เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการวิเคราะห์ผลการค้นหา Search Engine Ranking ของ Google จำนวน 11.8 ล้านรายการ เพื่อตอบคำถามว่า
ปัจจัยใดบ้างที่สัมพันธ์กับการจัดอันดับในหน้าแรกของ Google
สิ่งที่สำคัญอันดับแรกได้แก่เนื้อหา , ต่อด้วยลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) และรวมถึงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
และจากข้อมูลที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ Ahrefs ทำให้ได้รับข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง
และวันนี้เราจะมาแบ่งปันสิ่งที่เราค้นพบกับทุกคน
สรุปผลการค้นพบสำคัญเกี่ยวกับ Search Engine Ranking และ SEO
- ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า อำนาจของลิงก์ (Link Authority) ของเว็บไซต์โดยรวม (ที่วัดจาก Ahrefs Domain Rating) มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
- หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับจำนวนมาก จะมีอันดับดีกว่าหน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการค้นหาอันดับ 1 ใน Google มีลิงก์ย้อนกลับเฉลี่ยมากกว่าผลการค้นหาหมายเลข 2-10 ถึง 3.8 เท่า
- เนื้อหาที่ครอบคลุม พร้อมทำ “SEO Content” ที่มีคุณภาพ จะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเนื้อหาที่ไม่ครอบคลุมหัวข้ออย่างละเอียด
- ไม่มีความสัมพันธ์ ระหว่างความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการจัดอันดับในหน้าแรกของ Google
- การได้ลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่แตกต่างกันหลายแห่ง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO เราพบว่า จำนวนโดเมนที่เชื่อมโยงกับหน้าเว็บ มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ
- เกือบทั้งหมดของ Title Tags ใน Google มีการตรงกับคำค้นหาที่หน้าเว็บจัดอันดับอยู่ แต่เราพบว่า ไม่พบความสัมพันธ์ ระหว่างการใช้คำหลักใน Title Tag กับการจัดอันดับที่สูงขึ้นในหน้าแรก
- Page Authority (วัดจาก Ahrefs URL Rating) มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับการจัดอันดับ
- เราค้นพบว่า จำนวนคำ ในหน้าเว็บมีการกระจายอย่างเท่าเทียมกันใน 10 อันดับแรก โดยผลการค้นหาบนหน้าแรกของ Google มีคำเฉลี่ย 1,447 คำ
- ขนาดของ HTML ของหน้าเว็บไม่สัมพันธ์กับการจัดอันดับ กล่าวคือ หน้าเว็บที่มีขนาดใหญ่ไม่ต่างจากหน้าเว็บที่มีขนาดเล็กในการจัดอันดับ
- เราพบความสัมพันธ์เล็กน้อยระหว่าง ความยาวของ URL กับการจัดอันดับ โดยเฉพาะ URL ที่สั้นกว่ามักจะมีโอกาสอันดับสูงกว่า URL ที่ยาวกว่า
- ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า การใช้ Schema markup ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
- เว็บไซต์ที่มี “เวลาอยู่บนเว็บไซต์” เฉลี่ยสูงกว่า มักจะมีการจัดอันดับที่สูงกว่าใน Google โดยเฉพาะการเพิ่มเวลาบนเว็บไซต์ 3 วินาทีสามารถช่วยให้เว็บไซต์นั้นมีโอกาสจัดอันดับขึ้นไปอีกหนึ่งตำแหน่งในผลการค้นหา
ข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ละเอียด เกี่ยวกับผลการค้นหา
โดเมนที่มีอำนาจสูงมักจะมีอันดับที่สูงกว่าในผลการค้นหาของ Google
เราได้พบว่า อำนาจลิงก์โดยรวม ของเว็บไซต์ (ใช้การวัด Domain Rating โดย Ahrefs) มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับในหน้าแรกของ Google
โดยทั่วไป Domain Rating เฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นตามตำแหน่งใน SERP
กล่าวอีกอย่างคือ ยิ่งตำแหน่งในหน้าแรกสูงขึ้น Domain Rating ก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
ในความเป็นจริง อำนาจโดยรวมของเว็บไซต์ มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่ากับการจัดอันดับมากกว่าอำนาจของหน้าเว็บเอง (ที่วัดโดย URL Rating)
สรุป : เว็บไซต์ที่มี Domain Rating สูง จะมีอันดับที่สูงขึ้นในหน้าแรกของ Google ดังนั้นโดเมนที่มีอำนาจสูง จะมีข้อได้เปรียบในผลการค้นหาของ SERPs
หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับมากมักจะมีอันดับสูงกว่าหน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อย
หนึ่งในผลการค้นพบที่น่าสนใจจากการวิเคราะห์นี้คือ หน้าเว็บส่วนใหญ่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับเลย
เราได้พบว่า ประมาณ 95% ของหน้าเว็บทั้งหมด ไม่มีลิงก์ย้อนกลับเลย
ผลการค้นพบนี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ Backlinko-BuzzSumo ที่ศึกษาบล็อกโพสต์จำนวน 912 ล้านโพสต์ ซึ่งพบว่า 94% ของเนื้อหาทั้งหมดไม่มีลิงก์ย้อนกลับ
ในความเป็นจริง หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อยมาก จนทำให้ “หน้าเว็บที่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับ” เริ่มทำให้ข้อมูลมีความเบี่ยงเบน ดังนั้นสำหรับปัจจัยการจัดอันดับบน Search Engine Ranking นี้ เราจึงตัดสินใจทำการวิเคราะห์โดยการ ไม่รวมหน้าเว็บที่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับ
เราค้นพบว่า หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับจำนวนมากที่สุด มักจะมีอันดับที่ดีที่สุดใน Google
เรายังพบว่า ผลการค้นหาอันดับ 1 มีแบล็คลิงก์เฉลี่ยมากกว่าผลการค้นหาหมายเลข 2-10 ถึง 3.8 เท่า
สรุป : แม้ว่า Google จะยังคงเพิ่มความหลากหลายให้กับอัลกอริธึมของมัน, แต่ดูเหมือนว่าการทำแบล็คลิงก์ยังคงเป็นสัญญาณการจัดอันดับที่สำคัญ
เนื้อหาครอบคลุมมีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หลายๆคนอ้างว่า เนื้อหาที่ครอบคลุม จะทำผลงานได้ดีที่สุดใน Google
กล่าวอีกอย่างคือเนื้อหาที่ครอบคลุมหัวข้อทั้งหมดในหน้าเดียว อาจมีความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการจัดอันดับ
มีการทดสอบสมมติฐาน Search Engine Ranking โดยการใช้ชุดข้อมูล URL จำนวน 11.8 ล้านรายการผ่านเครื่องมือการวิเคราะห์เนื้อหา Clearscope.io.
ผลการวิเคราะห์พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่าง “Content Grade” กับการจัดอันดับใน Google ทั้งในผลการค้นหาบนเดสก์ท็อปและมือถือ
ในความเป็นจริง เมื่อพิจารณาผลการค้นหาทั้ง 30 อันดับแรก การเพิ่ม Content Grade ขึ้น 1 จะเท่ากับการเพิ่มอันดับขึ้น 1 ตำแหน่ง ซึ่งบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่สำคัญ
ตัวอย่างเช่น, ลองดูหน้านี้จาก PaleoLeap.com
หน้านี้มีคุณสมบัติหลายอย่างที่มักจะมีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงใน Google
ตัวอย่างเช่น หน้านี้ใช้คำหลักที่ตรงกับ Title Tag และ Heading tag และโดเมนก็มีอำนาจสูง (Ahrefs Domain Rating 73)
แต่หน้านี้จัดอันดับแค่ อันดับ 9 สำหรับคำค้นว่า: “Paleo diet breakfasts”
แน่นอน, หน้านี้ยังมี Content Grade ที่ค่อนข้างต่ำ
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเนื้อหาที่ครอบคลุม จะส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรงหรือไม่
อาจเป็นไปได้ว่า Google มีความชอบเนื้อหาที่ครอบคลุม หรืออาจเป็นไปได้ว่าผู้ใช้พึงพอใจมากขึ้นกับผลการค้นหาที่ให้คำตอบที่ตรงกับคำถามของพวกเขา
เนื่องจากนี่เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ จึงไม่สามารถระบุเหตุผลที่แท้จริงจากข้อมูลได้เพียงอย่างเดียว
สรุป : การเขียนเนื้อหาที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง สามารถช่วยให้หน้าเว็บมีโอกาสจัดอันดับสูงขึ้นใน Google
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ
Google ได้ใช้ ความเร็วของเว็บไซต์ เป็นสัญญาณการจัดอันดับอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2010
และการอัปเดตล่าสุดของ Google ที่เกี่ยวข้องกับความเร็ว “Speed Update” ในปี 2018 ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ค้นหาผ่านมือถือได้หน้าเว็บที่โหลดเร็วขึ้น
ความเร็วของเว็บไซต์มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับใน Google หรือไม่ ?
