Google Core Update ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่าเว็บไซต์เล็ก ๆ ที่มีอันดับดีส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การทำเนื้อหาเฉพาะทาง ซึ่งหมายความว่าควรมุ่งเน้นไปที่หมวดหมู่เดียวอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการขายเครื่องออกกำลังกาย ก็ควรสร้างเนื้อหาทั้งหมดในเว็บไซต์ให้เน้นเฉพาะเรื่องการออกกำลังกายเท่านั้น
หากคุณเป็นร้านค้าที่มีสินค้าหลายหมวดหมู่ และต้องการแข่งขันกับเว็บไซต์ใหญ่ ๆ การแยกเว็บไซต์ตามหมวดหมู่สินค้าอาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม เช่น หากคุณขายรองเท้า (ทุกแบบ รองเท้าแตะ รองเท้าแฟชั่น ผู้หญิง ผู้ชาย) และต้องการให้ผู้ใช้ค้นหาคำว่า “รองเท้าวิ่ง” แล้วเจอเว็บของคุณ คุณอาจต้องสร้างเว็บไซต์แยกขึ้นมาอีกเว็บเพื่อมุ่งเน้นเนื้อหาเฉพาะเรื่อง รองเท้าวิ่ง , รองเท้ากีฬา โดยเฉพาะ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องที่สอดคล้องกัน
ในกรณีนี้ หมายความว่าคุณต้องวางแผนการสร้างเว็บไซต์มากกว่าหนึ่งเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น โดยอาจมีหนึ่งเว็บไซต์ที่เป็นแบรนด์หลักสำหรับร้านค้า ซึ่งสามารถลงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าทุกอย่างได้ เพื่อใช้ในการสร้างแบรนด์ และมีเว็บไซต์เพิ่มเติมเพื่อแยกตามหมวดหมู่สินค้าที่คุณขาย
การทำเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับในการค้นหามากขึ้น โดยอาจไม่จำเป็นต้องมีบทความจำนวนมาก แค่ 30-50 บทความที่มีคุณภาพก็เพียงพอแล้วในการสร้างอันดับให้ดีในคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
3. วางแผนเลือก Keyword ที่จะทำก่อน
เมื่อพูดถึงการคัดเลือกเว็บไซต์ที่จะนำเสนอในหน้าผลการค้นหาของ Google ต้องเข้าใจว่าการประเมินของ Google ไม่ได้พิจารณาแค่เนื้อหาบนหน้าที่เรากำลังทำ SEO เท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงเนื้อหาทั้งหมดภายในเว็บไซต์ของเราด้วย นั่นหมายความว่าคุณต้องมีการวางแผนในการสร้างเนื้อหาอย่างรอบคอบ
บางครั้ง แม้ว่าหน้าหลักที่คุณทำ SEO จะมีเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง แต่หากมีหน้าจำนวนมากในเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำ จะส่งผลให้คะแนนรวมของเว็บไซต์ลดลง และอาจส่งผลกระทบต่ออันดับของหน้าหลักที่คุณพยายามปรับปรุงได้
นอกจากนี้ ต้องระมัดระวังการสร้างเนื้อหาที่ซับซ้อนระหว่างหน้าสินค้าและหน้าบทความ ซึ่งอาจทำให้ Google เลือกอันดับเว็บไซต์ของคุณผิดพลาดได้
เทคนิคที่ง่ายและมีประสิทธิภาพคือ ให้เริ่มจากการทำ keyword ที่สร้างรายได้ก่อน โดยเลือกคำที่เกี่ยวข้องกับชื่อสินค้า หรือบริการของคุณ จากนั้นทำเนื้อหาของหน้าพวกนี้ให้มีคุณภาพ ทั้งข้อความและภาพให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยไปเขียนบทความสนับสนุนใน Blog เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญในสิ่งที่คุณขาย
หลายคนมักไม่วางแผน keyword ก่อนแล้วเริ่มต้นด้วยการทำบทความให้ความรู้ เมื่อถึงเวลาต้องสร้างเนื้อหาสำหรับหน้าสินค้า ข้อมูลที่นำเสนออาจซ้ำกับเนื้อหาที่เคยเขียนไปแล้วในบทความ ทำให้คำที่ต้องการให้ติดอันดับกลับไม่ติดอันดับตามที่หวังไว้
เคล็ดลับการ : เลือก Keyword จาก SEOGURU
4. ทำเนื้อหาให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ค้นหา
