Dwell Time มีความสำคัญอย่างไร ส่งผลต่อการจัดอันดับอย่างไรบ้าง

Dwell Time

Dwell Time คืออะไร ?

Dwell Time ใน SEO หมายถึงระยะเวลาที่ผู้เยี่ยมชมใช้ในการเยี่ยมชมหน้าเว็บก่อนที่จะกลับไปยังหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERP) บ่งชี้ถึงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และความเกี่ยวข้องของเนื้อหา ซึ่งส่งผลต่ออันดับ เนื่องจากเวลาที่ใช้ในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่นานขึ้นบ่งชี้ว่าเนื้อหานั้นตอบสนองความต้องการในการค้นหาของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากการรั่วไหลของ Google Search API ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ การเพิ่มประสิทธิภาพเวลาที่ใช้ในการเยี่ยมชมเว็บไซต์จึงมีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณค้นหา “คุกกี้ไร้ธัญพืช” ใน Google

image 28

ผลการค้นหาแรกน่าเชื่อถือ ทำให้คุณอยากคลิกเข้าไป

image 29

แต่เมื่อเข้าไปแล้ว เนื้อหาไม่มีประโยชน์ หน้าเว็บไม่สวยงาม ใช้งานยาก ดูไม่มีประโยชน์อะไร

image 30

คุณอยู่ในหน้านั้นเพียง 5 วินาที ก็คลิกกลับไปยังหน้าผลการค้นหา

image 31

คุณอยู่ในนั้นเพียง 5 วินาที ทำให้ Google รู้ว่าคุณไม่พอใจในผลการค้นหานี้

สมมติว่า คุณคลิกเข้าไปในผลการค้นหา อันดับที่ 2

image 32

ครั้งนี้มีเนื้อหาที่ดีมาก หน้าเว็บก็ใช้งานง่าย

image 33

และคุณใช้เวลาอยู่ในหน้านี้ 4 นาที 37 วินาที และอ่านทุกคำ…จากนั้นค่อยคลิกกลับไปที่หน้าผลการค้นหา

image 34

เวลาที่ใช้ในการเยี่ยมชมเว็บไซต์นานพอที่จะทำให้ Google รู้ว่าคุณได้รับประโยชน์มากมายจากผลการค้นหานั้น

และหากคนอื่นๆ อีกจำนวนมากใช้เวลานานบนหน้าเพจนั้น Google จะยกระดับการจัดอันดับของหน้าเพจนั้น

image 35

แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องรู้ คือ Dwell Time และ Bounce Rate คล้ายกัน… แต่ไม่เหมือนกัน

Bounce Rate คือ การที่คนเข้ามายยังหน้าเว็บแล้วไม่มีการคลิกใดๆ เกิดขึ้น แล้วก็ออกไปทันที

image 36

ไม่ว่าบุคคลนั้นจะใช้เวลา 2 วินาทีหรือ 2 ชั่วโมงบนหน้าเพจก็ตาม หากผู้ใช้คลิกย้อนกลับไปยังผลการค้นหาก็คือ Bounce Rate

งานวิจัยปัจจัยการจัดอันดับ พบว่าการจัดอันดับของ Google กับ Bounce Rate มีความสัมพันธ์กัน

image 37

แต่กรณีนั้นน่าจะเป็นความสัมพันธ์… ไม่ใช่สาเหตุ นั่นเป็นเพราะว่า Bounce Rate ไม่สามารถบอกได้ว่า คุณพอใจกับผลการค้นหานั้นหรือไม่

แต่ Dwell Time บอกได้

ทำไม Dwell Time ถึงมีความสำคัญ

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า เครื่องมือค้นหา หรือ เสิร์ชเอนจิ้น (เช่น Bing) ใช้เวลาที่ใช้ในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ (Dwell Time) เป็นหนึ่งในอัลกอลึทึ่ม

image 38

คำถามคือ….

Google สนใจเรื่อง Dwell Time หรือไม่?

