Anchor text (หรือที่เรียกว่า link text) คือข้อความที่สามารถคลิกได้ ซึ่งจะเชื่อมโยงผู้ใช้ไปยังที่อื่น เช่น ไปยังหน้าเว็บอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์เดียวกัน หรือ ลิงก์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ทั่วไปจะถูกเน้นด้วยตัวหนาหรือขีดเส้นใต้ เพื่อให้โดดเด่นออกมาจากเนื้อหาที่อยู่รอบๆ
***หมายเหตุ anchor text ใช้สำหรับลิงก์ที่มีหลายวัตถุประสงค์ แต่บทความนี้จะเน้นที่การใช้ anchor text สำหรับการเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บอื่น ๆ
Anchor text ที่มีประสิทธิภาพจะบอกผู้ใช้ว่าพวกเขาควรคาดหวังอะไรเมื่อคลิกลิงก์นั้น และช่วยให้ Search Engine เข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาของหน้าที่ถูกลิงก์ไป
**นอกจากเครื่องมือค้นหายอดฮิตอย่าง Google ปัจจุบันยังมี Search Engines ทางเลือก ที่จะทำให้การค้นหาข้อมูลตรงและมีประโยชน์มากที่สุดอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น คุณใช้ลิงก์เชื่อมโยงคำว่า “บริการ” เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บหลักๆของบริการในเว็บไซต์ นี่คือตัวอย่างวางลิงก์เชื่อมโยง

ในโพสต์นี้ เราจะพูดถึงประเภทต่าง ๆ ของ anchor text อธิบายแนวทางที่ดีที่สุด และแสดงวิธีการหาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ anchor text โดยใช้เครื่องมือ Site Audit ของเรา

ทำไม Anchor Text ถึงสำคัญในการทำ SEO
การใช้ anchor text ที่เหมาะสมสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำ SEO ของคุณ และเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ (user experience หรือ UX)
เพื่อให้ผู้ใช้ลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บอื่น ๆ ของคุณ (internal links) และยังเพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน้าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์
ตัวอย่างเช่น “company page” ในบทความของ Cleverly หน้าที่ถูกลิงก์ไปในเว็บไซต์ของพวกเขานั้นเกี่ยวกับหน้าเกี่ยวกับการให้บริการและส่วนต่างๆของบริษัท

Anchor text ที่ใช้สำหรับลิงก์ภายนอก (ลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่น) ก็ใช้บริบทเกี่ยวกับเนื้อหาที่ลิงก์ไปเช่นเดียวกัน
และที่สำคัญการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ยังส่งผลต่ออันดับ SEO ของพวกเขาด้วยเช่นกัน เพราะเครื่องมือค้นหา มองว่าลิงก์จากเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่งเป็นเหมือนกับการรับรองคุณภาพหรือเพิ่มความน่าเชื่อถือ
การทำลิงก์เชื่อมโยงยังส่งผลต่อผู้ใช้และ Google ด้วยเช่นกัน เนื่องจาก Google มุ่งเน้นการจัดอันดับหน้าที่ให้ประสบการณ์ที่ดี การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย
9 ประเภทของ Anchor Text
นี่คือ 9 ประเภทที่พบบ่อยที่สุดในการทำลิงก์เชื่อมโยง ที่คุณสามารถนำไปปรับปรุงในการทำอันดับกับเว็บไซต์ของคุณ
Branded
ประเภทนี้คือการใช้ชื่อแบรนด์เป็นลิงก์เชื่อมโยงของลิงก์ โดยไม่ใส่คำเพิ่มเติมใด ๆ
มีประโยชน์เพื่ออ้างอิงแหล่งที่มาหรือเชื่อมโยงไปยังหน้าแรกของบริษัท
ตัวอย่างเช่น

Compound
ประเภทนี้คือการทำลิงก์เชื่อมโยงที่ประกอบด้วยชื่อแบรนด์ (หรือคำที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์) และคำเพิ่มเติมเพื่อให้มีบริบทและเข้าใจมากยิ่งขึ้น
มักจะใช้เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์ , สถานที่ หรือหน้าเว็บของแบรนด์นั้น ๆ
ในตัวอย่างด้านล่างนี้ อ้างอิงถึงหน้าความช่วยเหลือเฉพาะของ Google