ได้มีการทดลองใช้ Alexa’s domain speed เพื่อวิเคราะห์เวลาการโหลดเฉลี่ย1 ล้านโดเมน
‘’เราไม่ได้วัดความเร็วในการโหลดของหน้าเว็บแต่ละหน้าในชุดข้อมูลโดยตรง แต่เรามองที่ความเร็วการโหลดเฉลี่ยของโดเมนทั้งหมดในชุดข้อมูล’’
โดยรวมพบว่า ‘’ไม่มีความสัมพันธ์’’ ระหว่างความเร็วของเว็บไซต์และการจัดอันดับใน Google
ผลการค้นพบนี้อาจทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะอย่างที่ทราบกันว่า PageSpeed เป็นสัญญาณการจัดอันดับที่ได้รับการยืนยันจาก Google
คุณคงคาดหวังว่า หน้าเว็บที่โหลดเร็ว จะมีโอกาสจัดอันดับดีกว่าหน้าเว็บที่โหลดช้ากว่า
และเมื่อ Google ประกาศ Speed Update การอัพเดตมีผลต่อ หน้าเว็บที่โหลดช้ามากๆ
แต่โดยรวมแล้วการอัปเดตนี้อาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก
กล่าวโดยสรุป อัลกอริธึมของ Google ดูเหมือนจะลดอันดับหน้าเว็บที่โหลดช้ามาก ๆ ในขณะที่หน้าเว็บที่โหลดเร็วจะได้รับประโยชน์และมีอันดับที่เพิ่มสูงขึ้น
การวิเคราะห์ของเราพบว่า ความเร็วในการโหลดเฉลี่ยของหน้าเว็บที่ติดอันดับหน้าแรก อยู่ที่ 1.65 วินาที
ก่อนหน้านี้เราพบว่า หน้าเว็บเฉลี่ยใช้เวลาในการโหลด 10 วินาทีในเดสก์ท็อป และ 27 วินาทีในมือถือ
เมื่อเทียบกับมาตรฐานนี้ ความเร็วในการโหลดเฉลี่ย 1.65 วินาที ถือว่าเร็วมาก
และเนื่องจากผลการค้นหาทั้ง 10 อันดับแรกมักจะโหลดได้ค่อนข้างเร็ว จึงดูเหมือนว่าเว็บไซต์เหล่านี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการอัปเดตในเรื่องความเร็วต่างๆของ Google
สรุป : ผลการค้นหาหน้าแรกของ Google โดยเฉลี่ย หน้าเว็บมีความเร็วในการโหลด 1.65 วินาที
จำนวนโดเมนที่อ้างอิงถึงดูเหมือนจะมีผลต่อการจัดอันดับ
ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หลายคนเห็นด้วยว่าการได้รับแบ็คลิงก์หลายลิงก์จากโดเมนเดียวกันมีผลลดลงเมื่อเทียบกับการได้แบ็คลิงก์จากหลายโดเมน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การได้รับลิงก์ 10 ลิงก์จาก 10 เว็บไซต์ต่างกันย่อมดีกว่าการได้รับลิงก์ 10 ลิงก์จากโดเมนเดียวกัน
จากการวิเคราะห์ของเรา ดูเหมือนว่าข้อนี้จะเป็นจริง เราพบว่าความหลากหลายของโดเมนมีผลสำคัญต่อการจัดอันดับ
เช่นเดียวกับแบ็คลิงก์ ผลการค้นหาอันดับต้นๆ มักมีโดเมนที่ลิงก์มายังมากกว่าผลลัพธ์ที่อยู่ช่วงล่างของหน้าแรก
ข้อสรุปสำคัญ: การได้รับลิงก์จากกลุ่มโดเมนที่หลากหลายดูเหมือนจะสำคัญต่อ SEO
แท็กชื่อเรื่องส่วนใหญ่บนหน้าผลการค้นหาของกูเกิ้ล มีคีย์เวิร์ดที่ตรงหรือใกล้เคียงกับคำค้นหานั้นๆ
ตั้งแต่ยุคแรกของเสิร์ชเอนจิน แท็กชื่อเรื่องถูกพิจารณาให้เป็นองค์ประกอบ SEO บนหน้าเว็บที่สำคัญที่สุด
เนื่องจากแท็กชื่อเรื่องของคุณให้ภาพรวมของหัวข้อบนหน้าเว็บแก่ผู้ใช้งาน (และเสิร์ชเอนจิน) คำที่ปรากฏในแท็กชื่อเรื่องจึงน่าจะมีผลต่อการจัดอันดับอย่างมีนัยสำคัญ
