Copywriting การเขียนคำโฆษณา คืออะไร ? มาพร้อมคู่มือฉบับสมบูรณ์ (2024)

COPYWRITING

นี่คือคู่มือที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับ การเขียนคำโฆษณา (Copywriting)ในปี 2024 จัดทำโดย SEOGURU

หากคุณกำลังมองหา:

  • การเพิ่มปริมาณการเข้าชม
  • การเพิ่มโอกาสในการขาย
  • การเพิ่มยอดขาย

คุณจะต้องชื่นชอบเทคนิคที่นำไปใช้ได้จริงในคู่มือใหม่นี้

มาเริ่มกันเลย

Advanced Link Building Tips

Table of Contents

เนื้อหา

chapters-copywriting-fundamentals

1.พื้นฐาน การเขียนคำโฆษณา Copywriting

chapters-customer-focused-copy

2.การเขียนคำโฆษณา ที่มุ่งเน้นลูกค้า

chapters-pro-copywriting-strategies

3.กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาแบบมืออาชีพ

chapters-how-to-write-amazing-headlines

4.วิธีการเขียนหัวข้อที่น่าทึ่ง

chapters-master-the-lead

5.เชี่ยวชาญการเขียนนำเสนอ

chapters-how-to-write-compelling-copy

6.วิธีการเขียนสำเนาที่น่าสนใจ

chapters proven copywriting formulas

7.สูตรการเขียนคำโฆษณาที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

chapters-advanced-copywriting-strategies

8.กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาขั้นสูง

บทที่ 1 พื้นฐาน การเขียนคำโฆษณา Copywriting

chapter-copywriting-fundamentals

การเขียนคำโฆษณาคืออะไร?

การเขียนคำโฆษณา (Copywriting) คือศิลปะและวิทยาศาสตร์ของการเขียนข้อความที่โน้มน้าวใจให้ผู้คนลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การสร้างโอกาสในการขาย การสร้างการรับรู้แบรนด์ และอื่นๆ การเขียนคำโฆษณาที่มีประสิทธิภาพจะต้องชัดเจน กระชับ และโน้มน้าวใจ โดยพูดถึงความต้องการและความปรารถนาของกลุ่มเป้าหมายโดยตรง

การใช้คำที่กลุ่มเป้าหมายต้องการอ่านจริงๆ สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างมากครับ!

ทำไมการเขียนคำโฆษณาจึงสำคัญ?

ในยุคที่วิดีโอและพอดแคสต์ครองโลก การเขียนคำโฆษณายังสำคัญอยู่หรือเปล่า?

คำตอบสั้นๆ คือ: ยังสำคัญอยู่

ก่อนที่จะไปดูถึงประโยชน์ของการเขียนคำโฆษณา เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า หน้าที่หลักของนักเขียนคำโฆษณาคืออะไร?

นักเขียนคำโฆษณาทำอะไร?

นักเขียนคำโฆษณาคือมืออาชีพที่เขียนข้อความเพื่อการโฆษณาและการตลาด แบรนด์ที่มีนักเขียนคำโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมักจะได้รับการมีส่วนร่วมที่ดีขึ้นและอัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate) ที่สูงขึ้น ซึ่งเราจะพูดถึงในรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง

การเรียนรู้เพื่อเป็นนักเขียนคำโฆษณาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาและความอดทนเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ แต่การหานักเขียนคำโฆษณาที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงวิธีการใช้คำให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายยังคงเป็นเรื่องท้าทาย ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมทักษะนี้ยังคงมีความต้องการสูง

ประโยชน์จากการเก่งในงานเขียนคำโฆษณา

  1. เพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rates) ในหน้าสำคัญ
  2. ปรับปรุงโครงสร้างและการไหลของบทความ
  3. เพิ่มการมีส่วนร่วมในโพสต์โซเชียลมีเดีย
  4. ทำให้ผู้คนแชร์เนื้อหาของคุณมากขึ้น
  5. เข้าใจความต้องการและความปรารถนาของลูกค้าได้ดีขึ้น

พูดง่ายๆ คือ: การเขียนคำโฆษณาสามารถยกระดับทุกองค์ประกอบในด้านการตลาดของคุณได้อย่างชัดเจน

ประเภทของการเขียนคำโฆษณา

การเขียนคำโฆษณามีหลายประเภท แต่ละประเภทมีเป้าหมายและความท้าทายเฉพาะตัว นี่คือตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุด:

  1. การเขียนโฆษณา (Advertising Copy): ใช้เพื่อโปรโมตสินค้าและบริการไปยังกลุ่มผู้ชมในวงกว้าง พบได้ในหลายสื่อ เช่น YouTube, โทรทัศน์, วิทยุ, สิ่งพิมพ์ และออนไลน์
  2. การเขียนเพื่อการขาย (Sales Copy): มุ่งเน้นการโน้มน้าวให้ผู้คนซื้อสินค้าและบริการ ใช้ในช่องทางอย่างเช่น จดหมายตรง (Direct Mail), การตลาดผ่านอีเมล และหน้า Landing Page
  3. การเขียนเพื่อประชาสัมพันธ์ (Public Relations Copy): ใช้เพื่อโปรโมตองค์กรหรือบริษัทให้กับสาธารณะ พบได้ในข่าวประชาสัมพันธ์ ชุดสื่อ และประวัติในเว็บไซต์
  4. การเขียนเชิงเทคนิค (Technical Copywriting): อธิบายสินค้าและบริการที่ซับซ้อนให้กับกลุ่มเป้าหมายเชิงเทคนิค มักพบในคู่มือผู้ใช้ วัสดุฝึกอบรม และเอกสารไวท์เปเปอร์ (White Papers)

การเลือกประเภทของการเขียนคำโฆษณาที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ที่คุณต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ!

copywriting-applications

นักเขียนคำโฆษณาทำอะไรบ้าง?

แน่นอนว่าส่วนใหญ่ของงานนักเขียนคำโฆษณาคือการเขียน แต่หน้าที่ของพวกเขาไม่ได้มีเพียงแค่การเรียงคำต่อคำเท่านั้น

นักเขียนคำโฆษณาที่มีประสบการณ์มักใช้เวลาอย่างมากในการทำความเข้าใจลูกค้าของพวกเขา พวกเขาต้องลงทุนเวลาในการเรียนรู้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่กำลังเขียนถึงสามารถช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร

หากคุณกำลังเขียนคำโฆษณาเพื่อโปรโมตสินค้าหรือบริการของคุณเอง คุณอาจรู้อยู่แล้วว่าสินค้าคืออะไร ทำงานอย่างไร และเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้อย่างไร ดังนั้น หน้าที่ของคุณคือการเรียนรู้ความคิด ความกลัว และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเข้าใจวิธีที่พวกเขามักแสดงความรู้สึกเหล่านั้นในความคิดของพวกเขาเอง เพื่อให้คุณสามารถเขียนคำโฆษณาที่เข้าถึงพวกเขาได้โดยตรง

ฉันจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำสิ่งนี้ในบทที่ 2 ของคู่มือเล่มนี้

วิธีเป็นนักเขียนคำโฆษณา

โชคดีที่คุณไม่จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมหรือการศึกษาทางการอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นนักเขียนคำโฆษณา สิ่งที่คุณต้องมีคือการพัฒนาทักษะสำคัญต่อไปนี้ให้เชี่ยวชาญ:

เคล็ดลับสำคัญสำหรับการเขียนคำโฆษณา

หากต้องการประสบความสำเร็จในสายงานนี้ การมีทักษะที่ช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้า/บริการของคุณให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจก่อนที่จะเสนอวิธีแก้ปัญหาที่สื่อถึงเป้าหมายที่ต้องการนั้นมีความสำคัญอย่างมาก

นักเขียนคำโฆษณาที่ดีควรมีทักษะพื้นฐานเหล่านี้:

