Google Search Results วิเคราะห์ผลการค้นหา Google ทำ SEO วิธีไหนดีที่สุด

Google Search Results วิเคราะห์ผลการค้นหา Google

Google Search Results คือ การวิเคราะห์ผลการค้นหา Google เนื่องจากสิ่งที่หลายคนกำลังหาคำตอบและเรียนรู้มาโดยตลอด จากสถิติของ FirstPage พบว่า ในปี 2023 การติดอันดับแรกของผลการค้นหา (SERP) ในแต่ละกลุ่มตลาดมีอัตราการคลิก (CTR) สูงถึง 39.8%

ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนการเข้าชมที่มหาศาล ในขณะที่อันดับที่ 2 และ 2 ได้รับอัตราการคลิกเพียง 18.7% และ 10.2% เท่านั้น

แม้ว่าปริมาณการค้นหาจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อการจัดอันดับ สิ่งที่สำคัญคือ การได้ตำแหน่งศูนย์ (Position Zero) หรือที่หลายคนเรียก Featured Snippets ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่สามารถดึงดูดทราฟฟิกไปยังเว็บไซต์ของคุณได้มากที่สุด

0google-ctr-stats-hero

Table of Contents

CTR ที่ดีสำหรับการทำ SEO คือเท่าไหร่ ?

โดยเฉลี่ยแล้ว CTR ที่สูงกว่า 3% ถือว่าเป็นค่า CTR ที่ดีสำหรับ SEO

พูดง่ายๆ ก็คือ หากมีผู้พบเห็นเว็บไซต์ของคุณ 100 คน จะต้องมีอย่างน้อย 3 คนที่คลิกเข้าชม

CTR แบบออร์แกนิก (Organic CTR) คืออะไร ?

Organic CTR แบบออร์แกนิก หมายถึง จำนวนคลิกที่ได้รับจากคำค้นหาในวันเดียวกัน หารด้วยจำนวนครั้งที่ลิงก์นั้นปรากฏบนหน้าผลการค้นหา (SERP) หรือที่เรียกว่า “อิมเพรสชัน (impressions)”

1Semrush-CTR-1

เราได้วิเคราะห์ผลการค้นหาของ Google Search Results จำนวน 4 ล้านรายการ เพื่อทำความเข้าใจอัตราการคลิกผ่านแบบออร์แกนิก (Organic Click-Through Rate หรือ CTR) ให้ดียิ่งขึ้นว่ามีขั้นตอนอย่างไร

เราวิเคราะห์ข้อมูล CTR จากหน้าเว็บ 1,312,881 หน้า และคำค้นหา 12,166,560 รายการ

จากนั้น เราพิจารณาว่าปัจจัยต่างๆ เช่น ความยาวของแท็กชื่อ (title tag), ความรู้สึก (sentiment) และคำอธิบายเมตา (meta descriptions) ว่ามันส่งผลต่อ CTR แบบออร์แกนิกอย่างไร ?

ด้วยข้อมูลที่ได้รับจาก Semrush ทำให้เราสามารถรับข้อมูลค่า CTR จากบัญชี Google Search Console หลายบัญชีได้