Exact Match
Exact match anchor text (บางครั้งเรียกว่า “money” anchor text) คือ เมื่อลิงก์ถูกวางไว้บนคีย์เวิร์ดที่ตรงกับคำค้นหาหลักที่หน้าถูกลิงก์ไปกำลังมุ่งเป้าไว้
มันอาจช่วยให้หน้าที่ถูกลิงก์ไปมีอันดับที่ดีกว่าสำหรับคีย์เวิร์ดนั้นๆ
ตัวอย่าง Trello ใช้การทำลิงก์เชื่อมโยง “Disruptive Brainstorming” เพื่อเชื่อมโยงไปยังคู่มือของพวกเขาในหัวข้อนั้นๆ

Partial Match
ประเภทนี้คือการใช้รูปแบบที่แตกต่างออกไปจากคีย์เวิร์ด ที่หน้าที่ถูกลิงก์ไปกำลังมุ่งเป้าไว้
มันจะรวมคีย์เวิร์ดเป้าหมาย (หรือบางส่วนของมัน) แต่ยังมีคำอื่น ๆ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่าง การทำลิงก์เชื่อมโยงแบบ partial match “raise brand awareness” เพื่อเชื่อมโยงไปยังโพสต์เกี่ยวกับการสร้างการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์

Related
การเชื่อมโยงลิงก์ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหา มีลักษณะคล้ายกับ partial match anchor text แต่ไม่รวมคำหลักที่ตรงกับคำ ที่หน้าที่ถูกลิงก์ไปกำลังเชื่อมโยง
แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดเป้าหมาย แต่เป็นการใช้คำค้นหาที่ใกล้เคียงหรือใช้คำที่เกี่ยวข้องกัน เช่น คำพ้องความหมาย , คำที่เขียนคล้ายๆกัน
ตัวอย่างเช่น “schema markup” โดยใช้การเชื่อมโยงลิงก์ด้วยคำว่า “structured data”

Naked
Naked anchor text คือการใช้ URL ของลิงก์ที่เป็นข้อความเป็นลิงก์เชื่อมต่อตรง ๆ
**URL ที่เหมาะสมกับการทำ SEO ควรเป็นอย่างไร ทำแบบไหนถึงเหมาะสม เข้าไปหาคำตอบกันได้เลย!!**
การใช้งานประเภทนี้ส่วนใหญ่ใช้เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าไปที่ไหนอย่างชัดเจน เช่น ในเชิงอ้างอิง, รายการบรรณานุกรม หรือรายการทรัพยากรจากหน่วยงานรัฐบาล
ตัวอย่างเช่น National Institutes of Health (NIH) ใช้ลิงก์แบบ naked แม้การใช้งานด้วยวิธีนี้อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับ SEO

เพราะมันไม่ได้ช่วยให้เสิร์จเอนอจิ้นเข้าใจความเกี่ยวข้องของเนื้อหาที่ลิงก์ไป
Generic
Generic anchor text คือใช้คำหรือวลีที่ไม่ให้รายละเอียด เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ใช้งานได้เห็น จะพบก็ต่อเมื่อคลิกลิงก์ไปเรียบร้อยแล้ว
ตัวอย่างที่พบบ่อย ได้แก่
- Click here
- View more
- More info
เนื่องจากมันไม่ได้ให้ข้อมูลมากนัก คะแนนที่จะได้รับจากขั้นตอนการทำ SEO ของ generic anchor text จึงค่อนข้างต่ำ และมันอาจถูกมองว่าเป็นสแปม ดังนั้นคุณควรใช้มันในปริมาณที่จำกัด
อย่างไรก็ตาม generic anchor text ก็สามารถมีประโยชน์ในบางกรณี
ตัวอย่างเช่น เมื่อมันถูกใช้ร่วมกับข้อความที่ชัดเจนและมีข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจขั้นตอนถัดไป โดยไม่ทำให้ข้อความลิงก์รกเกินไป