  • การวิจัยลูกค้า
  • โครงสร้างประโยค
  • การเขียนคำโฆษณาออนไลน์
  • ไวยากรณ์และการสะกดคำ
  • การโน้มน้าวใจ
  • การจัดโครงสร้างเนื้อหา
  • การโฆษณาออนไลน์
  • การเล่าเรื่อง

สิ่งที่ควรรู้

การเป็นนักเขียนคำโฆษณาที่ดีต้องใช้เวลาในการพัฒนา แต่เป็นทักษะการตลาดที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะใช้ในการหาลูกค้าในฐานะนักเขียนคำโฆษณาอิสระ หรือเพิ่มโอกาสทางอาชีพของคุณ

ในความเป็นจริง จากข้อมูลของสมาคมแห่งชาติของนายจ้างและวิทยาลัย (National Association of Colleges and Employers) ระบุว่า 80.3% ของนายจ้างต้องการจ้างคนที่มีทักษะการเขียนที่ดีเยี่ยม

และถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (เช่นฉัน) คุณสามารถใช้ทักษะการเขียนคำโฆษณาเพื่อพัฒนาการตลาดและขยายธุรกิจของคุณได้อีกด้วย!

บทที่ 2 การเขียนคำโฆษณา ที่มุ่งเน้นลูกค้า

หากคุณต้องการเขียนคำโฆษณาที่กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ คุณจำเป็นต้องเข้าใจกฎง่ายๆ ข้อหนึ่ง:

เขียนให้เหมือนกับที่ลูกค้าของคุณพูด

เมื่อคุณทำได้ ลูกค้าจะรู้สึกว่า:
“สินค้านี้เหมาะกับฉัน!”

คำถามคือ:
คุณจะทำอย่างไรให้สำเร็จ?

ลองใช้หนึ่งใน 5 กลยุทธ์ง่ายๆ จากบทนี้สิ

chapter-customer-focused-copy

กระทู้ Reddit

หากคุณต้องการเขียนให้เหมือนกับที่ลูกค้าของคุณพูด Reddit เป็นหนึ่งในแหล่งที่คุณควรไปดูเป็นอันดับแรก

วิธีใช้คือ ไปที่ subreddit ที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณเข้าไปพูดคุย

reddit-entrepreneur-subreddit

จากนั้นลองดูกระทู้ยอดนิยมล่าสุดบางส่วน

reddit-entrepreneur-top-posts

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณเพิ่งเปิดตัว Paleo Diet Bar ใหม่

ตรงไปที่ subreddit Paleo แล้วค้นหา “bars”

reddit-search-paleo-bars

และดูภาษาที่ผู้คนใช้ในการอธิบายสิ่งที่พวกเขาชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในตลาดปัจจุบัน

ตัวอย่างเช่น ฉันเจอคำโฆษณาที่เจ๋งมากมายในกระทู้หนึ่งนี้

reddit-copy-in-comments

ข้อความที่เหมาะจะใช้กับแลนดิ้งเพจ อีเมล หรือโฆษณาบน Facebook

use-language-from-reddit-threads

รีวิวของอเมซอน

ดังที่คุณคงเคยเห็นมาก่อนแล้ว ผู้คนใน Amazon จะไม่อดกลั้น

amazon-negative-review

โอ้โห…

คุณสามารถนำรีวิวที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้มาปรับใช้เป็นคำโฆษณาที่โดดเด่นได้

ตัวอย่างเช่น ลองดูรีวิวสินค้านี้บน Amazon สำหรับโต๊ะทำงานแบบยืน:

amazon-review-standing-desk

ถ้าคุณขายโต๊ะทำงานแบบยืนด้วย คุณก็เพิ่งเจอคำโฆษณาที่เด็ดมากแล้วล่ะ!

amazon-review-standing-desk-copy

และผมขอชี้ให้เห็นบางอย่าง:

คุณสามารถค้นหาไอเดียจากรีวิวบน Amazon ได้… แม้ว่าคุณจะไม่ได้ขายสินค้าจริงก็ตาม

ตัวอย่างเช่น ผมได้ดูรีวิวหนังสือยอดนิยมเกี่ยวกับ SEO บน Amazon:

amazon-learn-seo-book

และเจอข้อความล้ำค่าเหล่านี้:

amazon-learn-seo-book-copy-in-reviews

นี่คือสำเนาที่ฉันสามารถใช้เพื่ออธิบายหลักสูตรออนไลน์หรือคำแนะนำถัดไปของฉัน

แบบสำรวจลูกค้า
แบบสำรวจลูกค้าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณควรถามคำถามเหล่านี้กับลูกค้าของคุณ:

  • “ทำไมคุณถึงตัดสินใจซื้อ [ผลิตภัณฑ์ของคุณ]?”
  • “อะไรคือสิ่งสำคัญอันดับ 1 ที่ทำให้คุณคิดว่า: ใช่แล้ว นี่แหละที่ฉันต้องการ?”
  • “คุณเคยลองอะไรมาก่อนหน้านี้บ้าง?”
  • “ประสบการณ์ของคุณกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร?”

คำตอบเหล่านี้ล้ำค่ามากสำหรับการวิจัยลูกค้า การวางตำแหน่งทางการตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

แต่ที่สำคัญคือ มันยังช่วยให้คุณเขียนคำโฆษณาที่พูดตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย

ตัวอย่างเช่น นี่คือตัวอย่างคำตอบจริงจากแบบสำรวจลูกค้าล่าสุดของผม:

stw-customer-feedback

และขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ของคุณ คุณยังสามารถถามคำถามเกี่ยวกับ:

  • อายุและข้อมูลประชากร
  • ปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเผชิญ
  • พฤติกรรมการใช้จ่าย
  • ความท้าทายทางธุรกิจ

ตัวอย่างเช่น Backlinko ซึ่งอยู่ในตลาด B2B (ธุรกิจกับธุรกิจ)

ดังนั้น ผมจึงถามลูกค้าเพื่อให้พวกเขาอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจพวกเขา:

stw-surwey-questions

การสัมภาษณ์ลูกค้า

การสัมภาษณ์เป็นเหมือนการทำแบบสำรวจลูกค้าแบบเพิ่มพลัง

เพราะคุณสามารถเจาะลึกลงไปได้ด้วยการถามคำถามติดตามเพิ่มเติม

ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้พูดคุยผ่าน Skype กับลูกค้า 3 คนที่เพิ่งจบจากหนึ่งในโปรแกรมของผม

brian-skype-call

(เกร็ดน่าสนใจ: ตอนที่ผมทำการสัมภาษณ์นี้ ผมกำลังไปเยี่ยมครอบครัวที่โรดไอแลนด์ ดังนั้นเลยมีฉากหลังเป็นม่านลายดอกไม้สุดเจ๋ง 🙂)

ผมได้ถามคำถามที่คล้ายกับในแบบสำรวจลูกค้า เช่น:

  • ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดใน SEO ของคุณตอนนี้คืออะไร?
  • การเพิ่มปริมาณการเข้าชมจากเครื่องมือค้นหามีความสำคัญแค่ไหนสำหรับธุรกิจของคุณ?
  • คุณเคยลงทุนในการฝึกอบรมเกี่ยวกับ SEO มาก่อนไหม? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?

