Redirects 101 การเปลี่ยนเส้นทางของเว็บไซต์ ที่ช่วยให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินถูกส่งจาก URL หนึ่งไปยังอีก URL หนึ่งโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณพยายามเข้าเยี่ยมชม
www.seoguru.one/
(เมื่อมีการรีไดเร็กต์) มันจะพาคุณไปที่
www.seoguru.one/blog-seo
การเปลี่ยนเส้นทางช่วยให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินไปยัง URL เนื้อหาที่ทันสมัยและเกี่ยวข้อง
**รู้หรือไม่นอกจาก Google ยังมี 11 Search Engines ทางเลือก ที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน**
ซึ่งช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ ช่วยให้เสิร์ชเอนจินสามารถค้นหาและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยสรุป การรีไดเร็กต์สามารถช่วยให้คุณจัดการโครงสร้างเว็บไซต์และปรับปรุง SEO ของคุณได้
เมื่อคุณใช้มันอย่างถูกต้อง
ในคู่มือนี้ คุณจะได้เรียนรู้
- การรีไดเร็กต์ คืออะไร
- วิธีการรีไดเร็กต์ไปใช้ในทางที่ถูกต้องทำยังไง
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรีไดเร็กต์
เมื่อไหร่ควรใช้ Redirects 101
เว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโต และหากคุณมีเว็บไซต์ จะมีช่วงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์
มาดูตัวอย่างบางกรณีที่คุณอาจต้องการใช้การรีไดเร็กต์
การย้ายเว็บไซต์ (Site Migration)
การย้ายเว็บไซต์มักต้องการการย้ายการเข้าชมเว็บไซต์ ไปยังเว็บไซต์โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้
การเปลี่ยนชื่อโดเมน
หากคุณเปลี่ยนจาก www.oldsite.com เป็น www.newsite.com แต่ละหน้าจากเว็บไซต์เก่าควรชี้ไปที่หน้าที่ตรงกันในโดเมนใหม่
สิ่งนี้จะช่วยให้ใครก็ตามที่พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ในหน้าก่อนหน้า ไปยังเวอร์ชันที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ใหม่ สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติมในหัวข้อนี้ ให้ตรวจสอบรายการตรวจสอบการย้ายเว็บไซต์
การเปลี่ยนระบบจัดการเนื้อหา (CMS)
ระบบจัดการเนื้อหาต่าง ๆ อาจจัดระเบียบที่อยู่เว็บแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณย้ายจาก WooCommerce (WordPress) ไปยัง Shopify URL บางส่วนของคุณอาจเปลี่ยนไป
Shopify ใช้ /collections สำหรับหมวดหมู่ ดังนั้น yoursite.com/category/mens-clothing จะเปลี่ยนเป็น yoursite.com/collections/mens-clothing บน Shopify
หากไม่ใช้การรีไดเร็กต์ ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินอาจไม่พบหน้าที่อยู่เว็บไซต์ใหม่ของคุณ
การขยายตลาดสู่ต่างประเทศ
อีกประเภทหนึ่งของการย้ายเว็บไซต์ ที่อาจต้องใช้การเปลี่ยนเส้นทางคือ เมื่อคุณย้ายไปยังโดเมนระดับสูง (country code) ที่มีรหัสประเทศต่างกัน เช่น การเปลี่ยนจาก yoursite.com เป็น yoursite.co.uk
สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติเมื่อเจ้าของเว็บไซต์ขยายไปยังประเทศอื่น และต้องการมีเว็บไซต์ที่มุ่งเน้นตลาดแต่ละแห่งโดยเฉพาะ
หน้าถูกลบ
เมื่อคุณลบหน้าจากเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถใช้การรีไดเร็กต์เพื่อชี้ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึงกัน
ตัวอย่างเช่น คุณอาจมีสองหน้าที่ครอบคลุมหัวข้อเดียวกัน หากคุณรวมทั้งสองหน้าเข้าด้วยกัน อาจทำให้ข้อมูลครอบคลุมและสมบูรณ์มากขึ้น คุณจึงต้องทำการรีไดเร็กต์จากทั้งสองหน้าไปยังหน้าใหม่
หากไม่มีการใช้การรีไดเร็กต์ ผู้ใช้ที่พยายามเข้าถึง (หน้าที่ถูกลบไป) จะพบกับข้อผิดพลาด 404
หมายเหตุเพิ่มเติม
คุณควรรีไดเร็กต์ผู้ใช้ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึงกัน การเปลี่ยนเส้นทางพวกเขาไปยังหน้าแรกหรือหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อหลีกเลี่ยงลิงก์ที่เสีย อาจทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ข้อมูลตรงตามที่ต้องการ
การเปลี่ยนไปใช้ HTTPS
โปรโตคอลการถ่ายโอนข้อมูลที่ปลอดภัย Hypertext transfer protocol secure (HTTPS) มีการเข้ารหัสระหว่างเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นคุณควรรีไดเร็กต์หน้าเว็บที่ใช้ HTTP ไปยังหน้าเว็บที่ใช้ HTTPS เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
เนื่องจากเบราว์เซอร์มองว่า URL ของ HTTP และ HTTPS เป็นเอกลักษณ์ แม้จะเป็นหน้าเดียวกันก็ตาม
ตัวอย่างเช่น หากคุณพิมพ์ http://seoguru.one ลงในเบราว์เซอร์ URL นั้นจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยัง https://seoguru.one โดยอัตโนมัติ ซึ่งทำให้แน่ใจว่าคุณใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างปลอดภัย
ที่สำคัญ Google ยังชอบเวอร์ชัน HTTPS ของหน้าเว็บของคุณด้วย
การเปลี่ยน URL (Permalinks)
หากคุณเปลี่ยนโครงสร้าง URL ของเว็บไซต์ (หรือ permalinks) คุณจะต้องตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางจาก URL เก่าไปยังหน้าใหม่
สมมติว่า URL เก่าของคุณคือ www.yourwebsite.com/category/page?id=123 และคุณต้องการเปลี่ยนเป็น www.yourwebsite.com/new-page
คุณจะต้องเพิ่มการเปลี่ยนเส้นทางจาก URL เก่าไปยัง URL ใหม่ เพื่อส่งผู้เยี่ยมชมไปยังหน้าที่ต้องการโดยอัตโนมัติ
ผลกระทบของการรีไดเร็กต์ต่อ SEO
การรีไดเรกต์ส่งผลเสียต่อการทำ SEO หากไม่ใช้งานอย่างถูกต้อง การดำเนินการที่ไม่ดี อาจทำให้เกิดลิงก์ที่เสีย, คะแนนของแต่ละหน้าลดลง และส่งผลทำให้อันดับของเว็บไซต์ลดลง
แต่เมื่อคุณใช้การรีไดเรกต์อย่างถูกต้อง มันจะส่งผลดีต่อการทำ SEO ของคุณได้ในหลาย ๆ ด้าน
1. รักษาความเสถียรของลิงก์
ความเสถียรของลิงก์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า ” link juice” หรือ ‘’link equity’’ เป็นกระบวนเกี่ยวกับการทำงานของลิงก์ การเชื่อมโยงลิงก์หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘’link building” เมื่อคุณตั้งค่ารีไดเรกต์อย่างถูกต้อง ความเสถียรของลิงก์จาก URL จะถูกส่งต่อไปยัง URL ใหม่
เพื่อช่วยรักษาอันดับของหน้า ทำให้เว็บไซต์ยังมีอันดับที่คงที่
2. ช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์
การรีไดเรกต์ช่วยแนะบอทของ Google ไปยังหน้าที่ถูกต้อง ช่วยให้พวกเขาเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณ และทำให้การจัดทำดัชนีและจัดอันดับเนื้อหาเว็บไซต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ดังนั้นจึงไม่ควรเสียเวลาในการสำรวจหน้าเก่าหรือหน้าที่ไม่มีอยู่ให้เสียเวลา
3. ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้
การรีไดเรกต์ 101 ยังช่วยให้ผู้เข้าชมค้นหาหน้าถูกต้อง ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาเจอกับเนื้อหาเก่าหรือเนื้อหาที่ไม่มีประโยชน์บนเว็บไซต์ของคุณ