Image
ประเภทนี้คือการใช้ภาพเพื่อวางลิงก์ และเนื่องจากไม่มี anchor text จริง ๆ ข้อความทางเลือก (alt text) ที่ใช้ใน HTML จะทำหน้าที่เป็น anchor text ของลิงก์
Alt text ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางสายตาและเครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเกี่ยวกับอะไรในภาพนั้น
ตัวอย่างเช่น นี่คือลักษณะของ alt text สำหรับภาพการตลาด funnel ของเรา

วิธีการแบบนี้เหมือนกับการทำลิงก์เชื่อมโยงแบบดั้งเดิม การทำ alt text สำหรับภาพที่ถูกลิงก์ไปควรอธิบายเนื้อหาที่คุณลิงก์ไปอย่างกระชับ
Article or Page Title
หมายถึงการใช้ชื่อเรื่องที่ตรงของหน้าหรือบทความที่ถูกลิงก์ไปเป็นข้อความลิงก์
เรียบง่ายและให้ข้อมูลที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาทราบว่าเนื้อหาที่ลิงก์ว่าเกี่ยวข้องอย่างไรและถูกลิงก์ไปยังที่ไหน
ตัวอย่างเช่น Shape ลิงก์ไปยังบทความอื่นในเว็บไซต์ โดยใช้ชื่อเรื่องของบทความนั้น

4 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับ Anchor Text
ตอนนี้ มาดูกันว่าวิธีทำให้ Anchor Text ที่คุณใช้สำหรับลิงก์ภายในและภายนอกเป็นมิตรกับทั้งเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้อย่างไร
นี่คือ 4 เคล็ดลับในการปรับแต่ง Anchor Text:
1. ทำให้ลิงก์ของคุณเป็นธรรมชาติ
Anchor Text ควรกลมกลืนไปกับเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้การอ่านติดขัด ดูเป็นสแปม หรือส่งผลเสียต่อ SEO
กล่าวคือ หลีกเลี่ยงการฝืนใส่ลิงก์ลงไปในประโยคที่ดูไม่เข้ากัน Anchor Text ควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่อยู่รอบๆ
นอกจากนี้ ควรจำกัดจำนวนลิงก์ที่ใส่ลงในเนื้อหา เพราะลิงก์ที่มากเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านเสียสมาธิ
ตัวอย่างจาก Google ที่แสดงให้เห็นถึง Anchor Text ที่มากเกินไป:

แทนที่จะเพิ่มลิงก์ทุกครั้งที่มีโอกาส ควรใส่ลิงก์เฉพาะเมื่อมันมีประโยชน์จริงๆ ต่อผู้อ่านและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
หลีกเลี่ยงการใช้ Anchor Text เดิมซ้ำๆ เพื่อลิงก์ไปยังหน้าบนเว็บไซต์ของคุณ
เพราะอาจดูไม่เป็นธรรมชาติสำหรับ Search Engine และอาจถูกมองว่าเป็นความพยายามในการปรับแต่งอันดับของหน้าที่เชื่อมโยง
ควรใช้ Anchor Text ที่หลากหลาย โดยรวมทั้ง Primary Keywords และ Secondary Keywords การใช้ Anchor Text ที่แตกต่างกันช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติและยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับ Search Engine เกี่ยวกับหน้าที่เชื่อมโยง
แต่ถ้าคุณได้รับ Anchor Text ที่ถูกปรับแต่งมากเกินไปจากเว็บไซต์อื่นล่ะ?
แม้ว่าคุณจะไม่สามารถควบคุม Anchor Text ที่เว็บไซต์อื่นใช้ได้โดยตรง แต่คุณสามารถตรวจสอบลิงก์ที่อาจเป็นอันตรายได้ด้วย Backlink Audit Tool ของเรา
เพียงใส่โดเมนของคุณแล้วคลิก “Start Backlink Audit”

จากนั้นทำตามคำแนะนำเพื่อเริ่มการตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ (Audit)
ในแท็บ “Audit” คุณจะเห็นลิงก์ย้อนกลับที่ถูกทำเครื่องหมายให้ตรวจสอบ
ลิงก์ย้อนกลับแต่ละรายการจะได้รับ Toxicity Score (TS) ตั้งแต่ 0-100 โดยคะแนนยิ่งสูง ลิงก์นั้นก็มีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายมากขึ้น