ความแตกต่างที่สำคัญคือ การสัมภาษณ์ช่วยให้ผมสามารถถามคำถามติดตามเพิ่มเติมได้

คำถามติดตามเหล่านี้ช่วยให้ผมเข้าใจปัญหาของลูกค้าได้ลึกซึ้งกว่าการตอบคำถามในแบบสำรวจเพียงทางเดียว

นี่คือตัวอย่าง:

ภาพถ่ายหน้าจอ 2567 11 20 เวลา 10.02.32

โซเชียลมีเดีย

นี่คือวิธีการทำงาน:

ขั้นแรก ค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่งบน Twitter:

twitter-search-quickbooks

จากนั้น ให้จับตาดูข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า:

twitter-jcasabona-tweet

และหากผลิตภัณฑ์ของคุณมีฟีเจอร์ “ที่ขาดหายไป” เหล่านี้ อย่าลืมเน้นย้ำในคำโฆษณาของคุณ:

emphasize-features-from-social-media-research

การพูดคุยใน Product Hunt

คุณสามารถใช้ “Product Hunt Discussions” เพื่อเรียนรู้ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณอธิบายสิ่งที่คุณขายอย่างไร

ทำไม? เพราะ 90% ของคนที่โพสต์คำถามใน Product Hunt มักจะเคยค้นหาวิธีแก้ปัญหาบน Google มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

ดังนั้น ให้จดบันทึกคำที่พวกเขาใช้ในการอธิบายปัญหาของพวกเขา…

producthunt-discussions-copy

…และสร้างแลนดิ้งเพจที่ปรับให้เหมาะสมตามข้อกำหนดเหล่านั้น:

use-terms-taken-from-customer-interviews

ด้วยเหตุนี้ก็ถึงเวลาสำหรับบทที่ 3..

บทที่ 3: กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาแบบมืออาชีพ

บทนี้คือรายการ 7 กลยุทธ์การเขียนโฆษณา ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเขียนโฆษณาใหม่ตั้งแต่ต้น…

หรือปรับปรุงเนื้อหาที่คุณมีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น

หากคุณกำลังมองหาเคล็ดลับที่ใช้งานได้ทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนโฆษณา บทนี้จะตอบโจทย์คุณอย่างแน่นอน

chapter-pro-copywriting-strategies

การดึงดูดให้ผู้อ่านอ่านต่อ

เป้าหมายอันดับหนึ่งของการเขียนโฆษณาคือ ดึงดูดให้ผู้อ่านอ่านต่อ

เหมือนคำกล่าวของ Joe Sugarman ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนโฆษณาในตำนานที่ว่า:

“จุดประสงค์เดียวของประโยคแรกในโฆษณา คือทำให้ผู้อ่านอ่านประโยคที่สองต่อไป”

แนวคิดนี้เรียกว่า “ทางลื่น” (Slippery Slide) ซึ่งคือการทำให้เนื้อหาของคุณลื่นไหลและอ่านง่ายจนผู้อ่านไม่อยากหยุด

Slippery Slide

คุณสามารถสร้างข้อความที่ดึงดูดใจได้ด้วยเทคนิค Bucket Brigades คือ ใช้คำหรือวลีดึงดูด เช่น “แต่เดี๋ยวก่อน!” หรือ “และนี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้…”

Bucket brigades in post

ใช้เรื่องเล็กๆ ที่สร้างความสนใจและความเกี่ยวข้อง

Story in Backlinko post

ทิ้งคำถามหรือปริศนาให้ผู้อ่านอยากรู้คำตอบ

สูตร “AIDA”

AIDA เป็นสูตรการเขียนโฆษณาที่ทรงพลัง เหมาะสำหรับ:

  • หน้าเว็บไซต์ขายสินค้า
  • หน้าแบบฟอร์มลงทะเบียน
  • บทนำของบทความ
  • อีเมลข่าวสาร
  • สคริปต์วิดีโอ
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

The "AIDA" Formula

โครงสร้างของสูตร AIDA มีดังนี้:

A: Attention (ดึงดูดความสนใจ)
I: Interest (สร้างความสนใจ)
D: Desire (กระตุ้นความต้องการ)
A: Action (กระตุ้นการลงมือทำ)

ตัวอย่างเช่น ในคู่มือการสร้างหน้าแลนดิ้งเพจ เราใช้สูตรนี้ดังนี้:

Landing page guide – Intro

เริ่มต้นด้วยประโยคแรก ที่ดึงดูดความสนใจ

Landing page guide – First line

สร้างความสนใจ ด้วยข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น

Landing page guide intro – Promise

กระตุ้นความต้องการ โดยเน้นประโยชน์หลัก (เช่น อันดับ Google ที่สูงขึ้น)

Landing page guide intro – Desire

ปิดท้ายด้วยการ เรียกร้องให้ผู้อ่านดำเนินการทันที

Landing page guide intro – CTA

ประโยชน์สำคัญกว่า “ฟีเจอร์”

“ฟีเจอร์” อาจดูดี

แต่ “ประโยชน์” คือสิ่งที่ขายได้จริง

ตัวอย่าง: หากคุณเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน คุณสามารถเปลี่ยนฟีเจอร์ที่ดูน่าเบื่อให้เป็นประโยชน์ที่น่าดึงดูดได้

นี่คือวิธีเปลี่ยนคุณสมบัติที่น่าเบื่อให้กลายเป็นประโยชน์ที่จับต้องได้

Features vs. Benefits

หน้าผลิตภัณฑ์ของ CoSchedule ทำได้ดีมากในเรื่องนี้

CoSchedule – Marketing suite – Product page

ใช่ พวกเขาพูดถึงคุณสมบัติด้วย

CoSchedule – Marketing suite – Product features

นี่คือวิธีเปลี่ยนคุณสมบัติที่น่าเบื่อ ให้กลายเป็นประโยชน์ที่จับต้องได้

CoSchedule – Marketing suite – Product benefits

เจ๋งมาก

CTA ที่ทรงพลัง (Call-to-Action)

การมีคำกระตุ้นให้ดำเนินการ (CTA) ที่ชัดเจนและทรงพลัง อาจเป็นตัวชี้วัดสำคัญระหว่างหน้าเว็บที่สามารถเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้า… กับหน้าเว็บที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า

จริงจังนะ!

นี่คือเหตุผลว่าทำไม CTA ถึงสำคัญมาก:

ผู้เข้าชมของคุณยุ่งมาก ยุ่งแบบสุด ๆ

นั่นหมายความว่า พวกเขา ไม่มี เวลาเสียไปกับการเดาว่าต้องทำอะไรต่อ

ดังนั้น บอกพวกเขาไปเลย อย่างตรงไปตรงมา ว่าต้องทำอะไร

ตัวอย่างเช่น ลองดูหน้า Landing Page จาก Social Triggers แล้วคุณจะเข้าใจว่าการใช้ CTA ที่แข็งแกร่งทำให้แตกต่างได้อย่างไร

Social Triggers – CTA highlight

หน้าเว็บนี้ ใช้ CTA ที่ชัดเจน

ไม่ใช่แค่ “ลงทะเบียน” หรือ “สมัครสมาชิก”

แต่เป็นคำที่ตรงไปตรงมาอย่าง “กรอกชื่อและอีเมลของคุณ แล้วคลิก “ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี”

หลักฐานทางสังคม

ตามข้อมูลจาก Nielsen Norman Group ผู้คนมักพึ่งพา Social Proof (หลักฐานทางสังคม) เมื่อพวกเขาไม่แน่ใจว่าควรตัดสินใจอย่างไรต่อไป

พูดง่าย ๆ ก็คือ Social Proof มีความสำคัญมาก เมื่อมีคนกำลังพิจารณาว่าจะซื้อสินค้าหรือบริการของคุณหรือไม่

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นักเขียนโฆษณามืออาชีพมักใส่ ผลลัพธ์ รีวิวกรณีศึกษา และคำรับรองจากลูกค้า ไว้ในเนื้อหาโฆษณาของพวกเขา

ตัวอย่างเช่น Hotjar แสดงให้ผู้เข้าชมรู้ว่าพวกเขามีผู้ใช้งานกว่า 900,000 คน ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยม

HotJar users

แทนที่จะใช้ตัวเลขดิบๆ ที่ Exploding Topics เราเลือกที่จะนำเสนอรายชื่อบริษัทที่สมัครรับจดหมายข่าวแทน