ไม่มีข้อกำหนดที่ตายตัวว่าความยาวของเนื้อหาต้องมีจำนวนคำเท่าไร เพราะความยาวของเนื้อหาไม่ใช่ปัจจัยหลักในการติดอันดับ SEO สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญมากกว่าคือการวิเคราะห์ Search intent หรือเจตนาของผู้ค้นหาที่อยู่เบื้องหลังคำค้นนั้นๆ ว่าพวกเขาต้องการข้อมูลอะไร ต้องการหาคำตอบ เช็คราคา ดูตัวอย่างสินค้า หรือซื้อเพื่อใช้เอง ซื้อให้คนอื่น หรือซื้อไปขายต่อ
ดังนั้นแต่ละ Keyword จึงควรมีรูปแบบการนำเสนอที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเหล็กกล่อง เหล็กสร้างบ้าน ลูกค้าอาจไม่สนใจความสวยงามของภาพประกอบเนื้อหา แต่จะให้ความสนใจกับราคา ราคาส่ง ราคาปลีก และข้อมูลเกี่ยวกับการจัดส่ง เช่น จะมีการจัดส่งถึงบ้านหรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือไม่ หรือการสั่งซื้อขั้นต่ำจะได้ราคาที่เท่าไหร่ คุณควรนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ให้ชัดเจนและดึงดูดความสนใจให้ได้มากที่สุด ส่วนความยาวของเนื้อหาไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก
การทำเนื้อหายาวกว่า 3,000 คำไม่ใช่ปัญหา แต่ควรระมัดระวัง เพราะ Google จะพิจารณาประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณด้วย (user experience) หมายความว่า หากคุณสร้างเนื้อหายาวแต่ไม่มีผู้ใช้งานเลื่อนดูจนจบ Google อาจมองว่าเนื้อหานั้นเป็นสแปมได้
เคล็ดไม่ลับจาก SEOGURU : เทคนิคการเขียนบทความ SEO
5. ระมัดระวังในการใส่ลิงก์
ในปัจจุบัน Google ใช้การตรวจสอบการใส่ลิงก์ทั้งภายในและภายนอกเป็นหนึ่งในเกณฑ์ในการระบุว่าเว็บไซต์ไหนอาจเข้าข่ายเป็นสแปม ดังนั้นอย่าพยายามใส่ลิงก์ไปยังหน้าใดหน้าหนึ่งในปริมาณที่เกินความจำเป็น
เพื่อให้การใส่ลิงก์เป็นไปอย่างถูกต้อง คุณควรปรับแนวคิดใหม่เกี่ยวกับหน้าที่ของลิงก์ โดยทั่วไปแล้ว ลิงก์ไม่ได้มีหน้าที่เพียงเพื่อดันอันดับ SEO แต่มีวัตถุประสงค์หลักในการอธิบายคำศัพท์เฉพาะเจาะจงในเนื้อหา เพื่อพาผู้อ่านที่สนใจไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ
หากคุณยังคิดว่าการใส่ลิงก์เป็นเพียงวิธีการเพื่อดันอันดับของคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการให้ติดอันดับ การใส่ลิงก์ในเว็บไซต์ของคุณอาจดูผิดธรรมชาติได้ และอาจทำให้ลิงก์นั้นๆ ตกไปอยู่ที่หน้าใดหน้าหนึ่งในปริมาณมากเกินไป ส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณกลายเป็นสแปมในสายตาของ Google
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ที่ทำรีวิวสินค้าหรือแบบ affiliate ต้องระวังเรื่องการใส่ลิงก์ให้ดี เพื่อไม่ให้ Google รู้สึกว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเพียงแหล่งทำ Backlink ให้กับเว็บไซต์อื่น ดังนั้นคุณต้องเลือกประเภทของลิงก์ที่ใช้ให้ถูกต้อง โดยลิงก์สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
- Dofollow link
- Nofollow link
- Sponsored link
- UGC link
คุณควรเลือกประเภทของลิงก์ (External link) ที่ใส่ให้เหมาะสม โดยแต่ละประเภทมีความหมายและการใช้งานที่แตกต่างกัน
ช่องโหว่ของการใช้โดเมนหมดอายุ (อาจใช้ได้อีกไม่นาน)
Google ได้ประกาศในการอัปเดตครั้งนี้ว่าจะจัดการกับเว็บไซต์ที่ใช้กลยุทธ์โดเมนหมดอายุ (Expired Domain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของ Google กลับพบว่าเว็บไซต์ที่มีอายุมากยิ่งสามารถทำอันดับได้ง่ายขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบของ Google ยังคงมีข้อผิดพลาดและการอัปเดตยังไม่สมบูรณ์