พวกเขาไม่เคยยืนยันหรือปฏิเสธอะไรเกี่ยวกับ Dwell Time อย่างเป็นทางการมาก่อน

แต่มีบางอย่างบ่งชี้ว่า Google ใช้ Dwell Time เป็นสิ่งหนึ่งในการจัดอันดับ

ตัวอย่างเช่น วิศวกรของ Google คนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า…

google-logo-square

ในตอนที่ Gooogle ถูกคิดค้นขึ้นมา พวกเขาได้เขียนถึงหลักการตัดสินใจในการที่ Google จะนำมาจัดอันดับ ซึ่งมันใช้งานได้ค่อนข้างดี

แต่ตอนนี้ Google ผสมผสานหลักการหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นจึงเชื่อว่าเวลาที่คนคลิกและการใช้เวลาอยู่ในหน้าเว็บไซต์นั้น มีความสัมพันธ์กัน

พูดอีกอย่างคือ…

อัลกอริทึมการเรียนรู้ของ Google (RankBrain) ให้ความสำคัญอย่างมากกับระยะเวลาที่ผู้คนใช้บนหน้าเพจ

( พูดอีกอย่างคือ เวลาที่ใช้บนหน้าเพจ )

นอกจากนี้ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา Google ได้เปิดตัวคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจซึ่งช่วยให้คุณซ่อนเว็บไซต์เฉพาะจาก SERPs

image 39

แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่ามันคือการซ่อนเว็บไซต์

ถ้าคุณออกจากหน้าเว็บอย่างรวดเร็ว Google จะขอให้คุณบล็อคเว็บไซต์นั้น

image 41

นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเวลาที่ใช้บนหน้าเว็บมากแค่ไหน

สุดท้าย เราได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ที่น่าสนใจซึ่งเผยแพร่บน Moz

งานวิจัยนี้พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ (หรือที่เรียกว่า “Time on site”) กับการจัดอันดับของ Google

image 42

ต่อไป….นี่คือวิธีปรับปรุงเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ของคุณ

วิธีปฏิบัติที่ได้ผลที่สุด

การนำเสนอที่น่าดึงดูด ( The PPT Formula )

ถ้าคุณต้องการให้ผู้คนใช้เวลานานบนเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องดึงดูดพวกเขาตั้งแต่แรก

และนั่นคือจุดที่ “The PPT Formula” เข้ามาช่วย

ตัวอย่าง

image 43

มาดูกันไปทีละส่วน

บรรทัดแรกของเนื้อหาของคุณควรเป็น บทสรุปสั้นๆ ของเนื้อหาของคุณ

บทสรุปสั้นๆ นี้จะช่วยให้ผู้ค้นหาของ Google รู้ว่าเนื้อหาของคุณตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังต้องการหา

ดังนั้น พวกเขาจะอยู่ในหน้านี้ต่อ

นี่คือตัวอย่าง

image 44

สองบรรทัดถัดไป ถ้าเนื้อหานั้นน่าสนใจ จะทำให้บทความของคุณมีความน่าเชื่อถือ

image 45

สุดท้าย จบหัวข้อ และยิงประเด็นเข้าหัวข้อต่อไป

การเปลี่ยนแปลงนี้จะค่อยๆ นำผู้อ่านจากบทนำไปสู่ส่วนถัดไปของเนื้อหาของคุณ
ตัวอย่าง

image 46

ซึ่งต้องขอบคุณหลักการ The PPT Formula ที่ทำให้คนใช้เวลาอยู่ในหน้านี้ทั้งหมด 6 นาที 58 วินาที

image 47

การมีวิดีโอ

การเพิ่มหรือ มีวิดีโอเข้าไปยังหน้าเว็บ จะช่วยให้คนใช้เวลาในหน้าเว็บของคุณได้นานมากขึ้น