Exploding Topics newsletter

วิธีแก้ปัญหา “Social Proof Paradox”

คุณต้องใช้ Social Proof เพื่อช่วยขายสินค้า แต่คุณก็ต้องมียอดขายก่อนเพื่อสร้าง Social Proof

นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่า “Social Proof Paradox” ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่แท้จริง

โชคดีที่มีวิธีง่ายๆ ในการหลีกเลี่ยงปัญหานี้ นั่นคือ

การใช้ Social Proof ที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณมีอยู่

ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดตัวซอฟต์แวร์ที่มีทั้งเวอร์ชันฟรีและเสียเงิน แต่มีคนอัปเกรดเป็นแผนเสียเงินเพียงไม่กี่คน

คุณสามารถแสดงจำนวนผู้ที่สมัครทดลองใช้งานฟรีแทนได้:

Use Social Proof

หรือหากคุณมีลูกค้าเพียง 20 คน แต่มี 3 คนที่ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง

คุณควรเน้นย้ำผลลัพธ์จากลูกค้าเหล่านี้ในหน้าเว็บไซต์:

Testimonials as Social Proof

ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเปิดตัวคอร์ส YouTube SEO First Page Videos ตอนนั้นเรามีผู้ใช้เบต้าเพียง 10 คน ซึ่งไม่ได้มี Social Proof มากมาย

แต่ในจำนวนนี้ มี 4 คนที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยม

(รวมถึงนักเรียนคนหนึ่งที่สามารถเก็บยอดวิวได้กว่า 200,000 ครั้งจากวิดีโอแรก)

ดังนั้น เราจึงเลือกนำเสนอผลลัพธ์จาก 4 คนนี้ในหน้าเว็บไซต์ขายคอร์ส

First Page Videos – Sales page testimonials

USP ที่ชัดเจน

USP (Unique Selling Proposition)

คือสิ่งที่บอกว่า “ทำไมลูกค้าควรซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณ?”

บางทีอาจเป็นเพราะคุณมีราคาที่ดีที่สุด

หรือคุณให้บริการรวดเร็วกว่าคนอื่น

หรือคุณสามารถการันตีผลลัพธ์ได้

ไม่ว่าจะอย่างไร เนื้อหาของคุณต้องสื่อถึง USP ของคุณอย่างชัดเจนที่สุด

หากไม่มี USP?

แสดงว่าคุณมีปัญหาที่ใหญ่กว่าการเขียนโฆษณาแล้ว แต่เรื่องนี้ไว้พูดกันวันหลัง…

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ขายแว่นตา Warby Parker ใช้กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด ด้วยการให้ลูกค้าลองกรอบแว่นได้ที่บ้าน และคืนได้ถ้าไม่ชอบ

Warby Parker – Homepage

พวกเขานำเสนอ USP ที่โดดเด่นนี้ในทุกจุดของเว็บไซต์

Warby Parker – Offer

สร้างความเร่งด่วน (Sense of Urgency)

อยากให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ตอนนี้ ไหม?

ต้องสร้าง ความเร่งด่วน

นี่คือวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้เนื้อหาของคุณมีความเร่งด่วน:

  • “ข้อเสนอพิเศษในเวลาจำกัด”
  • “จำนวนจำกัด”
  • “เหลือเพียง 47 ชิ้นเท่านั้น”
  • “ลดราคาถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้”
  • “หมดเขตในวันพฤหัสบดีนี้”
  • “อย่าพลาดโอกาส!”

(แน่นอนว่าคุณควรใช้ข้อมูลเหล่านี้ที่มีข้อจำกัดจริงๆ ไม่เช่นนั้นคุณจะสูญเสียความเชื่อมั่นของลูกค้า)

ตัวอย่างเช่น ในอีเมลที่ส่งช่วงเปิดตัวสินค้า เรากำหนดเวลาแบบชัดเจน (ถึงนาที!) เพื่อสร้างความเร่งด่วนสูงสุด

Brian's course email

บทที่ 4: วิธีเขียนพาดหัวให้ปัง

คุณคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า:
“80% ของคนอ่านพาดหัว แต่มีเพียง 20% เท่านั้นที่อ่านเนื้อหา”

ตัวเลขนี้จะจริงแค่ไหนเราไม่รู้!

แต่สิ่งที่เรารู้คือ พาดหัวของคุณสำคัญมาก

โชคดีที่การเขียนพาดหัวเจ๋งๆ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

เพียงแค่คุณทำตามเทคนิคง่ายๆ ในบทนี้

chapter-how-to-write-amazing-headlines

ระบุรายละเอียดอย่างชัดเจน

พาดหัวของคุณต้องเจาะจงแบบสุดๆ

พูดง่ายๆ คือ

พาดหัวต้องบอกลูกค้าให้ชัดเจนว่าพวกเขาจะได้อะไร

ตัวอย่างเช่น ดูพาดหัวของบทความนี้:

Vague Headline

ไม่แย่ แต่ยังไม่เจาะจงเพียงพอ

ลองดูว่าพาดหัวที่เจาะจงมากๆ นี้ฟังดูดีกว่ามากแค่ไหน:

Specific Headline

กฎนี้ไม่ได้ใช้แค่กับเนื้อหาบล็อกเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น Snap.hr ระบุ กรอบเวลาที่เฉพาะเจาะจง สำหรับการได้รับผลลัพธ์:

Snap – Timeframe

ใช้ตัวเลข

ตัวเลขช่วยให้พาดหัวของคุณดูเจาะจงขึ้นทันที

ตัวอย่างเช่น ลองดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณใช้พาดหัวที่น่าเบื่อนี้…

Headline With No Number

…และเมื่อเพิ่มตัวเลขเข้าไป:

Headline With Number

มันน่าสนใจ… และเจาะจงมากขึ้น

ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม การวิจัยของ Moz พบว่า พาดหัวที่มีตัวเลขมีโอกาสได้รับคลิกมากกว่าพาดหัวแบบตั้งคำถามถึง 327%

Overall Headline Preferences

อันที่จริง นั่นคือเหตุผลที่เราใช้ตัวเลข ในชื่อบทความบล็อกส่วนใหญ่:

Backlinko – Numbers in headlines

เล่นกับอารมณ์

พาดหัวที่ดีที่สุด มักมีอารมณ์อยู่ในนั้น

คำถามคือ:

จะสร้างพาดหัวที่กระตุ้นอารมณ์ได้อย่างไร?

ตัวอย่างการใส่คำที่กระตุ้นอารมณ์:

  • บ้า
  • ตอนนี้
  • เร็ว
  • ผิดพลาด
  • ใหม่
  • ทะลุทะลวง
  • น่าทึ่ง

อย่างที่รู้กัน คุณไม่ควรจะพูดเกินจริง

ไม่มีใครจะเชื่อพาดหัวอย่าง “สิ่งใหม่ที่บ้าคลั่งและน่าทึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเร็วทันใจ!”

แต่การเพิ่มคำเหล่านี้หนึ่งหรือสองคำ ลงในพาดหัวของคุณสามารถทำให้มันน่าสนใจมากขึ้น:

Emotion in post headline

ต่อมา ใส่พาดหัวของคุณลงในเครื่องมือวิเคราะห์พาดหัวของ American Marketing Institute

Advanced Marketing Institute – Headline analyzer

และมันจะให้คะแนนคุณจาก 0-100%

Advanced Marketing Institute – Headline analyzer results

เราพยายามทำให้พาดหัวได้อย่างน้อย 30%… โดยเฉพาะสำหรับหน้าขายสินค้าและหน้า Landing Page

Aminstitute – Headline analyzer – Results over 30 percent

ใช้ FOMO (ความกลัวที่จะพลาดโอกาส)

FOMO สามารถทำให้หัวข้อของคุณทรงพลังยิ่งขึ้นถึง 10 เท่า!

แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า:

FOMO อาจไม่ได้เหมาะกับทุกสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีโอกาสใช้ FOMO คุณควรใช้มัน

เพราะ FOMO กระตุ้นอารมณ์ที่รุนแรงในใจของลูกค้าเป้าหมายของคุณ…

…อารมณ์ที่ทำให้พวกเขา ไม่อยากพลาด สิ่งที่คุณกำลังจะบอก

ตัวอย่างเช่น โฆษณา Facebook ของ HubSpot ที่ใช้คำว่า “ข้อเสนอเวลาจำกัด” ซึ่งช่วยสร้างแรงดึงดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

HubSpot – Facebook offer



ตอบคำถาม: ฉันจะได้อะไรจากสิ่งนี้?

ลองคิดดูว่ามันคุ้น ๆ ไหม:

คุณเข้าไปในเว็บไซต์…

แล้วสิ่งแรกที่เห็นคือหัวข้อที่พูดถึงแต่ ตัวเขาเอง

Headline "All About Them"

ใครจะสนล่ะ?!

ในทางกลับกัน คุณควรเขียนหัวข้อที่มุ่งเน้นไปที่ ลูกค้า ของคุณ

พูดง่าย ๆ คือ หัวข้อของคุณต้องตอบคำถามที่อยู่ในใจลูกค้า:

“ฉันจะได้อะไรจากสิ่งนี้?”

ตัวอย่างเช่น หัวข้อในหน้าแรกที่ว่า:

Dealwithgrowth – Homepage

หัวข้อนี้หรูหราไหม?

ไม่เลย

แต่ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีเพิ่มยอดขายให้ร้าน Shopify ของคุณ หัวข้อนี้บอกชัดเจนว่า คุณมาถูกที่แล้ว!

บทที่ 5: ครองใจผู้อ่านด้วยบทนำที่โดดเด่น

บทนำ หรือเนื้อหาช่วงแรกของบทความมักถูกมองข้าม

แต่จากประสบการณ์ของเรา บทนำมีความสำคัญไม่แพ้พาดหัว

(และบางครั้งมันสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ)

เพราะสิ่งที่ผู้อ่านเห็นในบรรทัดแรกๆ จะเป็นตัวตัดสินว่าพวกเขาจะอ่านต่อหรือไม่
และถ้าคุณพลาดในจุดนี้ คุณอาจเสียพวกเขาไปตลอดกาล

ดังนั้น นี่คือกลยุทธ์ง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณเขียนบทนำ ที่ดึงดูดใจได้:

chapter-master-the-lead

เริ่มด้วย Hook ที่น่าดึงดูด

ประโยคแรกของบทนำ คือทุกสิ่งทุกอย่าง

มันต้องสะกดให้ผู้อ่านหยุด และหันมาสนใจสิ่งที่คุณนำเสนอ

ตัวอย่างเช่น หนึ่งในบทนำ ของหน้าขายสินค้าเราเริ่มด้วยสถิติที่สะดุดตา:

Attention grabbing lead

นอกจากนี้ นี่คือตัวอย่างประโยคเปิดที่คุณสามารถคัดลอกไปใช้ได้เลย:

  • “นี่ใช่สิ่งที่คุณเคยเจอหรือเปล่า?”
  • “ตอนนี้คุณสามารถ [ประโยชน์] ได้ใน [ระยะเวลา] โดยไม่ต้อง [วิธีแก้ปัญหาทั่วไป]”
  • “คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม…”
  • “งานวิจัยใหม่พบ [ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ]”
  • “ขอแนะนำ: [ชื่อสินค้า] วิธีใหม่ในการ [ประโยชน์] ที่สนับสนุนด้วย [หลักฐาน]”
  • “ผมเคยเจอปัญหา [ปัญหา] มานาน [X ปี] จนกระทั่งวันหนึ่ง…”

ใช้เรื่องเล่าเล็กๆ

เรื่องเล่ามีพลังดึงดูดใจและช่วยให้ผู้อ่านอยากติดตามต่อ

แต่ปัญหาคือ

บทนำของคุณต้องสั้นและกระชับ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่มีพื้นที่เล่าเรื่องยาวๆ

ดังนั้น ลองใช้ เรื่องเล่าขนาดย่อม ที่สรุปทุกอย่างใน 4-5 บรรทัด

ตัวอย่างเช่น เราเริ่มหน้าเว็บไซต์ขายคอร์สหลักด้วยเรื่องเล่าที่สั้นมาก:

SEO That Works – Sales page story

สนับสนุนพาดหัวของคุณ

บางครั้งบทำของคุณสามารถเป็นตัวเสริมพาดหัวได้

พูดง่ายๆ คือใช้พาดหัวดึงดูดความสนใจ:

Grab Attention With Your Headline

และใช้บทนำกระตุ้นความสนใจต่อ:

Create Interest With Your Lead

นี่คือตัวอย่างที่ผสมผสานเทคนิค “A” (Attention) และ “I” (Interest) จากสูตร AIDA Formula

ตัวอย่างในหน้าขายคอร์ส YouTube SEO ของเรา ใช้บทนำเพื่อเสริมคำมั่นสัญญาในพาดหัว:

First Page Videos – Sales page intro

สั้น กระชับ และทรงพลัง (ไม่เกิน 8 บรรทัด)

ไม่ว่าจะเป็นโพสต์บล็อก สคริปต์วิดีโอ หน้าขายสินค้า หรือจดหมายข่าว บทนำของคุณต้อง สั้นมาก!

(ไม่เกิน 8 บรรทัด)

อย่าลืมว่า:

เป้าหมายของบทนำคือการดึงดูดความสนใจเพื่อให้ผู้อ่านอ่านต่อ

เมื่อคุณทำสำเร็จแล้ว ก็เข้าสู่เนื้อหาหลักได้เลย

ตัวอย่างเช่น เรามักเริ่มโพสต์บล็อกด้วยบทนำ ที่มีประมาณ 6 บรรทัด:

Backlinko – Optimize for voice search – Intro

เพียงเท่านี้ คุณจะสามารถดึงดูดผู้อ่านได้ตั้งแต่แรกพบ และพาพวกเขาเข้าสู่เนื้อหาหลักได้อย่างนุ่มนวล

บทที่ 6: เขียนคอนเทนต์ให้ปัง ดึงดูดใจผู้อ่าน

ในบทนี้ เราจะบอก วิธีการเขียนคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจอย่างตรงประเด็น

ถ้าคุณอยากเขียนให้ดีขึ้นสำหรับ:

  • บล็อกโพสต์
  • อีเมล
  • โซเชียลมีเดีย
  • โฆษณา
  • จดหมายขาย

คุณต้องอ่านบทนี้ให้จบ!

chapter-how-to-write-compelling-copy

เขียนเหมือนคุยกับเพื่อน

นี่คือ สุดยอดเคล็ดลับการเขียน ที่ง่ายแต่ทรงพลังที่สุด

ตัวอย่างจากหนึ่งในอีเมลข่าวสารที่เราส่งออกไป:

Backlinko – Newsletter paragraph

ฟังดูเป็นธรรมชาติใช่ไหม?