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาวิธีที่รวดเร็วในการพัฒนาเว็บไซต์และอาศัยช่องโหว่ของ Google ในตอนนี้ คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ใหม่โดยใช้โดเมนหมดอายุเป็นฐาน โดยหากคุณใช้โดเมนหมดอายุอย่างถูกวิธี ร่วมกับการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ เว็บไซต์ของคุณอาจสามารถติดอันดับใน Google ได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์สำหรับบทความใหม่ ๆ ที่โพสต์ลงไป
Brand + SEO: ความยั่งยืนในยุคดิจิทัล
ในปัจจุบัน คำพูดที่ว่า “เฟซบุ๊กและไอจีเป็นบ้านเช่า ส่วนเว็บไซต์เป็นบ้านของเรา” อาจไม่เป็นจริงอีกต่อไป เนื่องจากเราอาจถูกไล่ออกจากพื้นที่ที่เคยมั่นคงได้อย่างไม่รู้ตัว
ประโยคที่ว่า “ทำบทความให้มีคุณค่าที่ดีและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้คนอยู่เสมอ” ก็อาจไม่ถูกต้องเสมอไปเช่นกัน
หลังจากการอัปเดตหลักของ Google ล่าสุด เว็บไซต์ที่มีคุณภาพต่ำและเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาดีต่างได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง นี่เป็นผลมาจากความไม่สมบูรณ์ของระบบของ Google เอง
ให้ดูเว็บไซต์ของผมเป็นตัวอย่าง รูปภาพด้านล่างแสดงให้เห็นว่า แม้เว็บไซต์ของผมที่มุ่งมั่นสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ก็ยังสามารถประสบกับปัญหาการตกอันดับและการหายไปของ Traffic อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คิดว่าเพราะอะไรถึงทำให้ Google คิดว่าเว็บติด Spam
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า การทำ SEO ไม่มีความแน่นอน ไม่ว่าคุณจะสร้างเนื้อหาคุณภาพเพียงใด ก็ยังมีโอกาสที่อันดับของคุณจะหลุดจากหน้าผลการค้นหาของ Google ได้โดยไม่รู้ตัวล่วงหน้า
ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้เราสามารถอยู่รอดในอนาคตคือการสร้างแบรนด์ควบคู่ไปกับการทำ SEO คือการทำให้ชื่อของแบรนด์นั้นติดหู และ กระแทกไปถึงใจของลูกค้าแล้วนั้นเอง เป็กนารอยู่รอดที่ยั่งยืน และ มีคุณภาพมากที่สุด
แบรนด์คือสิ่งที่ถูกสลักลงในใจของลูกค้า เมื่อคิดถึงสินค้าหรือบริการประเภทใดประเภทหนึ่ง ควรนึกถึงเรา นี่แหละคือแบรนด์ เพราะอันดับ SEO อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่แบรนด์ที่อยู่ในใจลูกค้าจะคงอยู่ตลอดไป
สรุป
สัจธรรมของการทำ SEO คือ ความไม่แน่นอน ไม่ว่าคุณจะสร้างเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาดี และ มีคุณภาพมากเพียงใดก็ตาม ก็มีโอกาสที่อันดับจะตกได้เสมอ เพราะการตัดสินว่าเว็บไซต์ไหนดีหรือไม่ดีนั้นอยู่ในมือของ Google ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ดังนั้น สิ่งที่เป็นระบบอัตโนมัติย่อมสามารถถูกหลอกหรือเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ เพราะหุ่นยนต์นั้นไม่มีหัวจิตหัวใจ
เมื่อระบบของ Google เกิดข้อผิดพลาด แม้ว่า ทำเนื้อหาดี และมีคุณภาพ เป็นผู้เผยแพร่รายแรก แต่อันดับดันตก เราก็ไม่สามารถเรียกร้องความเห็นใจจาก Google ได้ สิ่งที่เราต้องทำคือยอมรับความเป็นจริงและปรับ แนวทางการทำ SEO ให้สดใหม่อยู่เสมอ ปรึกษาเรื่องทำ SEO ปรึกษาได้ฟรีที่ SEOGURU