บล็อกของ Wistia เพิ่มเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บได้ถึง 260% เพียงแค่เพิ่มวิดีโอลงในเนื้อหา

image 48

มีหลายวิธีที่จะเพิ่มวิดีโอลงไปหน้าเว็บไซต์

วิธีแรก คุณสามารถใช้วิดีโอ แทนที่ เนื้อหาข้อความ

ตัวอย่างเช่น การใช้วิดีโออธิบายเทคนิค SEO จากโพสต์นี้

image 49

วิดีโอนี้มีความยาว 1 นาที 13 วินาที

image 50

ดังนั้น หากมีคนดูวิดีโอนั้นทั้งหมด (ซึ่งหลายคนทำ) นั่นคือการเพิ่มเวลาบนหน้าเว็บอย่างง่ายดาย 1 นาทีขึ้นไป

นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพิ่มวิดีโอไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ด้วย

ตัวอย่าง

image 51

แทนที่จะลิงก์ไปยังโพสต์ในบล็อก แต่เลือกที่จะเพิ่มวิดีโอ YouTube ที่อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด

image 52

เขียนเนื้อหาให้ยาวขึ้น

นี่เป็นวิธีง่ายๆ

การอ่านบทความ 3,000 คำ ใช้เวลานานกว่าการอ่านบทความ 300 คำอยู่แล้ว

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ไม่ได้หมายความว่า ให้ยัดเยียดเนื้อหา ที่ไร้สาระ และไม่มีประโยชน์ลงไป แทนที่จะทำแบบนั้น คุณควรเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณภาพ รายละเอียดครบถ้วน และลึกซึ้ง

ตัวอย่างเช่น บทความนี้มีความยาว 4,732 คำ

image

แม้ว่าบทความนี้จะค่อนข้างยาว แต่ก็เต็มไปด้วยเนื้อหาที่มีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้จริง

image 1

ทำให้มีคนใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 04:21 นาที

image 2

ชุมชนและความคิดเห็น

พนักงาน Google คนหนึ่งเคยกล่าวว่าชุมชนสามารถ “ช่วยเหลือ” ในการจัดอันดับได้มาก

image 3

อาจจะไม่ใช่โดยตรง แต่มีผลกระทบทางอ้อมแน่นอน

หรือเพราะมีการเคลื่อนไหวของชุมชน จึงทำให้มีอันดับที่ดีในทางอ้อม

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จากประสบ การมีชุมชนจะ ช่วยเพิ่มเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บของคุณอย่างแน่นอน

อันดับแรก ความคิดเห็นหรือคอมเม้น ก็เป็นเนื้อหาที่ผู้คนอยากอ่าน
ตัวอย่างเช่น การมีคอมเม้นตอบกลับกันไปมาแบบนี้ ทำให้คนอยากอ่าน และใช้เวลาบนหน้าเว็บไซต์นานขึ้น

image 4

นอกจากนี้ ผู้คนที่แสดงความคิดเห็นจะใช้เวลานานขึ้นบนหน้าเพจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บของคุณ

การเพิ่มความเร็วหน้าเว็บ

เป็นที่รู้กันดีว่าผู้คนออนไลน์ไม่มีความอดทน และหากเว็บไซต์ของคุณใช้เวลานานในการโหลด ผู้คนจะคลิกออกไปก่อนที่จะอ่านคำแรก

นั่นทำให้คุณต้องทำการปรับปรุงความเร็วบนหน้าเว็บของตัวเอง

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (PageSpeed) มีผลกระทบในการจัดอันดับโดยตรง

image 5

และมันส่งผลกระทบต่อการที่ผู้เยี่ยมชมของคุณจะอยู่ต่อหรือไม่

นั่นคือเหตุผลที่การทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ของคุณ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : page speed คืออะไร สำคัญกับการทำ seo มากขนาดไหน ?

แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ

เมื่อมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ จะทำให้อ่านง่าย

ตัอย่าง เช่น บทความนี้

image 6

คือการใช้ H2 เพื่อแบ่งหัวข้อย่อยให้ชัดเจน

image 7

นอกจากนี้ การใช้ bullet points เพื่อทำให้ข้อมูลจำนวนมากอ่านง่ายขึ้น

image 8

และสุดท้าย การใช้ภาพจำนวนมาก

image 9

ภาพเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้คนนำเนื้อหาไปใช้เท่านั้น แต่ยังแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อยๆ อีกด้วย

การปรับให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานบนมือถือ

มันอาจจะดูง่าย แต่ยังมีรายละเอียดอีกเยอะที่คุณควรรู้

ถ้าเว็บไซต์ของคุณใช้งานยาก ผู้คนจะไม่อยู่ต่อ

น่าเสียดายที่ยังเห็นเว็บไซต์จำนวนมากที่ยังไม่ได้ปรับให้เหมาะกับมือถือ

เพื่อตรวจสอบว่าหน้าของคุณเหมาะสมสำหรับอุปกรณ์มือถือหรือไม่ ให้ไปที่ Google Search Console

image 10

คลิกที่ การใช้งานบนมือถือ

image 11

และมันจะบอกคุณว่าหน้าใดบนเว็บไซต์ของคุณที่ Google คิดว่าใช้งานบนมือถือไม่ได้คุณภาพ

image 12

…คุณจะได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหา… และขั้นตอนในการแก้ไข

image 13

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับ Mobile SEO เคล็ดลับและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด

การวัดเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนหน้าเว็บ

การวัด Dwell Time ทำได้อย่างไร

ไม่มีรายงาน “Dwell Time” โดยตรงใน Google Analytics หรือ Google Search Console

หรือ อาจจะพูดได้ว่า

Google Analytics สามารถบอกระยะเวลาเฉลี่ยของเซสชัน (Avg. Session Duration) บนเว็บไซต์ของคุณได้

ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับ Dwell Time

มีวิธีการทำ ดังนี้

ขั้นตอนแรก เข้าสู่ระบบก่อน

image 14

และคลิกที่ “พฤติกรรม” → “เนื้อหาของไซต์” → “หน้า Landing Page”

image 15

จากนั้น ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย (Segment) เพื่อดูเฉพาะ “ทราฟฟิกแบบ Organic”

image 16

และคุณจะสามารถดูได้อย่างแม่นยำว่าผู้ค้นหาของ Google ใช้เวลานานแค่ไหนบนแต่ละหน้าของเว็บไซต์ของคุณ

image 17

จะนำข้อมูลนี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

อันดับแรก ดูว่าอะไรกำลังทำงานได้ดี… แล้วนำไปใช้กับหน้าอื่นๆ

ตัวอย่าง

image 18

และสามารถเห็นอย่างละเอียดว่า

  • มันถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ
  • หน้าเว็บนี้มีภาพที่ออกแบบเองจำนวนมาก
  • ได้กล่าวถึงคำพูดและข้อความมากมายจาก YouTube
  • ใช้ลิงก์ภายในเพื่อแนะนำเนื้อหาอื่นๆ ที่ผู้คนอาจต้องการอ่าน

คุณยังสามารถปรับปรุงหน้าเว็บที่มี Dwell Time ที่ไม่ดีได้ด้วย

ตัวอย่าง

image 19

ภาพด้านบน คือหน้าที่จะต้องปรับปรุง

หากเนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ควรรื้อเนื้อหาทั้งหมด

ระยะเวลาที่ผู้ใช้งานอยู่บนหน้าเว็บที่ดี เป็นยังไง

ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

ระยะเวลาที่ดีในการเข้าชมเว็บไซต์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมถึง…

  • กลุ่มเป้าหมายของคุณ
  • ประเภทของเนื้อหา
  • คำค้นหาที่ผู้คนใช้ในการค้นหาหน้าของคุณ
  • แนวโน้มตามฤดูกาล
  • และอื่นๆ

ดังนั้น แทนที่จะไปกังวลกับตัวเลขอันดับ เอาเวลาไปปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพโดยใช้กลยุทธ์ที่เพิ่งอ่านไปใช้งานดีกว่า

ติดต่อ SEOGURU LINE

ปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ สำหรับหน้าเว็บไซต์ของคุณ ติดต่อที่ LINE Seo guru