นั่นเพราะเรา อ่านทุกประโยคที่เขียนออกมาดังๆ

(และเราแนะนำให้คุณทำแบบเดียวกัน)

ถ้าฟังดูแปลกหรือไม่ลื่นไหล เราจะแก้ทันที

แต่ถ้าฟังดูดี แปลว่าเราพร้อมปล่อยคอนเทนต์นี้แล้ว

ใช้ประโยคสั้นๆ

ประโยคสั้น = คอนเทนต์ที่อ่านง่ายกว่า

และมีงานวิจัยที่สนับสนุนเรื่องนี้…

สถาบัน American Press Institute ทำการทดลองโดยให้กลุ่มทดลองอ่านบทความ 2 ชิ้น

บทความที่ 1 มีความยาวเฉลี่ยของประโยคที่ 54 คำ

บทความที่ 2 มีความยาวเฉลี่ยของประโยคที่ 12 คำ

ผลลัพธ์คือ คนที่อ่านบทความที่ 2 เข้าใจเนื้อหาได้ดีกว่าถึง 711%

Short Sentences Boost Reader Comprehension

สรุปสั้นๆ

ใช้ประโยคสั้นๆ เพราะอ่านง่าย เข้าใจเร็ว

เขียนเหมือนพูดกับคนคนเดียว

หลีกเลี่ยงการเขียนที่ดูเหมือนพูดกับคนทั้งโลกแบบนี้:

Avoid Copy Like This

แทนที่จะเขียนแบบนั้น ลองเขียนเหมือนพูดกับ คนคนเดียว:

Write to One Person

แม้แต่ใน B2B (ธุรกิจต่อธุรกิจ)

อย่าทำให้คอนเทนต์ของคุณดูห่างเหิน ลองเขียนให้เข้าถึงง่าย เช่น:

Generic B2B Copy

และนี่คือตัวอย่างข้อความ B2B ที่พูดกับผู้อ่านโดยตรง เหมือนกำลังคุยกับคุณอยู่เลย

Specific B2B Copy

ใช้ประโยคกระทำ (Active Voice)

ดูสองประโยคนี้:

Active Voice

เห็นไหมว่า ประโยคที่ 2 ฟังดูดีกว่า?

นั่นเพราะมันใช้ Active Voice

อยากรู้ว่าประโยคไหนเป็น Active หรือ Passive? ลองใช้เครื่องมือตรวจสอบ เช่น Hemingway ได้เลย

Hemingway app – Homepage

เลี่ยงคำศัพท์ที่ซับซ้อน

คำหรูๆ ไม่ได้ทำให้ใครประทับใจ

มันกลับทำให้คอนเทนต์ของคุณอ่านยากขึ้น

และอย่างที่เราชอบพูด:

“ถ้าอ่านยาก = คนไม่อ่าน”

คำที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น:

  • Utilize
  • Fascinating
  • Demonstrates

ให้ใช้คำที่เข้าใจง่ายแทน เช่น:

  • Use
  • Excited
  • Show

เขียนเพื่อผู้อ่านที่ชอบ “สแกน”

คนอ่านออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านทุกคำ

แต่พวกเขาสแกนเนื้อหา

ดังนั้น คุณต้องจัดรูปแบบคอนเทนต์ให้เหมาะกับพฤติกรรมนี้

วิธีทำ:

ใช้หัวข้อย่อยเยอะๆ

หัวข้อย่อยช่วยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนเล็กๆ อ่านง่ายขึ้น

ตัวอย่างเช่น บทความ SEO Audit ของเรา

Backlinko – SEO site audit

มีความยาว 3,759 คำ

SEO site audit post – Sections

แต่เราใช้หัวข้อย่อยถึง 43 หัวข้อ เพื่อทำให้เนื้อหาย่อยง่าย

ใช้ “ประโยคสรุปสำคัญ” (Takeaway Lines)

Backlinko – Link building tools

และสำหรับเครื่องมือทุกอย่างในรายการของเรา ได้บอกถึงคุณสมบัติหลัก ราคา และอื่นๆ อีกมากมาย

Tool features in post

ใส่สรุปสำคัญในแต่ละส่วน เช่น:

"The bottom line" in post

ด้วยเทคนิคนี้ ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อหาได้… โดยไม่ต้องอ่านทุกคำ

บทที่ 7 : การเขียนข้อความการตลาดที่เห็นผลจริง

นักเขียนโฆษณามืออาชีพจะไม่มีวันเริ่มต้นจากศูนย์

แทนที่จะเริ่มจากศูนย์ พวกเขาจะหยิบเทมเพลตขึ้นมา… แล้วทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น!

(หรืออย่างที่นักเขียนโฆษณาคนหนึ่งพูดว่า “งานเขียนที่ดีนั้น ประกอบขึ้นมา ไม่ได้ถูกเขียนขึ้น”)

และบทที่ 7 นี้ มีการเขียนโฆษณาอยู่ 4 แบบ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที

ไปดูกันเลย !

image 11

จดหมายข่าวทางอีเมลล์

นี่คือเทมเพลตง่ายๆ ที่คุณสามารถใช้ในการเขียนจดหมายข่าวที่จะทำให้คนอยากเปิดอ่าน

Email Newsletter Template

มาดูทีละส่วนกันเลย

หัวข้อ = สั้น และ กระชับ

หัวข้ออีเมลของคุณควรจะกระชับ เข้าใจง่าย แต่ไม่ได้กล่าวถึงเนื้อหาทั้งหมด

เช่น ในตัวอย่าง ใช้หัวข้อคำว่า “Backlinks” และอีเมลนั้นได้รับอัตราการเปิด 46.3% (จากผู้สมัครรับข่าวสาร 92,232 คน)

Email newsletter open rate

จากชื่อหัวข้อคนอ่านจะรู้ได้ทันทีว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “Backlinks”

แต่ก็ยังทำให้มีความอยากรู้อยากเห็น และ ทำให้อยากเปิดอ่านข้อความ

ประโยคเปิดที่น่าสนใจ

ประโยคแรกของบทความหรือเนื้อหาใด ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ทำให้ต้องการอ่านต่อ

บรรทัดแรกของอีเมลของคุณจะปรากฏเป็นตัวอย่างในกล่องจดหมายของผู้รับ ดังนั้นจึงควรเขียนให้ดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ผู้รับอยากเปิดอ่านอีเมลของคุณ

ตัวอย่างบรรทัดแรกในอีเมลล์ ดังรูปด้านล่าง

Marie Forleo newsletter

เล่าเป็นเรื่องราว

อีเมลล์ของคุณควรอ่านแล้วรู้สึกเหมือนมาจากเพื่อน

ดังนั้นจึงควรแชร์ออกมาให้อยู่ในรูปแบบของเรื่องราวที่น่าสนใจ

และมันยังสามารถใช้ได้กับ การเขียนอีเมลล์ขององค์กรได้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ลองดู CoSchedule”

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีพนักงานทำงานเป็นสิบๆ คน แต่อีเมลล์ของพวกเขา กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลย

อีเมลล์ของพวกเขา ดูตลก และเหมือนจะส่งมาจากคนๆเดียว

Jordan CoSchedule newsletter

ข้อความที่ทำให้เกิดการตอบสนอง

บอกผู้อ่านให้ชัดเจนว่าต้องทำอะไรต่อไป…..

เช่น การใช้คำเหล่านี้ …การสมัครทดลองใช้ฟรี , อ่านบทความในบล็อก หรือทำการซื้อสินค้า

มีประโยคทิ้งท้าย

คนส่วนใหญ่จะอดใจไม่ได้ที่จะต้องอ่านประโยคทิ้งท้าย เช่น ปล.

นั่นเป็นเหตุผลที่จะต้องมีประโยคทิ้งท้ายเอาไว้เสมอ เพื่อสรุปข้อเสนอต่างๆ ไว้

นี่คือตัวอย่างประโยคทิ้งท้าย

Backlinko newsletter – P.S.