เมื่อผู้ใช้ได้เข้าสู่หน้าที่มีข้อมูลตรงตามที่ต้องการ มีแนวโน้มที่ผู้ใช้จะอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้น (และอาจกลับมาในอนาคต) ซึ่งสามารถช่วย SEO ของคุณได้ เพราะ Google มักจะให้คะแนนกับเนื้อหาที่มอบประสบการณ์ที่ดีในหน้าที่ผู้ใช้งานอยู่ในหน้าเป็นเวลานาน และยังอาจทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การรีไดเรกต์อาจส่งผลต่อความเร็วของหน้าเว็บ ซึ่งอาจทำให้เกิดความช้าหลังจากทำการรีไดเรกต์ (แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป)
ดังนั้นควรตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ หลังจากที่ทำการรีไดเกรต์ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้อย่างราบรื่น สามารถใช้เครื่องมือฟรี เช่น Page Speed Insights เพื่อทำการตรวจสอบความเร็วของหน้าเว็บไซต์
ประเภทของการ Redirects 101
ประเภทการรีไดเรกต์มี 2 รูปแบบด้วยกัน
- Redirects ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์
- การเปลี่ยนเส้นทางฝั่งไคลเอนต์
1. การ Redirects ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์
การรีไดเรกต์ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะถูกตั้งค่าในเซิร์ฟเวอร์ที่โฮสต์เว็บไซต์ของคุณ
มีหลายประเภทของการรีไดเรกต์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยทั่วไปมีประเภทที่พบมากที่สุด ได้แก่
- 301 Permanent Redirects
- 302 Temporary Redirects
- 303 Temporary Redirects
- 307 Temporary Redirects
- 308 Permanent Redirects
แต่สำหรับทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดต่อการทำคือ SEO คือการรีไดเรกต์ 301 และ 302
301 Permanent Redirects
การรีไดเรกต์ 301 สำหรับหน้าเว็บที่ย้ายอย่างถาวร
ตัวอย่างเช่น seoguru เคยมีข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการทำเอสอีโอที่หน้า https://seoguru.one/backlinks-guide
เรายังได้อัปเดตหน้าและข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ในหน้านั้น
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนั้น URL ก็เปลี่ยนเป็น https://seoguru.one/hub/seo/backlinks
และเนื่องจากเราใช้รีไดเรตก์ 301 แบบถาวร Google จึงเข้าใจว่านี่คือ URL ที่เราต้องการให้มีการจัดทำดัชนี
และนั่นคือหน้าที่ติดอันดับบน Google
การใช้การรีไดเรกต์ 301 ช่วยให้แน่ใจว่า การจัดอันดับจาก URL เก่าจะถูกส่งต่อไปยัง URL ใหม่
หมายเหตุ: ไม่มีการรับประกันว่าการจัดอันดับทั้งหมดของหน้าก่อนหน้า จะถูกส่งต่อไปยังหน้าที่ย้ายใหม่เมื่อทำการรีไดเรกต์
302 Temporary Redirects
ใช้การรีไดเรกต์ 302 สำหรับหน้าที่ถูกย้ายชั่วคราวไปยัง URL ใหม่ เช่น ในช่วงแคมเปญ , จัดกิจกรรมพิเศษ หรือ ต้องการหยุดการเข้าถึงเว็บไซต์ชั่วคราวเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์
การรีไดเรกต์ 302 ผู้ใช้จะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่ใหม่ แต่การทำงานของเสิร์ชเอนจิน จะไม่อัปเดตดัชนีไปยัง URL ใหม่ในระยะสั้น
ดังนั้น URL ดั้งเดิมจึง (โดยปกติ) ยังคงอยู่ในอันดับเดิมหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