อันที่จริง คู่มือเริ่มต้นการทำ SEO ของกูเกิลแนะนำให้เขียนแท็กชื่อเรื่องที่อธิบายเนื้อหาของหน้านั้นอย่างชัดเจน
แน่นอนว่า เราพบว่าแท็กชื่อเรื่องส่วนใหญ่บนหน้าแรกของกูเกิล มีคีย์เวิร์ดทั้งหมดหรือบางส่วนของคำที่พวกเขาติดอันดับ
แม้ว่าส่วนใหญ่ของหน้าที่ติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดจะมีคีย์เวิร์ดนั้นอยู่ในแท็กชื่อเรื่อง แต่การปรับแท็กชื่อเรื่องให้มีคีย์เวิร์ดไม่ได้ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์กับอันดับที่สูงขึ้นบนหน้าแรก
อันที่จริง แบบจำลองเชิงเส้นของเราทำนายว่าความสัมพันธ์ระหว่างการใช้คีย์เวิร์ดในแท็กชื่อเรื่องกับการจัดอันดับนั้นน้อยมาก (มีความแตกต่างเพียง 1% ระหว่างผลลัพธ์อันดับที่ 1 และอันดับที่ 10)
ดูเหมือนว่าแท็กชื่อเรื่องที่มีคีย์เวิร์ดอาจเป็นเหมือน “ตั๋วเข้าร่วม” ที่ช่วยให้คุณติดอยู่บนหน้าแรกได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณอยู่บนหน้าแรกแล้ว การใช้คีย์เวิร์ดตรงๆ ในแท็กชื่อเรื่องดูเหมือนจะไม่ช่วยให้คุณไต่อันดับสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยอื่นๆ เช่น แบ็คลิงก์ สัญญาณประสบการณ์ผู้ใช้ และค่า Domain Authority จะมีบทบาทสำคัญมากกว่า
ข้อสรุปสำคัญ: หน้าเว็บที่อยู่ในผลลัพธ์ 10 อันดับแรกของกูเกิล มีคีย์เวิร์ดที่พวกเขาติดอันดับอยู่ในแท็กชื่อเรื่องประมาณ 65% ถึง 85% อย่างไรก็ตาม เราพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างการใช้แท็กชื่อเรื่องที่มีคีย์เวิร์ดกับการมีอันดับสูงขึ้นในหน้าแรกมีน้อยมาก (ถ้ามี)
การใช้แท็ก H1 ที่มีคีย์เวิร์ดไม่ได้สัมพันธ์กับการมีอันดับสูงขึ้นบนหน้าแรก
คล้ายกับสิ่งที่เราพบเกี่ยวกับแท็กชื่อเรื่อง หน้าเว็บส่วนใหญ่ในผลการค้นหาของกูเกิล มีคีย์เวิร์ดที่ตรงกันในแท็ก H1 ของหน้า
นอกจากนี้การใช้ H1 ที่มีคีย์เวิร์ดตรงกันแทบไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงขึ้นในกูเกิลอีกด้วย
ข้อสรุปสำคัญ: เช่นเดียวกับการเพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อเรื่อง H1 อาจเป็น “ตั๋วเข้าร่วม” ที่ช่วยให้คุณติดหน้าแรกของกูเกิลได้ แต่การใช้ H1 ที่มีคีย์เวิร์ดมากอาจไม่ใช่สัญญาณการจัดอันดับที่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยให้หน้าเว็บขยับอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาหน้าแรก
ความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บ (URL Rating) มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
นอกจากการพิจารณาค่าความน่าเชื่อถือของโดเมน (Domain Rating) เรายังต้องการตอบคำถามว่า:
ความน่าเชื่อถือของลิงก์โดยรวมของหน้าหนึ่ง ๆ มีผลต่อการจัดอันดับหรือไม่?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การได้รับแบ็คลิงก์ไปยังหน้าเฉพาะสำคัญกว่า หรือความน่าเชื่อถือของโดเมนโดยรวมของเว็บไซต์สำคัญกว่า?