ไปดูเทมเพลตตัวถัดไปกันเลย

หน้าแรก

นี่คือ วิธีการสร้างเพจให้มีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นหน้าการบริการ หรือ หน้าสมัครรับข่าวสาร

Landing Page Template

เรามาแยกย่อยแต่ละองค์ประกอบกันเลย

หัวข้อชัดเจน = ผลลัพธ์ชัดเจน

หััวข้อของคุณควรจะบอกให้ชัดเจนว่าคนอ่านจะได้รับอะไรจากหัวข้อนี้บ้าง

ตัวอย่าง :

Growth Mentor – Headline

การยืนยันจากผู้ใช้งานจริง

การนำเอารีวิวหรือหลักฐานว่า มีคนเคยใช้บริการของคุณ จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น และเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ทันที

ตัวอย่าง :

Buzzsumo – Homepage – Clients

เขียนให้มีความดึงดูดใจ

เนื้อหาหลักของคุณ ควรจะมีเนื้อหา ดังนี้ ปัญหา : กระตุ้น : และ สรุป เริ่มต้นด้วยปัญหาอันดับ 1 ของลูกค้าของคุณ เน้นย้ำว่าปัญหานั้นน่ารำคาญแค่ไหน และกระตุ้นว่ามันคือปัญหาที่ควรแก้ไข หลังจากนั้นจึงแนะนำผลิตภัณฑ์ของคุณ

การเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนปัญหาของลูกค้า และเสนอข้อแก้ไข

ตัวอย่าง :

Truvani – Marine Collagen – Copy

ปุ่มกระตุ้นการตัดสินใจ

บอกผู้อ่านของคุณให้ชัดเจนว่าต้องทำอะไรต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการนัดหมายสาธิต การซื้อสินค้า หรือการลงทะเบียน หรือ ปุ่มสั่งสินค้า เพิ่มลงตะกร้า เป็นต้น

บล็อคโพสต์

นี่คือเทมเพลตที่คุณสามารถใช้ในการสร้างบทความบล็อกที่ดึงดูดและเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม

Blog Post Template

มาดูกันทีละหัวข้อกันเลย

หัวข้อแบบเจาะจง

บอกผู้อ่านของคุณให้ชัดเจนว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้อะไร การเจาะจงมากขึ้นจะทำให้ได้คลิกมากขึ้น

ตัวอย่าง :

Skyscraper technique 2.0 headline

บทนำสั้นๆ

บทนำ ไม่ควรเกิน 8 บรรทัด

บทนำ สั้น และ แสดงตัวอย่างบางส่วน

บทนำของคุณ ควรจะขยายความหัวข้อให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่าง :

Actionable SEO tips – Intro

เนื้อหาที่กระตุ้นให้ทำ

เขียนโพสต์ของคุณด้วยเคล็ดลับ เทคนิค และกลยุทธ์ที่ผู้คนสามารถนำไปใช้ได้ทันที

ตัวอย่างเช่น โพสต์ในภาพด้านล่างที่ เกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ จะไม่มีคำแนะนำที่คลุมเคลือหรือเพ้อฝันเกินความจริงเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริงทันที

Increase website traffic – Actionable tips

ตัวอย่างที่หลากหลาย

ตัวอย่างที่หลากหลายจะทำให้เนื้อหาของคุณเข้าใจง่ายขึ้น

นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมโพสต์ของ Seo Guru จึงมีตัวอย่างในเนื้อหาเยอะ

Examples in Backlinko post

ข้อความกระตุ้นให้ตัดสินใจ

ข้อความ ขอให้ผู้อ่านของคุณแสดงความคิดเห็น สมัครรับข่าวสาร หรือทั้งสองอย่าง

อีเมลล์สร้างความประทับใจให้ลูกค้า

นี่คือลักษณะการจัดโครงสร้างอีเมลล์สำหรับคอร์สออนไลน์, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, จดหมายข่าวที่ต้องชำระเงิน และอื่นๆ

Sales Letter Template

หัวข้อที่น่าสนใจ

ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านด้วยหัวข้อที่โดดเด่น

หัวข้อของคุณควรจะระบุว่า ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

ตัวอย่าง :

Renegade diet book – Headline promise

การเริ่มต้นเนื้อหาให้มีความน่าสนใจ

เริ่มต้นเนื้อหาด้วย สถานที่ สถิติ หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้อ่านให้สามารถจินตนาการออก

ตัวอย่าง :

Nerdfitness Academy – Overview page

“D” and “A” from AIDA

หัวข้อและข้อความเริ่มต้น ควรจะมีความน่าสนใจ ตามหลัก AIDA

ในส่วนกลางของจดหมายขายหรือข้อความโฆษณา ควรเน้นการสร้างความต้องการในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ และกระตุ้นให้ผู้อ่านรู้สึกอยากซื้อหรือดำเนินการอะไรบางอย่าง เช่น คลิกเพื่อซื้อ หรือทำการลงทะเบียน

หัวข้อย่อย

ใช้ลิสต์หัวข้อย่อยในบทความของคุณ

ตัวอย่างการใช้งาน

Mental Mastery page – Bullets

คำแนะนำจากผู้ใช้

คำแนะนำจากผู้ใช้จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความไว้ใจให้กับผู้ใช้คนอื่นได้

ตัวอย่างจากผู้ใช้จริง :

How to talk to anybody – Testimonial

การรับประกันความเสี่ยง

การใช้ข้อเสนอที่ลดความเสี่ยงสำหรับลูกค้า เช่น การรับประกันคืนเงิน, การรับประกัน 60 วัน, การลองใช้สินค้าหรือบริการก่อนตัดสินใจจริง ช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจและมั่นใจในการตัดสินใจสมัครหรือซื้อสินค้า

ข้อความกระตุ้นให้ตัดสินใจ

ข้อความหรือคำสั่งที่กระตุ้นให้ผู้อ่านหรือผู้ชมทำการกระทำบางอย่าง เช่น การคลิกเพื่อซื้อสินค้า ลงทะเบียน หรือสมัครรับข่าวสาร

บทที่ 8 : กลยุทธ์การเขียนคำโฆษณาขั้นสูง

เราได้พูดถึงขั้นตอนเบื้องต้นไปแล้ว

และตอนนี้ถึงเวลาในการพัฒนาทักษะการเขียนคำโฆษณาขั้นสูง

ในบทนี้เราจะมาพูดถึง กลยุทธ์และเทคนิคการเขียนคำโฆษณาที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเลย

image 12

ใช้ตัวเลขที่น่าสนใจ

คือ การใช้ตัวเอง ที่ไม่ใช่ตัวเลขกลมๆ

ตัวอย่าง :

  • 57
  • 8,913
  • 41.9%
  • 12.4

ตามตัวอย่าง ตัวเลขแบบนี้ จะดูน่าเชื่อถือกว่าตัวเลขกลมๆ

New York Times article on odd numbers

นั่นคือเหตุผลที่คุณไม่ควรใช้ตัวเลขกลมในข้อความโฆษณาของคุณ

ตัวอย่างเช่น ภาพด้านล่าง

Find content ideas – Intro

เราอาจจะทำการปัดตัวเลขการเข้าชมเว็บไซต์รายเดือนของเราให้เป็นตัวเลขกลมๆ เช่น ‘มากกว่า 500,000’ ก็ได้ แต่เลือกที่จะใช้แบบนี้แทน

Find content ideas – Intro – Exact number

การขาย ไม่ใช่การโฆษณา

ครั้งหนึ่งเราได้ถามพนักงานขายที่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับเคล็ดลับการขายอันดับ 1 ของเขา

เขาตอบว่า มันไม่ใช่การขาย แต่ คือ การบอก

พูดง่ายๆ คือ อย่าพยายามพูดถึงสินค้าของคุณ

แต่แสดงให้เห็นว่า มันมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

ตัวอย่างเช่น หน้าลงทะเบียนนี้พูดถึงเหตุผลว่าทำไมสกุลเงินดิจิทัลของพวกเขาถึง ถูกออกแบบมาสำหรับคุณ

Eco – Landing page copy

แต่ ผู้พูดยังไม่เข้าใจวิธีการทำงานหรือกระบวนการของสิ่งนั้นๆ ในทางกลับกัน หน้าแรกของ Coinbase แสดงให้คุณเห็นอย่างชัดเจนว่ามันทำงานอย่างไร