ผลการค้นพบหลักๆที่ได้เราได้จาก Google Search Results

  1. ผลลัพธ์อันดับ 1 ในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกของ Google มีอัตราการคลิกผ่าน (CTR) เฉลี่ย 27.6%
  2. ผลลัพธ์ออร์แกนิกอันดับ 1 มีโอกาสได้รับการคลิกมากกว่าหน้าเว็บในอันดับ 10 ถึง 10 เท่า
  3. CTR แบบออร์แกนิก สำหรับอันดับ 8-10 แทบจะไม่แตกต่างกันเลย ดังนั้น การเลื่อนขึ้นไปสองสามอันดับที่ด้านล่างของหน้าแรก อาจไม่ส่งผลให้มีการเข้าชมแบบออร์แกนิกมากขึ้น
  4. โดยเฉลี่ย การเลื่อนขึ้น 1 อันดับในผลการค้นหาจะเพิ่ม CTR 2.8% อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลื่อนจากตำแหน่งใดไปตำแหน่งใด การเลื่อนจากอันดับ 3 ไปยังอันดับ 2 มักจะส่งผลให้ CTR เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การเลื่อนจากอันดับ 10 ไปยังอันดับ 9 ไม่สร้างความแตกต่างทางสถิติ
  5. ชื่อเรื่องที่มีและไม่มีคำถามมี CTR ที่คล้ายคลึงกัน
  6. แท็กชื่อที่มีความยาวระหว่าง 40 ถึง 60 ตัวอักษรมี CTR สูงที่สุด จากข้อมูลพบว่า หน้าเว็บที่มีความยาวแท็กชื่อระหว่าง 40 ถึง 60 ตัวอักษรมี CTR สูงกว่า เมื่อเทียบกับหน้าเว็บที่มีความยาวที่เกินกว่าที่ระบุไว้
  7. คีย์เวิร์ดยาวกว่ามีแนวโน้มที่จะมี CTR สูงกว่า คำค้นหาที่มีความยาวระหว่าง 10-15 คำ ได้รับการคลิกมากกว่าคำศัพท์คำเดียวถึง 1.76 เท่า
  8. URL ที่มีคำศัพท์คล้ายกับคียเวิร์ดมีอัตราการคลิกผ่านสูงกว่า 45% เมื่อเทียบกับ URL ที่ไม่มีคีย์เวิร์ด
  9. ชื่อเรื่องเชิงบวก อาจเพิ่มค่า CTR ของคุณได้ เราพบว่าชื่อเรื่องที่มีความรู้สึกเชิงบวกเพิ่มค่า CTR ได้ประมาณ 4%

ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google ที่ได้รับการคลิก 27.6% ของการคลิกทั้งหมด

จากชุดข้อมูลทั้งหมดของเราประมาณ 4 ล้านผลลัพธ์ เราพบว่าผลลัพธ์อันดับ 1 มี CTR สูงเอามากๆ

2the-number-one-result-in-google-has-the-highest-organic-ctr

และเรายังเห็นว่าค่า CTR ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อผลการค้นหาต้นอยู่ในหน้าที่ 2

3few-google-searchers-visit-the-2nd-page-and-beyond

ในความเป็นจริง มีผู้ค้นหา Google เพียง 0.63% เท่านั้น ที่คลิกเข้าเว็บไซต์ในหน้าที่ 2

แนวโน้ม CTR นี้สอดคล้องกับการศึกษา CTR ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การศึกษาจาก Advanced Web Ranking

4advancedwebranking-ctr-study

และหลังจากที่เราวิเคราะห์ Google Search Results ข้อมูลที่ได้รับการหาข้อมูล เราพบว่าผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google มี CTR สูงถึง 27.6%

5the-first-result-in-google-has-a-ctr-of-28-percent

นี่คือรายละเอียด CTR ทั้งหมดสำหรับผลลัพธ์ออร์แกนิกหน้าแรกของ Google

6google-organic-ctr-breakdown-by-position

ตามที่คุณได้เห็น ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google มี CTR สูงกว่าผลลัพธ์อันดับ 10 ถึง 10 เท่า

สำหรับใครก็ตามที่ทำงานในด้าน SEO มาสักระยะหนึ่ง การค้นพบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ นั่นเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการจัดอันดับที่ 1 มีค่ามากกว่าตำแหน่งอื่นๆ

7organic-ctr-for-branded-keywords-or-homepages

CTR ของอันดับ 1 สูงกว่าอันดับอื่นๆหลายเท่า สำหรับคำค้นหาที่มีแบรนด์เมื่อเทียบกับคำค้นหาที่ไม่มีแบรนด์ นี่อาจเป็นเพราะข้อเท็จจริง ที่ว่าสิ่งเหล่าเป็นการค้นหาเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น

ประเด็นสำคัญ : ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google ได้รับการคลิก 27.6% ของการคลิกทั้งหมด

CTR แบบออร์แกนิกพุ่งสูงขึ้นที่ตำแหน่ง 8  และอีกครั้งที่ตำแหน่งที่ 2

อย่างที่ทุกคนได้รู้ ผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Google มี CTR สูงที่สุด

อย่างไรก็ตาม ยังมีการคลิกที่ได้รับค่าออแกนิกที่นอกเหนืออันดับ 1 บน Google อีกด้วย

หลายคนอาจไม่เชื่อถือที่ด้านล่างสุดของหน้าแรก ในตำแหน่งที่ 8 , 9 และ 10 มีการพุ่งสูงขึ้นของ CTR โดยเริ่มต้นตั้งแต่อันดับ 8

8organic-ctr-spikes-at-position

สิ่งนี้บ่งชี้ถึง 2 สิ่ง

  1. ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้ดูที่ด้านล่างของ SERPs (หน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา)
  2. การเลื่อนขึ้นจากตำแหน่ง 9 ไปยัง 8 อาจส่งผลให้ CTR เพิ่มขึ้น

**แต่เราพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของค่า CTR อย่างรวดเร็วอีก ครั้งเมื่อเริ่มต้นที่ตำแหน่ง 2

9organic-ctr-spikes-at-position-2

นี่อาจเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่า สำหรับผลลัพธ์ที่ไม่มีโฆษณาหรือฟีเจอร์ SERP ผลลัพธ์ในอันดับที่ 2 มักจะปรากฏเหนือส่วนที่มองเห็นได้โดยไม่ต้องเลื่อน (above the fold)

10google-serp-2nd-result-above-fold

ในความเป็นจริง เราพบว่าผลการค้นหา 3 อันดับแรกของ Google ได้รับการคลิก 54.4% ของการคลิกทั้งหมด

11the-top-3-google-search-results-get-54-percent-of-all-clicks

ประเด็นสำคัญ : ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า “การจัดอันดับบนหน้าแรก” อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในการทำ SEO แต่ทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดอันดับในตำแหน่งสูงสุด (หรืออย่างน้อยใน 2 อันดับแรก) และยังได้รู้ว่าผลลัพธ์ออร์แกนิกในอันดับ 3 ได้รับการคลิกมากกว่าครึ่งหนึ่ง

การเลื่อนขึ้นหนึ่งตำแหน่งช่วยเพิ่ม CTR มากถึง 32.3%

มีการค้นพบเมื่อปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อ CTR เมื่อมีการเลื่อนขึ้นหนึ่งตำแหน่งใน Google จะเพิ่ม CTR ได้มากถึง 32.3%

12moving-up-one-position-increases-ctr-by-32-percent

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ CTR ไม่สามารถใช้ได้กับการค้นหาทุกคีย์เวิร์ด ขึ้นอยู่กับบางคำค้นหาเท่านั้น

ผลกระทบของ CTR จากการเลื่อนขึ้นใน SERPs (หน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา) แตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับตำแหน่ง

13increase-in-expected-ctr-from-moving-up-one-position-in-google

ตัวอย่างเช่น การเลื่อนจากตำแหน่ง 10 ไปยัง 9 จะส่งผลให้มีการคลิกเพิ่มขึ้น 11%

อย่างไรก็ตาม การเลื่อนขึ้นจาก 2 ไปยังตำแหน่ง 1 จะส่งผลให้มีการคลิกเพิ่มขึ้น 74.5%

ประเด็นสำคัญ : การเลื่อนขึ้นหนึ่งตำแหน่งใน Google จะเพิ่ม CTR โดยเฉลี่ย 2.8% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นนี้แตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับตำแหน่ง เราพบว่าการเพิ่มขึ้นของ CTR ที่มากที่สุด มาจากการเลื่อนจาก 2 ไปยังอันดับ 1 ซึ่งส่งผลให้ CTR เพิ่มขึ้นถึง 74.5%

เว็บไซต์ส่วนใหญ่ได้รับ 25.1 คลิกต่อการค้นหาหนึ่งครั้ง

เรายังได้ตรวจสอบคำค้นหาทั้งหมดที่รายงานใน Google Search Console และดูว่ามีจำนวนเท่าใดที่ส่งผลให้เกิดการคลิก

อันดับแรก เราพบว่าส่วนใหญ่แล้วคำค้นหาที่เว็บไซต์ติดอันดับใน Google มักจะได้รับการแสดงผลเพียงเล็กน้อย

most-gsc-queries-get-few-impressions

ในความเป็นจริง 90.3% ของคำค้นหาทั้งหมดในชุดข้อมูลของเรามีการแสดงผลเพียง 10 ครั้งหรือน้อยกว่านั้น

สิ่งนี้บ่งชี้ว่าคำค้นหาส่วนใหญ่ที่เว็บไซต์ติดอันดับมักเป็นคีย์เวิร์ดแบบหางยาวที่มีปริมาณการค้นหาต่ำ หรือเว็บไซต์ไม่ได้ติดอันดับสูงสำหรับคำเหล่านี้ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน

และเนื่องจากจำนวนการแสดงผลที่ต่ำ คำค้นหาส่วนใหญ่จึงส่งผลให้มีจำนวนคลิกเพียงเล็กน้อย (เฉลี่ย 25.1 คลิกต่อการค้นหาหนึ่งครั้ง)

the-average-click-per-query-is-25-percent

ประเด็นสำคัญ: “การติดอันดับสำหรับ X คีย์เวิร์ด” อาจไม่ใช่ตัวชี้วัด SEO ที่มีคุณค่าเสมอไป เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว หน้าเว็บมักจะติดอันดับในคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาต่ำ ในความเป็นจริง การแสดงผลและจำนวนคลิกส่วนใหญ่มาจากจำนวนคำค้นหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หัวข้อที่เป็นคำถามและไม่เป็นคำถามมีอัตราการคลิก (CTR) ใกล้เคียงกัน

เราได้เปรียบเทียบอัตราการคลิกเฉลี่ย (CTR) ของหัวข้อที่มีและไม่มีคำถาม

(เรานิยาม “คำถาม” ว่าหมายถึงหัวข้อที่มีคำว่า “How, Why, What, Who” หรือมีเครื่องหมายคำถาม)

เราพบว่าหัวข้อที่เป็นคำถามมีอัตราการคลิกสูงกว่าหัวข้อที่ไม่มีคำถามเล็กน้อย

average-ctr-for-different-title-types

นี่คือการแบ่งอัตราการคลิก (CTR) อย่างละเอียดสำหรับผลลัพธ์ 10 อันดับแรก

organic-ctr-of-question-titles-vs-non-question-titles

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของอัตราการคลิก (15.5% เทียบกับ 16.3%) ไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก

การศึกษาด้านอัตราการคลิก (CTR) อื่น ๆ เช่นงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร Social Influence พบว่าหัวข้อที่เป็นคำถามสามารถเพิ่มอัตราการคลิกบนโซเชียลมีเดียได้

social-influence-headline-ctr-study

มีการคาดการณ์ว่าหัวข้อที่เป็นคำถามอาจช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) บน Google ได้เช่นกัน เนื่องจากเมื่อมีคนค้นหาใน Google พวกเขามักจะมองหาคำตอบสำหรับคำถามบางอย่าง

(ท้ายที่สุดแล้ว คำค้นหาเหล่านี้ถูกเรียกว่า “queries” ซึ่งหมายถึงคำถาม)

การใช้หัวข้อที่เป็นคำถามอาจช่วยยืนยันกับผู้อ่านว่าผลลัพธ์ของคุณมีคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของเราไม่ได้สนับสนุนแนวคิดนี้

ประเด็นสำคัญ: แท็กหัวข้อ (Title Tags) ที่เป็นคำถามให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับแท็กหัวข้อที่ไม่ใช่คำถามในแง่ของอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR)

แท็กหัวข้อที่มีความยาวระหว่าง 40-60 ตัวอักษรให้ CTR ที่ดีที่สุด

ความยาวของแท็กหัวข้อที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นเท่าใด? ควรทำให้สั้นและกระชับ หรือใช้หัวข้อที่ยาวซึ่งให้ข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับเนื้อหา?

จากข้อมูลของเรา พบว่าควรเลือกความยาวที่อยู่ตรงกลางพอดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราพบว่าแท็กหัวข้อที่มีความยาวระหว่าง 40-60 ตัวอักษร มีอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR) สูงที่สุด

title-tags-between-40-to-60-characters-have-the-highest-ctr

ผลลัพธ์ที่ได้มีความคล้ายคลึงกันเมื่อพิจารณาจำนวนคำในแท็กหัวข้อ (Title Tag)

title-tags-between-6-to-9-words-have-the-highest-ctr

แม้ว่าแท็กหัวข้อที่ยาวอาจให้ประโยชน์ด้าน SEO (เพราะมีคีย์เวิร์ดมากขึ้น) แต่ข้อดีนี้อาจถูกลดทอนลงเนื่องจากอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR) ที่ต่ำลง

ในความเป็นจริง Etsy ได้ทำการทดสอบรูปแบบแท็กหัวข้อต่างๆ ในการทดลอง SEO ขนาดใหญ่ และพบว่า “ผลลัพธ์ของเราชี้ให้เห็นว่าแท็กหัวข้อที่สั้นให้ผลลัพธ์ดีกว่าแท็กหัวข้อที่ยาว”

etsy-title-tag-variation-test-results-showed-shorter-title-tags-are-better

ผู้เขียนโพสต์ดังกล่าวตั้งข้อสันนิษฐานว่า แท็กหัวข้อที่สั้นกว่าอาจทำงานได้ดีขึ้นบน Google เนื่องจากการจับคู่กับคำค้นหา (Query Matching) อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของเรา พบว่า อัตราการคลิก (CTR) อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หัวข้อสั้นและปานกลางได้ผลดีที่สุด

ประเด็นสำคัญ: แท็กหัวข้อที่มีความยาว 40-60 ตัวอักษร ให้ อัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR) ที่ดีที่สุด โดยหัวข้อที่อยู่ในช่วงนี้มีอัตราการคลิกเฉลี่ยสูงกว่าหัวข้อที่อยู่นอกช่วงนี้ถึง 8.9%

คีย์เวิร์ดที่ยาวกว่ามักมีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่าโดยรวม

เราตัดสินใจตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่าง ความยาวของคีย์เวิร์ด และ อัตราการคลิก (CTR)

สำหรับการวิเคราะห์นี้ เราเน้นเฉพาะ ตำแหน่งอันดับที่ 1 บน Google เท่านั้น

จากแผนภูมิด้านล่าง คุณจะเห็นได้ว่า CTR ของคีย์เวิร์ดที่ยาวกว่าสูงกว่าคีย์เวิร์ดที่สั้นกว่าอย่างชัดเจน

longer-keywords-tend-to-have-a-higher-overall-ctr

ในความเป็นจริง คีย์เวิร์ดที่มีความยาว 10-15 คำ ได้รับคลิกมากกว่าคำค้นหาที่เป็น คำเดียวถึง 2.62 เท่า

สาเหตุหลักเป็นเพราะ คีย์เวิร์ดที่ยาวกว่ามักแสดงถึงเจตนาการค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้รู้แน่ชัดว่ากำลังมองหาอะไร จึงมีแนวโน้มที่จะคลิกมากขึ้น

นอกจากนี้ Google ก็เข้าใจความต้องการของผู้ใช้ด้วย ทำให้มีแนวโน้มที่จะนำเสนอผลลัพธ์ที่ตรงกับคำค้นหามากขึ้น

ในทางกลับกัน คำค้นหาที่เป็นคำสั้นๆ หรือคำกว้างๆ (Broad Terms) มักมี “Mixed Intent” หรือความตั้งใจในการค้นหาที่หลากหลาย ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลื่อนดูผลลัพธ์เพื่อหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาของตนเอง (หรืออาจต้องค้นหาใหม่ด้วยคำค้นหาที่ชัดเจนขึ้น)

ประเด็นสำคัญ: คีย์เวิร์ดที่ยาวกว่าได้รับคลิกมากกว่าคีย์เวิร์ดสั้น ๆ 1.76 เท่า ใน อันดับที่ 1 บนผลการค้นหาแบบออร์แกนิก (Organic SERPs)

URLs ที่มีคีย์เวิร์ดมีแนวโน้มให้ CTR สูงกว่า

เราต้องการตรวจสอบว่า URL ที่มีคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้องกันส่งผลต่อ CTR หรือไม่

ตัวอย่างเช่น หากมีคนค้นหา “weekend trips”

URL อย่าง travel.com/weekend-trips จะมี CTR สูงกว่า travel.com/travel-page หรือไม่?

เพื่อทำการวิเคราะห์นี้ เราเปรียบเทียบคำค้นหากับ URL ของหน้าเว็บ และสร้าง ดัชนีความคล้ายคลึงกัน (Similarity Index) ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 0% ถึง 100%

our-method-for-seeing-if-keyword-rich-urls-positively-impacted-ctr

ค่าความคล้ายคลึงกัน 0% หมายความว่าคำทั้งสองไม่มีความคล้ายคลึงกันเลย ในขณะที่ค่าความคล้ายคลึงกัน 100% หมายถึงการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ โดยเราไม่ได้นำเครื่องหมายวรรคตอนและสัญลักษณ์มาคำนวณ

จากการวิเคราะห์ พบว่า มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่าง URL ที่มีคีย์เวิร์ดและอัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic CTR)

keyword-rich-urls-correlate-with-a-higher-organic-ctr

อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่า มีเพียง 6.3% ของ URL ในตัวอย่างของเราที่มีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 80% ซึ่งหมายความว่า URL เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการคลิก (CTR)

แม้ว่าการจับคู่คีย์เวิร์ดกับคำค้นหาอย่างสมบูรณ์จะให้ค่า CTR สูงสุด แต่ข้อมูลของเรายังแสดงให้เห็นว่า URL ที่มีคีย์เวิร์ดตรงกับคำค้นหาเพียงบางส่วนก็สามารถเพิ่ม CTR ได้อย่างมีนัยสำคัญ

คู่มือ Search Engine Optimization (SEO) ของ Google ได้เตือนให้เว็บมาสเตอร์ทราบว่า URL ของหน้าคุณจะปรากฏในหน้าผลการค้นหา (SERPs) และแนะนำให้ใช้ “URL ที่มีคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ…”

google-recommends-using-urls-with-words-relevant-to-sites-content

และงานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย Microsoft ในปี 2012 พบว่า “โดเมนที่ได้รับความไว้วางใจ” (Trusted Domains) มีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่า บนเครื่องมือค้นหา เมื่อเทียบกับโดเมนที่ผู้ใช้ไม่คุ้นเคย

microsoft-paper-found-trusted-domains-have-higher-ctr

ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือ ผู้ใช้เครื่องมือค้นหามักใช้ URL ของหน้าเว็บเพื่อพิจารณาว่าผลลัพธ์ใดตรงกับคำค้นหาของตนมากที่สุด

ประเด็นสำคัญ: เราพบว่า CTR เพิ่มขึ้นอย่างมากในหน้าที่มี URL ตรงกับคำค้นหาอย่างสมบูรณ์หรือบางส่วน (มีคำค้นหาทั้งหมดอยู่ใน URL) เมื่อเทียบกับ URL ที่ไม่มีคำค้นหาอยู่เลย

หัวข้อที่มีโทนเชิงบวกช่วยเพิ่ม CTR แบบออร์แกนิก

ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า หัวข้อที่มีอารมณ์เชิงบวกมี CTR สูงกว่าหัวข้อที่มีอารมณ์เชิงลบหรือเป็นกลาง

emotional-titles-have-a-higher-organic-click-through-rate

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราพบว่า หัวข้อที่มีโทนเชิงบวกมีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่าหัวข้อที่มีโทนเชิงลบถึง 4.1%

เราใช้ โมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning Models) เพื่อวิเคราะห์อารมณ์ของแต่ละหัวข้อ ตัวอย่างการจำแนกอารมณ์ของหัวข้อมีดังนี้: โทนเชิงบวก (Positive) , โทนเป็นกลาง (Neutral) , โทนเชิงลบ (Negative)

มีงานวิจัยหลายฉบับในอุตสาหกรรม รวมถึงการศึกษานี้จาก BuzzSumo ที่พบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อที่กระตุ้นอารมณ์กับอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement)

buzzsumo-study-found-correlation-between-emotional-headlines-and-engagement

อย่างไรก็ตาม ฉันไม่สามารถหางานวิจัยในอุตสาหกรรมที่เฉพาะเจาะจงที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง หัวข้อที่กระตุ้นอารมณ์ กับ CTR ออร์แกนิกของ Google ได้

และอย่างน้อยตามข้อมูลของเรา หัวข้อที่มีอารมณ์เชิงบวกสามารถทำให้มีอัตราการคลิกที่สูงขึ้นในผลการค้นหาที่เป็นออร์แกนิก

ประเด็นสำคัญ: หัวข้อที่มี อารมณ์เชิงบวก มี CTR ออร์แกนิกที่สูงกว่า หัวข้อที่มี อารมณ์เป็นกลางหรือเชิงลบ

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับ CTR

แม้ว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะไม่รับประกันการจัดอันดับที่สูงที่สุดตามผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาข้างต้น นี่คือบางกลยุทธ์ที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่ม CTR ของคุณและเพิ่มการเข้าชมออร์แกนิก

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ CTR

หลังจากที่เราได้กล่าวถึงผลลัพธ์ของ CTR ไปแล้ว นี่คือเวอร์ชันสรุปของปัจจัยหลักที่ควรพิจารณาเมื่อคุณต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดและโฆษณาของคุณ

1. คุณภาพของเนื้อหา

จำไว้ว่า คุณดึงดูดสิ่งที่คุณให้ เนื้อหาที่มีคุณภาพต้องสามารถ กระตุ้น , ให้ข้อมูล , มีส่วนร่วม และสนับสนุนกลุ่มเป้าหมาย ในยุคที่เนื้อหาถูกสร้างและหมุนเวียนผ่าน AI มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างเนื้อหาที่ แท้จริง , มีคุณค่า และสามารถค้นหาได้

2. การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)

กระบวนการในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ (ในที่นี้คือเว็บไซต์) ที่มอบประสบการณ์ที่มีความหมายและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ภายใต้กรอบนี้ UX ครอบคลุมถึง ฟังก์ชันการทำงาน , การเข้าถึง , การสร้างแบรนด์ , ความสามารถในการใช้งาน และการทำให้การโต้ตอบกับผู้ใช้เร็วขึ้น

3. เวลาในการโหลดเว็บไซต์

ใช้เครื่องมือเช่น PageSpeed Insights เพื่อประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการโหลดหน้าเว็บให้เสร็จสมบูรณ์ พยายามทำให้เวลาโหลดหน้าเว็บอยู่ที่ 0-4 วินาที สำหรับอัตราการแปลงที่ดีที่สุด

Semrush-CTR

4. การศึกษา SEO CTR สำหรับคีย์เวิร์ดที่มีแบรนด์และไม่มีแบรนด์

การศึกษาที่น่าสนใจจาก Search Engine Journal หลังจากการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดกว่า 160,000 คำ จากเว็บไซต์กว่า 400 แห่ง พบว่า คีย์เวิร์ดที่มีแบรนด์ ทำผลงานได้ดีกว่าในอินเทอร์เน็ตโดยรวม ในขณะที่ อีคอมเมิร์ซ จะทำผลงานได้ดีกว่าใน คีย์เวิร์ดที่ไม่มีแบรนด์ บนอุปกรณ์เดสก์ท็อป

Semrush-CTR

5. กลุ่มเป้าหมายและเจตนารมณ์ของการค้นหา

พูดง่ายๆ ก็คือ จุดประสงค์ของการค้นหาคืออะไร? หากคุณหาคำตอบนี้ได้ คุณก็จะสามารถเพิ่ม CTR ในเว็บไซต์ของคุณได้

6. ปริมาณการค้นหาและความนิยมของคีย์เวิร์ด

คำค้นหานั้นมีความต้องการหรือไม่? CTR ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมาย

7. การค้นหาผ่านมือถือ

บ่อยครั้งที่ในสวนสาธารณะและบนท้องถนน คุณจะเห็นผู้คนจำนวนมากที่กำลังค้นหาข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือ ในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 50% ของการค้นหาทั้งหมดเกิดขึ้นบนอุปกรณ์มือถือ ดังนั้น จึงควรสร้างเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือ

8. การปรับแต่งสำหรับอัลกอริธึมและการอัปเดตของเครื่องมือค้นหา

ติดตามแนวโน้มใหม่ๆ ภายในอุตสาหกรรมเครื่องมือค้นหาและอัปเดตเว็บไซต์ของคุณให้สอดคล้องกับการอัปเดตอัลกอริธึมของ Google เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงและเหมาะสมสำหรับการค้นหา

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

คุณคำนวณอัตราการคลิกเฉลี่ย (CTR) ได้อย่างไร?

CTR = จำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับ หารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏ

ดังนั้น:

คลิก ÷ การแสดงผล = CTR

CTR บอกอะไรคุณ?

CTR บอกถึงประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ด, โฆษณา, และรายการฟรี

CTR ที่ดีคืออะไร?

ค่าเฉลี่ย CTR คือ 1.91% สำหรับการค้นหาและ 0.35% สำหรับการแสดงผล ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลทางอุตสาหกรรมที่อิงจากสมการ CTR แต่เปอร์เซ็นต์อาจแตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมาย ตามที่กล่าวไว้ 3% ถือเป็นค่าเฉลี่ย CTR และอะไรก็ตามที่สูงกว่านี้ถือว่าเป็น CTR ที่ดี

สรุป

ผมขอขอบคุณ Semrush อีกครั้งที่ช่วยทำให้การศึกษานี้เป็นไปได้

ตอนนี้ผมอยากได้ยินความคิดเห็นจากคุณ:

อะไรคือข้อสรุปที่สำคัญที่สุดจากการวิจัยนี้ของคุณ?

หรือบางทีคุณอาจมีคำถาม

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ด้านล่าง