อย่างไรก็ตาม ระบบจัดทำดัชนีของ Google ยังใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 302 เป็นสัญญาณ “อ่อน” ว่า URL เป้าหมายเป็น canonical (หมายถึง URL ที่คุณต้องการให้ Google จัดทำดัชนี) ดังนั้นเช่นเดียวกับการรีไดเรกต์ประเภทอื่น ๆ แต่อย่างไรแล้วควรใช้งานการรีไดเรกต์ 302 อย่างระมัดระวังด้วยเช่นกัน
การเปลี่ยนเส้นทาง 307, 308 และ 303
การเปลี่ยนเส้นทางเหล่านี้ไม่ค่อยถูกนำมาใช้บ่อยนักในวัตถุประสงค์ด้าน SEO
กูเกิลถือว่าการเปลี่ยนเส้นทางแบบ 307 เทียบเท่ากับ 302 และ 308 เทียบเท่ากับ 301 ส่วนการเปลี่ยนเส้นทางแบบ 303 อาจถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลแบบฟอร์มซ้ำเมื่อผู้ใช้กดรีเฟรชหรือย้อนกลับ
2.การเปลี่ยนเส้นทางฝั่งไคลเอ็นต์ (Client-Side Redirects)
การเปลี่ยนเส้นทางฝั่งไคลเอ็นต์จะถูกเพิ่มลงในหน้าเว็บของคุณแทนที่จะอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ ตั้งค่าง่ายกว่าการเปลี่ยนเส้นทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ และสะดวกสำหรับการใช้งานบางกรณี เช่น การบำรุงรักษาเว็บไซต์ การทดสอบ A/B หรือโปรโมชั่นตามฤดูกาล
แต่อาจมีข้อเสีย เช่น:
- เวลาการโหลดที่ช้าลง ซึ่งอาจสร้างความหงุดหงิดให้กับผู้ใช้
- ความน่าเชื่อถือน้อยลง เนื่องจากบางคนปิดใช้งาน JavaScript ในเบราว์เซอร์ของพวกเขา (ซึ่งบางการเปลี่ยนเส้นทางฝั่งไคลเอ็นต์ต้องพึ่งพา)
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่สูงขึ้น เนื่องจากแฮ็กเกอร์สามารถปรับเปลี่ยนการเปลี่ยนเส้นทางเหล่านี้ได้ง่ายกว่า
หมายเหตุ: เนื่องจากปัญหาเหล่านี้ การเปลี่ยนเส้นทางฝั่งไคลเอ็นต์จึงไม่ค่อยเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม การเปลี่ยนเส้นทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เช่น การเปลี่ยนเส้นทางแบบ 301 และ 302 มักจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ประเภทของการเปลี่ยนเส้นทางฝั่งไคลเอ็นต์ที่พบได้บ่อยมีสองประเภท:
การเปลี่ยนเส้นทางด้วย Meta-Refresh
การเปลี่ยนเส้นทางด้วย meta refresh เป็นองค์ประกอบ HTML ที่สั่งให้เบราว์เซอร์รีเฟรชหน้าเว็บหลังจากผ่านไปตามจำนวนวินาทีที่กำหนด จากนั้นจะเปลี่ยนเส้นทางไปยัง URL อื่น
มักใช้สำหรับการเปลี่ยนเส้นทางแบบง่าย ๆ แต่สามารถทำให้เกิดความล่าช้าเล็กน้อยและประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดีสำหรับผู้ใช้
คุณสามารถวาง meta refresh ไว้ในส่วน <head> ของหน้าเว็บ และจะมีลักษณะดังนี้:
<meta http-equiv=”refresh” content=”3; url=https://www.yourwebsite.com/new-page”>
ในตัวอย่างนี้ การเปลี่ยนเส้นทางจะเริ่มทำงานหลังจากสามวินาที
การเปลี่ยนเส้นทางด้วย JavaScript
การเปลี่ยนเส้นทางด้วย JavaScript คือการเพิ่มสคริปต์ภายใน HTML ของคุณ ซึ่งหมายความว่าหากเครื่องมือค้นหาไม่รองรับการทำงานของ JavaScript ก็จะไม่พบการเปลี่ยนเส้นทางนี้
หากจำเป็นต้องใช้การเปลี่ยนเส้นทางด้วย JavaScript ให้วางโค้ด JavaScript ภายในแท็ก <script> ซึ่งมักจะอยู่ในส่วน <head> หรือ <body> ของ HTML โดยจะมีลักษณะประมาณนี้:
<script type=”text/javascript”> window.location.href = “https://www.yourwebsite.com/new-page”; </script>
วิธีการเปลี่ยนเส้นทาง URL
การเปลี่ยนเส้นทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถทำได้ตั้งแต่การอัปเดตหน้าเว็บอย่างง่ายไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ทั้งหมด ซึ่งแต่ละแบบต้องการกลยุทธ์และความพยายามที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น หากคุณอัปเดตหรือรวมหน้าเว็บเพียงไม่กี่หน้า กระบวนการนี้จะค่อนข้างง่าย โดยคุณจะต้องทำ Redirects สำหรับ URL เฉพาะเหล่านั้นเท่านั้น และอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
แต่ถ้าคุณกำลังเปลี่ยนแปลงทั้งเว็บไซต์ เช่น การเปลี่ยนโดเมนหรือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมด คุณจะต้องมีแผนการเปลี่ยนเส้นทางที่ครอบคลุม
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเส้นทาง ในขนาดเล็กหรือใหญ่ การจัดทำรายการเปลี่ยนเส้นทาง ทั้งหมดในสเปรดชีตจะช่วยให้คุณจัดการได้ง่ายขึ้น เช่น ตัวอย่างในรูปแบบด้านล่างนี้
สิ่งนี้จะทำให้คุณมีบันทึกที่ชัดเจนและครบถ้วน ทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้ และสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็นในภายหลังโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มเติม
เมื่อคุณรวบรวมรายการการเปลี่ยนเส้นทางที่วางแผนไว้เสร็จแล้ว ก็ถึงเวลานำไปใช้ เราจะแสดงวิธีการทำโดยใช้สองวิธี:
1.ใช้ปลั๊กอินของ WordPress
2.แก้ไขไฟล์ .htaccess ของคุณ
หากคุณไม่ได้ใช้ WordPress หรือไม่มีสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ .htaccess ให้ตรวจสอบเอกสารของแพลตฟอร์มของคุณ หรือค้นหาในกูเกิล โดยพิมพ์ “[ชื่อ CMS ของคุณ] + redirects” เพื่อดูคำแนะนำ
การตั้งค่า SEO Redirects บน WordPress
หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการเปลี่ยนเส้นทาง บน WordPress คือการใช้ปลั๊กอิน เช่น 301 Redirects Plugin
ปลั๊กอินนี้จะช่วยให้กระบวนการง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณไม่สะดวกที่จะทำการแก้ไขไฟล์เซิร์ฟเวอร์โดยตรง
เมื่อคุณติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอินแล้ว ให้ไปที่ “Settings” > “301 Redirects” ในแดชบอร์ดของคุณ
ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางของคุณที่นี่ โดยมีตัวเลือกให้ใช้การเปลี่ยนเส้นทางแบบ 301, 302 หรือ 307 เพียงเลือกประเภทการเปลี่ยนเส้นทางที่คุณต้องการใช้ ใส่ URL ที่ต้องการเปลี่ยนเส้นทาง และ URL เป้าหมาย (ใหม่)
จากนั้นคลิก “Save”
มีปลั๊กอินอื่น ๆ ที่มีฟังก์ชันการเปลี่ยนเส้นทางเช่นกัน แต่หากคุณรู้สึกสะดวกในการแก้ไขไฟล์ของเว็บไซต์โดยตรง คุณสามารถใช้ไฟล์ .htaccess แทนได้
การตั้งค่าเปลี่ยนเส้นทาง บน .htaccess
ไฟล์ .htaccess เป็นไฟล์พิเศษที่ใช้โดยเว็บไซต์ที่รันบนเซิร์ฟเวอร์ Apache ซึ่งช่วยให้คุณควบคุมการตั้งค่าที่สำคัญของเว็บไซต์ได้
หมายเหตุ: การแก้ไขไฟล์ .htaccess ของเว็บไซต์ของคุณอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ข้อผิดพลาดเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดปัญหากับเว็บไซต์ของคุณ พิจารณาขอคำปรึกษาจากนักพัฒนาของคุณในการเปลี่ยนเส้นทาง โดยใช้ .htaccess
คุณสามารถเข้าถึงไฟล์ .htaccess โดยใช้เครื่องมือจัดการไฟล์ของผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณ
วิธีการทำมีดังนี้:
ก่อนอื่นให้เข้าสู่ระบบบัญชีโฮสติ้งของคุณ และค้นหาโฟลเดอร์ที่มีชื่อว่า “File Manager” หรือชื่อที่คล้ายกัน
นี่จะพาคุณไปยังไฟล์ทั้งหมดที่เก็บอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ
ถัดไป ให้ค้นหาหรือสร้างไฟล์ .htaccess ซึ่งมักจะตั้งอยู่ในไดเรกทอรีหลักที่เก็บไฟล์ของเว็บไซต์ของคุณ โดยปกติมักจะชื่อว่า “public_html” หรือ “www”
ให้มองหาไฟล์ชื่อ “.htaccess” (โปรดสังเกตจุดนำหน้า)
หากคุณไม่พบไฟล์นี้ ให้สร้างไฟล์ใหม่ด้วยชื่อที่เหมือนกันนี้เลย
หมายเหตุ: ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้สำรองไฟล์ .htaccess โดยการดาวน์โหลดและบันทึกลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้อย่างง่ายดายหากมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น
เปิดไฟล์ .htaccess ของคุณในโปรแกรมแก้ไขข้อความ เช่น Notepad++ หรือ Sublime Text
ก่อนที่จะเพิ่มการเปลี่ยนเส้นทาง ให้เปิดใช้งานโมดูล RewriteEngine ซึ่งจะช่วยให้คุณใช้กฎการเขียน URL ได้
เพื่อทำเช่นนี้ ให้เพิ่มโค้ดต่อไปนี้ที่ด้านบนของไฟล์ .htaccess ของคุณ:
<IfModule mod_rewrite.c>
RewriteEngine On
</IfModule>
หากมีคำสั่ง RewriteEngine On อยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเพิ่มอีก ให้ไปยังขั้นตอนถัดไปได้เลย
จากนั้นให้เพิ่มกฎการเปลี่ยนเส้นทางใต้คำสั่ง “RewriteEngine On” และก่อน “</IfModule>”
โค้ดเฉพาะที่คุณเพิ่มจะขึ้นอยู่กับประเภทของการเปลี่ยนเส้นทางที่คุณต้องการ และคุณอาจต้องปรับแต่งบางส่วนของกฎด้านล่างให้เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของคุณ เช่น หากคุณต้องการให้กฎเหล่านี้ใช้กับการเข้าชมทั้งหมดหรือเฉพาะซับโดเมนที่กำหนด
การเปลี่ยนเส้นทางเพียงหน้าเดียว
เมื่อคุณต้องการเปลี่ยนเส้นทางเพียงหน้าเดียว ให้เพิ่มโค้ดต่อไปนี้:
Redirect 301 /old-page https://www.yourdomain.com/new-page
การเปลี่ยนเส้นทางทั้งไดเรกทอรีภายในโดเมนปัจจุบันของคุณ
เพื่อเปลี่ยนเส้นทางทั้งไดเรกทอรี ให้เพิ่มโค้ดต่อไปนี้:
RewriteRule ^old-directory/(.*) /new-directory/$1 [R=301,L]
นี่จะช่วยให้แน่ใจว่าหน้าแต่ละหน้าของไดเรกทอรีเก่าจะเชื่อมโยงกับหน้าที่เกี่ยวข้องในไดเรกทอรีใหม่
การเปลี่ยนเส้นทางไปยังโดเมนอื่น
เมื่อคุณต้องการเปลี่ยนเส้นทางการเข้าชมจากโดเมนปัจจุบันไปยังโดเมนใหม่ ให้เพิ่มโค้ดต่อไปนี้:
RewriteCond %{HTTP_HOST} ^olddomain.com$ [NC]
RewriteRule ^(.*)$ https://newdomain.com/$1 [L,R=301]
กฎการเปลี่ยนเส้นทางนี้จะเปลี่ยนเส้นทางแต่ละหน้าของโดเมนเก่าไปยังหน้าที่สอดคล้องกันในโดเมนใหม่
การเปลี่ยนเส้นทางจาก HTTP เป็น HTTPS
ให้เพิ่มโค้ดด้านล่างสำหรับการเปลี่ยนเส้นทางจาก HTTP เป็น HTTPS:
RewriteCond %{HTTPS} off
RewriteRule ^ https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]
ควรทราบว่าบริการโฮสต์เว็บหลายแห่งจะทำการเปลี่ยนเส้นทางหน้าเว็บของคุณจาก HTTP เป็น HTTPS ให้โดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขไฟล์ .htaccess ของคุณ
หากการแก้ไขไฟล์ .htaccess ของคุณด้วยตนเองดูเหมือนจะน่ากลัว คุณสามารถใช้ Aleyda Solis’ .htaccess Redirects Generator เพื่อลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดและทำให้กระบวนการตั้งค่าเป็นเรื่องง่ายขึ้น
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนเส้นทางที่เป็นมิตรกับ SEO
1.เปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องและคล้ายคลึงกัน
ส่งผู้ใช้ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและคล้ายคลึงกันที่สุด โดยปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้:
- หากเนื้อหาจากหน้าเก่ามีอยู่ที่อื่น ให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้านั้นโดยตรง
- สำหรับหน้าเว็บที่ซ้ำกัน ให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังเวอร์ชันหลักที่มีอำนาจ
- หากหน้าเว็บล้าสมัยหรือถูกแทนที่ ให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าใหม่ที่มีข้อมูลที่อัปเดต
- หากเนื้อหานั้นไม่เกี่ยวข้องเลยหรือไม่มีการแทนที่ที่เหมาะสม ให้ลบหน้านั้นและแสดงข้อความข้อผิดพลาด 404
เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณวางแผนที่จะลบหน้าเว็บในไซต์ของคุณที่มีลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงจำนวนมาก ให้พิจารณาสร้างหน้าใหม่ที่เกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึงกับหน้านั้น ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถรักษาความสมดุลของลิงก์จากหน้าเก่าไว้ได้ และคุณไม่จำเป็นต้องใช้ข้อผิดพลาด 404
2.หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเส้นทางซ้ำซ้อนและการวนลูป
การเปลี่ยนเส้นทางซ้ำซ้อนเกิดขึ้นเมื่อ URL หนึ่งเปลี่ยนเส้นทางไปยังอีก URL หนึ่ง ซึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางไปยัง URL อีกอัน ทำให้เกิดการสร้างสายโซ่การเปลี่ยนเส้นทาง
การวนลูปของการเปลี่ยนเส้นทางเกิดขึ้นเมื่อหน้าหนึ่งเปลี่ยนเส้นทางไปยังอีกหน้าหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเส้นทางกลับไปยังหน้าต้นทาง ทำให้เกิดการวนลูปไม่รู้จบ
ทั้งสองปัญหานี้อาจทำให้เครื่องมือค้นหาสับสน ส่งผลให้การรวบรวมข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพและอาจทำให้สูญเสียอำนาจของหน้า
แม้ว่า Googlebot จะสามารถติดตามการเปลี่ยนเส้นทางได้สูงสุดถึง 10 ครั้ง แต่ควรเชื่อมโยงไปยังหน้าใหม่โดยตรงเมื่อเป็นไปได้ การเปลี่ยนเส้นทางที่มีการเชื่อมต่อน้อยจะทำให้กระบวนการเร็วขึ้นทั้งสำหรับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา และยังช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ลิงก์เสีย หากการเปลี่ยนเส้นทางใดล้มเหลว
3.อย่าเชื่อมโยงไปยังหน้าที่มีการเปลี่ยนเส้นทาง
หลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงไปยังหน้าที่ถูกเปลี่ยนเส้นทาง ซึ่งอาจสร้างการเปลี่ยนเส้นทางที่ไม่จำเป็น ทำให้เว็บไซต์ช้าลง และทำให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาสับสน
ให้ปรับปรุงลิงก์ภายในของคุณให้ชี้ไปยังหน้าปลายทางสุดท้ายโดยตรง
4.หลีกเลี่ยง Soft 404
Soft 404 เกิดขึ้นเมื่อคุณเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าเดิม
ตัวอย่างหนึ่งคือการเปลี่ยนเส้นทางหน้าผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีอยู่แล้วกลับไปยังหน้าโฮมเพจ ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา
หากคุณไม่พบหน้าที่เกี่ยวข้องที่จะเปลี่ยนเส้นทางไป ให้ปล่อยให้เป็นข้อผิดพลาด 404 หรือสร้างหน้าใหม่ที่เกี่ยวข้องซึ่งจะช่วยผู้ใช้ได้จริงและตรงกับเจตนาการค้นหาของพวกเขา
5.เก็บการเปลี่ยนเส้นทางไว้อย่างน้อยหนึ่งปี
แนวทางปัจจุบันของกูเกิล แนะนำให้เก็บการเปลี่ยนเส้นทางไว้อย่างน้อยหนึ่งปีหลังจากการย้ายเว็บไซต์ของคุณ (แต่แนวทางนี้ใช้ได้กับการเปลี่ยนเส้นทางทั้งหมด) เพื่อให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหามีเวลาค้นพบและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง
การเก็บการเปลี่ยนเส้นทางไว้นานเพียงนี้จะช่วยให้ กูเกิลมีเวลาเพียงพอในการรวบรวมข้อมูลในเว็บไซต์และถ่ายโอนอำนาจจากหน้าเก่าไปยังหน้าใหม่
นอกจากนี้ยังช่วยให้เว็บไซต์อื่นๆ สามารถอัปเดตลิงก์ของพวกเขาให้ชี้ไปยังหน้าใหม่ได้อีกด้วย
แต่ตามที่ Gary Illyes จาก กูเกิลกล่าวไว้ หากเป็นไปได้ การเก็บการเปลี่ยนเส้นทางไว้อย่างถาวรจะดีที่สุด
6.ทดสอบและติดตาม
ตรวจสอบการเปลี่ยนเส้นทางของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าการทำงานเป็นไปอย่างถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ
วิธีการตรวจสอบมีดังนี้:
การทดสอบด้วยตนเอง
หากคุณเปลี่ยนเส้นทางเพียงไม่กี่หน้า ให้ป้อน URL เก่าในเบราว์เซอร์ของคุณด้วยตนเองและตรวจสอบว่าเปลี่ยนเส้นทางไปยัง URL ใหม่หรือไม่
หรือใช้ส่วนขยายเบราว์เซอร์ เช่น Redirect Path (สำหรับ Chrome) หรือเครื่องมือ HTTP Status Code Checker
เครื่องมืออัตโนมัติ
สำหรับการเปลี่ยนเส้นทางจำนวนมาก ให้ใช้เครื่องมือ SEO เช่น Screaming Frog SEO Spider หรือ Semrush Site Audit
เครื่องมือเหล่านี้สามารถรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณ ตรวจจับการเปลี่ยนเส้นทาง และรายงานข้อผิดพลาดที่พบได้
ตัวอย่างเช่น ในเครื่องมือ Semrush Site Audit คุณสามารถค้นหาปัญหาที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนเส้นทาง และรับคำแนะนำในการแก้ไข
ลองใช้เครื่องมือนี้ด้วยตนเองได้โดยใช้ลิงก์นี้เพื่อรับสิทธิ์ทดลองใช้ฟรี 14 วัน สำหรับการสมัครสมาชิก Semrush Pro
ติดตามการเปลี่ยนเส้นทางด้วยสเปรดชีต
Redirectinator เป็นสเปรดชีตฟรีที่สร้างโดย Jeff Louella จาก The Tech SEO ซึ่งจะตรวจสอบการเปลี่ยนเส้นทางของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อยืนยันว่าคุณได้ดำเนินการเปลี่ยนเส้นทางอย่างถูกต้อง
7.อัปเดตลิงก์ภายในและแผนผังเว็บไซต์
สำหรับเครื่องมือค้นหา การเปลี่ยนเส้นทางถือเป็นคำแนะนำ ไม่ใช่ข้อบังคับ นั่นหมายความว่าเครื่องมือค้นหาอาจเลือกที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้โดยพิจารณาจากสัญญาณต่างๆ ที่เกี่ยวกับ URL นั้นๆ
กล่าวคือ:
ทำให้ URL นั้นเป็น URL หลักสำหรับการจัดทำดัชนีและการจัดอันดับ
เพื่อเพิ่มโอกาสให้เครื่องมือค้นหาปฏิบัติตาม URL ที่คุณเปลี่ยนเส้นทาง:
- อัปเดตลิงก์ภายในทั้งหมดให้ชี้ไปยัง URL ใหม่
- อัปเดตแผนผังเว็บไซต์เพื่อสะท้อนโครงสร้างใหม่
ขั้นตอนเหล่านี้ช่วยหลีกเลี่ยงการส่งสัญญาณที่ขัดแย้งให้กับ Google ด้วยการทำให้สัญญาณมีความสอดคล้องกัน จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจและติดตามการเปลี่ยนเส้นทางของคุณได้ง่ายขึ้น
ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางให้มีประสิทธิภาพและเพิ่มอันดับของคุณ
การจัดการการเปลี่ยนเส้นทางอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่สิ่งที่ควรมี แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ:
- รักษาคุณภาพของลิงก์
- เพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้
- ปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับเครื่องมือค้นหา
สำหรับวิธีง่ายๆ ในการค้นหาหน้าบนเว็บไซต์ของคุณที่อาจต้องการการเปลี่ยนเส้นทาง ลองดูคำแนะนำของเราเกี่ยวกับการค้นหา (และการแก้ไข) ลิงก์ที่เสีย