Coinbase – Homepage

การเขียนข้อความที่อยู่บนปุ่ม

คนส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ใส่ใจกับข้อความบนปุ่มเลย

และมันคือความผิดพลาด

เพราะ การคลิกปุ่มเป็นการกระทำสุดท้ายที่ผู้ใช้ต้องทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การซื้อสินค้า, การสมัครสมาชิก

และด้วยเหตุนี้ นี่คือวิธีการเขียนข้อความบนปุ่มที่ช่วยเพิ่มการเปลี่ยนแปลง (conversion) อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อความที่ปุ่มจะต้องมีความชัดเจน

ตัวอย่าง :

Backlinko – Homepage offer

อาจจะทำให้ข้อความบนปุ่มเป็น “เรียนรู้เพิ่มเติม”

ซึ่งจะมีความชัดเจนว่า เมื่อกดปุ่มแล้วอะไรจะเกิดขึ้น

Backlinko – Homepage offer button

การทำให้ผลลัพธ์มีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจนเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้หน้าแรกของเว็บไซต์ของเรามีอัตราการแปลงที่สูงถึง 6.64%

Backlinko – Landing page conversions

วิธีการข้าม Friend Zone

พวกเราทุกคนเคยอยู่ใน ‘Friend Zone’ มาก่อน

Friend Zone คือเมื่อคุณชอบใครสักคน และพวกเขาก็ชอบคุณกลับ… แต่เป็นแค่เพื่อน

ก็เหมือนกับสินค้า ลูกค้าอาจจะชอบสินค้าหรือบริการของคุณ แต่ก็จะมองเป็นแค่ตัวเลือก

พวกเขาชอบมัน….แต่ไม่ได้ชอบพอที่จะตัดสินใจซื้อ

ทางออกคืออะไร ?

คือ ต้องทำให้ความสงสัยในตัวสินค้านั้นหายไป เช่น

  • มันแพงเกินไป
  • ยังไม่ใช่เวลาที่จะซื้อ
  • มันจะเห็นผลไหม
  • ยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยน

หลายคนหลีกเลี่ยงและไม่สนใจเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ แทนที่จะทำให้มันหายไป เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น

ตัวอย่าง :

Mental Mastery – Questions

สร้างภาพในจินตนาการ

ให้คิดว่าตัวเอง เป็นนักโฆษณาที่เก่งที่สุดในโลก

ตัวอย่างเช่น ลองดูการเริ่มต้นของบทความบล็อกนี้จาก Marie Forleo

Marie Forleo – Blog post intro

ข้อความนี้ไม่ได้ทำให้เกิดภาพจินตนาการได้ ซึ่งสามารถทำให้มันมีความน่าสนใจมากกว่านี้โดยการทำให้มันเกิดจินตนาการออกมา

Marie Forleo – Blog post intro parts

ลดความกังวลใจเกี่ยวกับราคา

มีวิธีทำ ดังนี้

เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Pittsburgh ศึกษามาว่าการใช้ถ้อยคำในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบังคับ มีผลต่อการตัดสินใจที่จะจ่ายอย่างไรบ้าง

มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่า การจัดส่งตอนกลางคืนต้องมีค่าธรรมเนียมตั้ง 5 ดอลล่าห์ ซึ่งมากเกินไป

และอีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่ามันเพียงแค่ 5 ดอลล่าห์ เท่านั้น

ไม่น่าเชื่อว่า กลุ่มคนที่เห็นว่า “ค่าธรรมเนียมเพียง 5 ดอลล่าห์” ใช้บริการมากกว่า กลุ่มคนที่เห็นว่า “ค่าธรรมเนียมตั้ง 5 ดอลล่าห์” ใช้บริการต่างกันถึง 20%

กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า

การใช้วลีคำว่า เพียง , เล็กน้อย ทำให้รู้สึกว่ามันไม่มากจนเกินไปและส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้าหรือ บริการได้พอสมควร

คุณจะนำเรื่องนี้เข้ามาปรับใช้ในการเขียนบทความของคุณได้อย่างไร ?

สมมติว่าคุณมีค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการที่คุณต้องการลดให้เหลือน้อยที่สุด ให้ใช้คำที่แสดงว่ามันเป็นอะไรที่เล็กน้อย เช่น คำว่า เพียง หรือ คำว่า แค่

ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าหรือ บริการที่มากขึ้น

ทำให้คอมเม้นสินค้าของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 10 เท่า

ตามข้อมูลจาก Bigcommerce, คอมเม้นจากลูกค้าและกรณีศึกษาสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 62%

ถ้าคุณใช้มันอย่างถูกวิธี

แต่คอมเม้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะแบบนี้

Average Testimonial

มันอาจจะไม่ส่งผลดีอะไรกับการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ แต่คุณสามารถปรับปรุงสินค้าหรือบริการตามคอมเม้นของลูกค้าได้

Proven Testimonial Formula

จากภาพด้านบน มีวิธีการทำอยู่ 3 แบบ

อันดับแรก คือ จะต้องเกิดปัญหาขึ้นมาก่อน

คือ ลูกค้าจะแชร์ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมาเจอสินค้าหรือบริการของคุณ

ตัวอย่าง :

Justin testimonial – Before

ขั้นตอนหลังจากนี้ คือ

การอธิบายผลลัพธ์ที่ชัดเจน หลังจากที่ลูกค้าได้ใช้ผลิตภัณฑ์ หรือ บริการของคุณแล้ว

Emily testimonial – After

ขั้นตอนสุดท้ายคือ การให้ลูกค้าแชร์ประสบการณ์ที่ดี หลังจากที่ได้ใช้สินค้าของคุณแล้ว

นั่นก็คือ ให้ถามว่า “คุณอยากจะบอกกับคนอื่นที่กำลังตัดสินใจที่จะใช้สินค้านี้ อย่างไรบ้าง”

ตัวอย่าง :

Darell testimonial – Tell someone

เป็นเพราะว่า คอมเม้นเหล่านี้มาจากลูกค้าที่ใช้งานจริง เพราะฉะนั้น มันจึงมีความน่าเชื่อถือมาก

มาสรุปกันดีกว่าว่า คุณจะสามารถเขียนข้อความโฆษณให้ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร

สรุปการเขียนคำโฆษณา 14 ขั้นตอน

  1. ทำการค้นคว้า และทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมาย
  2. เขียนโดยใช้สไตล์การเขียนและภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงกับความคาดหวังของกลุ่มเป้าหมาย
  3. สร้างหัวข้อและหัวเรื่องที่ดึงดูดใจ
  4. เชื่อมโยงกับผู้อ่านโดยการดึงดูดความต้องการของพวกเขา
  5. ใช้คำที่ทำให้กระตุ้นเกิดการซื้อ
  6. ทำการเปรียบเทียบเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความมีประโยชน์
  7. ใช้ตัวเลขที่ไม่ใช่เลขกลมๆ ในการช่วยให้เกิดการตัดสินใจซื้อ
  8. เตรียมรับมือกับข้อกงวล หรือ ข้อสงสัยของลูกค้า โดยแสดงความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการซื้อมากขึ้น
  9. พยายามใช้คำที่โน้มน้าวใจให้มากที่สุด
  10. สื่อสารให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา
  11. ตั้งคำถามที่คาดว่าจะได้รับคำตอบเชิงบวกกลับมา
  12. เน้นหัวข้อหลักตลอดทั้งบทความ อย่าครอบคลุมหลายหัวข้อในบทความเดียว
  13. เขียนให้เป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า กำลังคุยกับคุณอยู่
  14. เน้นประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับ หลังจากที่ทำตามคำแนะนำต่างๆ เช่น การสมัครสมาชิก หรือ การซื้อสินค้า ว่า เมื่อทำแล้วจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง
ระบบ crm

ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับ SEO ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สินค้าหรือบริการของคุณ ปรึกษา SEO GURU ฟรี