ภายใต้เมนูแบบเลื่อนลง “Anchors” คุณสามารถกรองลิงก์ตามประเภทของ Anchor Text ได้
เลือกช่องถัดจาก “Money” และ “Compound”

Anchor Text ประเภท Money และ Compound มักถูกมองว่าน่าสงสัยโดย Google ดังนั้นควรตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับที่ใช้ข้อความเหล่านี้ร่วมกับ Toxicity Score ที่สูง
ควรทำอย่างไรหากพบลิงก์ย้อนกลับประเภทนี้?
ในกรณีส่วนใหญ่ คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย
เป็นเรื่องปกติที่เว็บไซต์จะมีลิงก์ย้อนกลับคุณภาพต่ำในจำนวนหนึ่ง และโดยทั่วไป Google จะเพิกเฉยต่อลิงก์เหล่านี้
แต่หากคุณพบลิงก์ที่อาจเป็นอันตรายจำนวนมาก และได้รับ Manual Action Penalty จาก Google เกี่ยวกับลิงก์คุณภาพต่ำ (สามารถตรวจสอบได้ในรายงาน Manual Actions ใน Google Search Console ) คุณอาจต้องลบลิงก์ที่ไม่ต้องการหรือใช้ Disavow Tool เพื่อละทิ้งลิงก์เหล่านั้น
เนื่องจากบทลงโทษประเภทนี้อาจทำให้หน้าเว็บของคุณมีอันดับต่ำลงหรือถูกลบออกจากผลการค้นหาโดยสิ้นเชิง
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับการทำความเข้าใจบทลงโทษของ Google
2. กระชับและได้ใจความ
Anchor Text ควรสั้นและกระชับ — เราแนะนำให้ใช้ไม่เกิน 5 คำ
Anchor Text ที่สั้นและชัดเจนช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าลิงก์จะนำไปที่ไหน
ตัวอย่างที่ไม่ควรใช้:
“รายการเคล็ดลับและกลยุทธ์ SEO ฉบับสมบูรณ์” (ยาวเกินไป)
ตัวอย่างที่ควรใช้:
“เคล็ดลับ SEO” (กระชับและตรงประเด็น)
3. ใช้ข้อความที่สื่อความหมาย
แม้ว่า Anchor Text ควรสั้น แต่ก็ควรอธิบายให้ชัดเจนว่าลิงก์นั้นนำไปสู่อะไร เพื่อให้ทั้งผู้ใช้และ Search Engine เข้าใจได้ง่ายว่าพวกเขาจะได้รับข้อมูลแบบใดเมื่อคลิกลิงก์
หากคุณไม่แน่ใจว่าจะใช้ คีย์เวิร์ด อะไรใน Anchor Text สำหรับลิงก์ภายใน ลองใช้ เครื่องมือ Organic Research ของ Semrush
เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณดูได้ว่าหน้าเว็บของคุณกำลังติดอันดับสำหรับคำค้นหาใดบ้าง และให้แนวทางในการเลือก Anchor Text ที่เหมาะสมสำหรับลิงก์ภายใน
ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นผู้ค้าปลีกแว่นตา และต้องการหาไอเดีย Anchor Text สำหรับหน้าหมวดหมู่ แว่นตาผู้หญิง
เริ่มต้นโดยป้อน URL ของหน้าที่ต้องการ จากนั้นคลิก “Search”

จากนั้นคุณจะถูกนำไปที่รายงาน “Overview” ซึ่งจะแสดงภาพรวมของปริมาณการเข้าชมโดยประมาณ คีย์เวิร์ด การเปลี่ยนแปลงอันดับ และฟีเจอร์ในผลการค้นหา (SERP Features) ของหน้าเว็บนั้น
ในส่วน “Top Keywords” คุณจะเห็นว่าหน้าของคุณติดอันดับสำหรับคำค้นหาใดบ้าง จากนั้นคลิก “View all # keywords” เพื่อเปิดรายงานรายละเอียดเพิ่มเติม

ที่นี่คุณจะพบรายการคีย์เวิร์ดทั้งหมดที่หน้าของคุณติดอันดับ
สำรวจรายการนี้เพื่อหา Anchor Text ที่เหมาะสมกับบริบทของลิงก์ของคุณมากที่สุด

4. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้อ่านมองเห็นลิงก์ได้ชัดเจน
สุดท้าย Anchor Text ควรสามารถมองเห็นและแยกแยะได้ง่าย เพื่อให้ผู้เข้าชมไม่พลาดลิงก์ และได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดี
ลิงก์ควร ขีดเส้นใต้ หรือ ไฮไลต์ด้วยสีที่แตกต่างจากข้อความปกติ เพื่อให้โดดเด่นและมองเห็นได้ชัดเจน
โดยปกติแล้ว เว็บเบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะทำสิ่งนี้โดยอัตโนมัติ แต่ก็ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า Anchor Text ถูกไฮไลต์อย่างเหมาะสมภายในระบบจัดการเนื้อหา (CMS) หรือแพลตฟอร์มเว็บไซต์ที่คุณใช้
วิธีตรวจหาและแก้ไขปัญหา Anchor Text
เมื่อคุณเข้าใจวิธีสร้าง Anchor Text คุณภาพสูงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณว่ามีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ Anchor Text หรือไม่
คุณสามารถใช้ Site Audit เพื่อช่วยในงานนี้
เริ่มต้นโดยป้อน โดเมนเว็บไซต์ ของคุณลงในแถบค้นหา แล้วเลือก “Start Audit”

จากนั้นกำหนดค่า การตั้งค่า ตามต้องการ แล้วคลิก “Start Site Audit” เพื่อเริ่มการตรวจสอบเว็บไซต์

เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น ไปที่แท็บ “Issues” แล้วพิมพ์คำว่า “anchor” ในแถบค้นหา ซึ่งจะทำให้คุณเห็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ Anchor Text บนเว็บไซต์ของคุณ

อาจมีสามปัญหาที่แสดงขึ้นมา:
- # links have no anchor text”: ลิงก์เหล่านี้ไม่มี Anchor Text หรือมีข้อความ Anchor Text ที่ว่างเปล่า
- # links have non-descriptive anchor text”: ลิงก์เหล่านี้ใช้ Anchor Text ที่ทั่วไปเกินไปหรือไม่ให้ข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับหน้าที่มันลิงก์ไป
- # outgoing external links contain nofollow attributes”: ลิงก์ภายนอกเหล่านี้มีคุณสมบัติ nofollow ซึ่งจะไม่ส่งอำนาจลิงก์ไปยังหน้าที่ลิงก์ไป
คลิกที่ลิงก์สีฟ้าใดๆ เพื่อตรวจสอบหน้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานั้นๆ

จากนั้นให้เข้าสู่ระบบ Content Management System หรือแพลตฟอร์มเว็บไซต์อื่นๆ และใช้ข้อมูลนี้ในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ Anchor Text
หลังจากนั้นคุณสามารถทำการตรวจสอบเว็บไซต์อีกครั้งด้วย Site Audit เพื่อดูว่าการแก้ไขเหล่านี้ได้ผลหรือไม่
ติดตามการใช้งาน Anchor Text ของคุณให้ดี
การใช้ Anchor Text อย่างถูกต้องช่วยให้ผู้ใช้และ Search Engines นำทางเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าใจความเกี่ยวข้องของแต่ละหน้าเว็บ
การใช้ Anchor Text ที่ดีในการทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากคุณอัปโหลดเนื้อหาใหม่ๆ เป็นประจำ
วิธีง่ายๆในการติดตาม Anchor Text ของคุณคือการใช้รายงานรายสัปดาห์จาก Site Audit
คลิกที่ไอคอนรูปเกียร์ที่มุมขวาบนแล้วเลือก “Schedule” ในส่วน “Site Audit settings”

จากนั้นให้เปิดเมนูแบบเลื่อนลงและเลือกวันที่ในสัปดาห์ที่คุณต้องการให้การตรวจสอบอัตโนมัติทำงาน
ติ๊กที่ช่องข้าง “Send an email every time an audit is complete” และคลิก “Save”

ตอนนี้คุณสามารถติดตามปัญหาเกี่ยวกับ Anchor Text ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย