ถ้าคุณกำลังเริ่มต้นทำเว็บไซต์หรือวางแผนทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ คำว่า H1 H2 H3 คือ สิ่งแรก ๆ ที่คุณควรเข้าใจให้ถ่องแท้ เพราะมันไม่ใช่แค่การ “เพิ่มหัวเรื่องย่อย” ให้บทความอ่านง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่ออันดับการค้นหาบน Google อย่างมีนัยสำคัญ
วันนี้ SEOGURU จะพาคุณไปรู้จัก heading tag หรือโครงสร้างหัวข้อ H1-H6 ว่าคืออะไร แต่ละระดับใช้อย่างไร และส่งผลกับ SEO อย่างไรบ้าง พร้อมแนะแนวการใช้งานให้ถูกต้องแบบเข้าใจง่ายไม่ต้องเป็นโปรก็ทำได้
H1 H2 H3 คืออะไรในโครงสร้างเว็บไซต์?

คำว่า H1 H2 H3 มาจากภาษา HTML ซึ่งใช้ในการจัดโครงสร้างเว็บไซต์ โดย H ย่อมาจาก “Heading” หรือหัวข้อ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ระดับ ตั้งแต่ H1 ถึง H6 โดยมีลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย
- H1 = หัวข้อหลักที่สุดของหน้านั้น (ควรมีเพียง 1 ครั้ง)
- H2 = หัวข้อรองของ H1 หรือ “หัวข้อย่อย”
- H3 = หัวข้อย่อยของ H2 หรือ “หัวข้อย่อยในหัวข้อย่อย”
- และสามารถใช้ต่อไปได้จนถึง H6 แต่ในทางปฏิบัติคนส่วนใหญ่มักใช้แค่ถึง H3 หรือ H4 ก็เพียงพอ
ตัวอย่างง่าย ๆ ของ H1 H2 H3
H1: วิธีดูแลสุขภาพในวัยทำงาน
H2: การออกกำลังกายที่เหมาะสม
H3: คาร์ดิโอเพื่อความฟิต
H3: เวทเทรนนิ่งสำหรับกล้ามเนื้อ
H2: อาหารที่ควรกินและหลีกเลี่ยง
H3: โปรตีนจากพืช vs โปรตีนจากสัตว์
เห็นไหมครับว่า H1 เหมือนเป็นชื่อเรื่องใหญ่สุด ส่วน H2 ก็คือหัวข้อย่อยของ H1 และ H3 ก็คือรายละเอียดในหัวข้อ H2 อีกทีหนึ่ง
H1 H2 H3 กับ SEO สำคัญยังไง?
Google ไม่ได้อ่านเว็บของเราด้วยสายตาแบบมนุษย์ แต่มันใช้ Bot ในการไล่สแกนโค้ดบนหน้าเว็บเพื่อทำความเข้าใจว่า “เว็บนี้เกี่ยวกับอะไร” และจะจัดอันดับให้ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา
นี่คือเหตุผลว่าทำไม heading tag จึงสำคัญต่อ SEO
- H1 บอกให้ Google รู้ว่าเว็บเพจนี้พูดถึงอะไร
ถ้าคุณเขียนบทความเรื่อง “ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว” หัวข้อ H1 ของคุณก็ควรเป็นคำนี้อย่างชัดเจน Google จะได้เข้าใจทันทีว่าหน้านี้มีประโยชน์กับคนที่เสิร์ชคำนั้นจริง ๆ - H2 H3 เพิ่มความชัดเจนให้กับเนื้อหา และช่วยจับ Keyword ย่อย
การใช้ H2 และ H3 ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างบทความดีขึ้น และช่วยให้คุณสามารถแทรก keyword รอง หรือ long-tail keyword ได้อย่างแนบเนียน - โครงสร้าง heading tag ที่ดี ช่วยเพิ่มโอกาสขึ้น Featured Snippet
หลายครั้งที่ Google ดึงเอา H2 หรือ H3 ไปแสดงในตำแหน่งบนสุดของหน้าค้นหา ถ้าคุณจัดโครงสร้างได้ดี มีโอกาสโดดเด่นแบบไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเลย
หลักการเขียน heading tag ที่ถูกต้องเพื่อ SEO

- มี H1 เพียงหนึ่งครั้งต่อหน้าเท่านั้น
H1 คือพระเอกของหน้านั้น ควรมีเพียงครั้งเดียว และแสดงหัวข้อหลักของเนื้อหาทั้งหมด - เรียงลำดับให้เป็นขั้นเป็นตอน
อย่าข้ามลำดับ เช่น หลัง H1 ต้องเป็น H2, หลัง H2 ค่อยใช้ H3 หลีกเลี่ยงการใช้ H4 ขึ้นก่อน H2 เป็นต้น - แทรกคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ
ใช้ keyword ทั้งหลักและรองใน heading tags อย่างพอดี โดยไม่ยัดเยียด เช่น ถ้าคำหลักคือ “วิธีทำเว็บไซต์” คำรองอาจเป็น “การเลือกธีม”, “การวางโครงสร้าง”, หรือ “การใช้ heading tag” - แต่ละหัวข้อควรสอดคล้องกับเนื้อหา
อย่าใช้หัวข้อหลอก Google หรือคนอ่าน เช่น ใช้หัวข้อว่า “วิธีลดน้ำหนักเร็วที่สุด” แต่เนื้อหาพูดเรื่องอาหารแมว แบบนี้โดนทั้ง Google และผู้อ่านเมินแน่นอน - เน้นความเป็นมิตรต่อผู้อ่านด้วย
การจัดหมวดหมู่หัวข้อให้ดีไม่ใช่แค่เพื่อ SEO เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านสแกนข้อมูลได้เร็วขึ้น มีประสบการณ์ที่ดีต่อเว็บไซต์ของคุณด้วย
เปรียบเทียบ heading tag กับโครงสร้างหนังสือ
เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองเปรียบ heading tag กับหนังสือเล่มหนึ่ง
- H1 = ชื่อหนังสือ
- H2 = บทที่ 1, 2, 3…
- H3 = หัวข้อย่อยในแต่ละบท
- H4-H6 = รายละเอียดปลีกย่อย เช่น หมายเหตุ, ข้อมูลเสริม
การเขียนบทความโดยไม่มี H1 H2 H3 เหมือนหนังสือที่ไม่มีสารบัญ ไม่มีบท มั่วไปหมด ทำให้ทั้งผู้อ่านและ Google ไม่รู้จะเริ่มอ่านจากตรงไหน
Heading Tag ใน WordPress ใช้งานยังไง?
หากคุณใช้ WordPress ในการเขียนบทความ คุณสามารถกำหนด H1 H2 H3 ได้ง่าย ๆ ผ่าน Gutenberg หรือ Classic Editor
- โดยปกติ หัวข้อของบทความจะเป็น H1 อัตโนมัติ
- ภายในเนื้อหา คุณสามารถเลือก “Heading” แล้วกำหนดระดับเป็น H2, H3 ได้ตามลำดับ
Tip: ใช้ปลั๊กอิน Yoast SEO หรือ RankMath เพื่อตรวจสอบว่าคุณใช้ heading tag ได้เหมาะสมหรือไม่
บทสรุป H1 H2 H3 คือโครงกระดูกของ SEO On-Page ที่ห้ามมองข้าม
อย่าคิดว่า H1 H2 H3 คือแค่ตัวหนา ๆ ให้อ่านง่าย เพราะเบื้องหลังนั้นคือ หนึ่งในปัจจัยหลักของการทำ SEO On-page ที่ทั้งคนและ Google ให้ความสำคัญ
ถ้าคุณอยากให้เว็บไซต์ของคุณมีโครงสร้างที่ดี ทั้งอ่านง่ายและติดอันดับบน Google อย่าลืมวางแผนหัวข้อ ตั้งแต่ H1 ไปจนถึง H3 ให้สัมพันธ์กันและสะท้อนเนื้อหาจริง
หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะวางโครงสร้างเว็บไซต์และ heading tag อย่างไรให้เหมาะสม ติดต่อSEOGURU พวกเรายินดีให้คำปรึกษาและช่วยตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณพร้อมติดอันดับและสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เข้าชมในทุกมิติ