เพื่อหาคำตอบ เราได้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความน่าเชื่อถือของหน้า (วัดโดย Ahrefs URL Rating) กับการจัดอันดับ
แม้ว่าเราจะพบว่า URL Rating และการจัดอันดับมีความสัมพันธ์กัน แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ติดอันดับใน 6 อันดับแรกมีค่า URL Rating ที่สูงกว่านิดหน่อย (ค่า 12) เมื่อเทียบกับหน้าที่อยู่ในอันดับ 7-10 (ค่า 11)
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่แข็งแกร่งเท่ากับผลกระทบของค่า Domain Rating ของเว็บไซต์ที่มีต่อการจัดอันดับ
โดยรวมแล้ว ค่า URL Rating ของหน้าเว็บใน 10 อันดับแรกมีความใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลทั้งหมด เราพบว่าค่าเฉลี่ยของ URL Rating สำหรับผลลัพธ์บนหน้าแรกของกูเกิลอยู่ที่ 11.2
ข้อสรุปสำคัญ: ความน่าเชื่อถือของลิงก์ในแต่ละหน้าเว็บบนเว็บไซต์ของคุณดูเหมือนจะมีผลต่อการจัดอันดับน้อยกว่าเมื่อเทียบกับความน่าเชื่อถือโดยรวมของโดเมนเว็บไซต์ของคุณ
จำนวนคำเฉลี่ยของผลลัพธ์หน้าแรกบนกูเกิลคือ 1,447 คำ
เนื้อหาที่ยาวมีประสิทธิภาพดีกว่าโพสต์บล็อกสั้น ๆ 200 คำหรือไม่?
การศึกษาในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นการศึกษานี้พบว่าเนื้อหาที่ยาวมักสะสมแบ็คลิงก์ได้มากกว่าโพสต์บล็อกสั้น
จริงๆแล้วเราพบว่าเนื้อหาที่ติดอันดับในกูเกิล มักจะเป็นเนื้อหาที่มีความยาว
โดยรวมแล้ว จำนวนคำเฉลี่ยของผลลัพธ์ใน 10 อันดับแรกของกูเกิล คือ 1,447 คำ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเนื้อหาที่ยาวจะเหมาะสำหรับการสร้างลิงก์ แต่เรากลับไม่พบความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างจำนวนคำกับการจัดอันดับ
สิ่งนี้อาจเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า เช่นเดียวกับแท็กชื่อเรื่องที่ปรับคีย์เวิร์ด เนื้อหาที่ยาวสามารถช่วยให้คุณติดหน้าแรกได้ แต่จะไม่ได้ช่วยให้อันดับดีขึ้นเมื่อคุณอยู่บนหน้าแรกแล้ว
เนื่องจากเป็นการศึกษาเชิงความสัมพันธ์ เราจึงไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดเนื้อหาที่ยาวจึงมักปรากฏในหน้าแรกของกูเกิล
ข้อสรุปสำคัญ: หน้าเว็บที่มีจำนวนคำมากดูเหมือนจะมีโอกาสติดอันดับสูงบนหน้าแรกเท่ากับหน้าเว็บที่มีจำนวนคำน้อย โดยจำนวนคำเฉลี่ยของผลลัพธ์หน้าแรกของกูเกิลคือ 1,447 คำ
ขนาด HTML ของหน้าเว็บไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ
ขนาดหน้าเว็บ (ในแง่ของจำนวนไบต์ทั้งหมด) มีผลต่อการจัดอันดับในกูเกิล หรือไม่?
จากการวิเคราะห์นี้ คำตอบคือ “ไม่”
เราไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของหน้าเว็บกับการจัดอันดับ
ในชุมชน SEO มีการคาดเดาว่าหน้าเว็บที่มีขนาดใหญ่และ HTML ที่ซับซ้อนอาจเสียเปรียบในการจัดอันดับ
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์หน้าที่เราศึกษา พบว่าขนาดของหน้าเว็บไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับ
ข้อสรุปสำคัญ: ขนาดของหน้าเว็บดูเหมือนจะไม่มีผลต่อการจัดอันดับในกูเกิล
URL สั้นมีแนวโน้มที่จะจัดอันดับได้ดีกว่า URL ยาว
กูเกิลแนะนำให้ใช้ “URL ที่เรียบง่าย” และระบุอย่างชัดเจนว่าไม่ควรใช้ “URL ที่ยาวเกินไป”
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำเหล่านี้ดูเหมือนจะเน้นไปที่การปรับ URL เพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้มากกว่าการทำ SEO
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเริ่มศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความยาวของ URL กับการจัดอันดับ
เราได้พบว่า URL ที่สั้นมีอันดับที่สูงกว่า URL ที่ยาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง URL ที่อยู่อันดับที่ 1 จะสั้นกว่า URL ที่อยู่อันดับที่ 10 โดยเฉลี่ย 9.2 ตัวอักษร
และความยาวเฉลี่ยของ URL สำหรับผลลัพธ์ใน 10 อันดับแรกของกูเกิล คือ 66 ตัวอักษร
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว URL ส่วนใหญ่ในหน้าแรกของกูเกิล มีความยาวใกล้เคียงกันอยู่ที่ประมาณ 40 ถึง 100 ตัวอักษร
URL ที่สั้นอาจช่วยปรับปรุง SEO ได้ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้:
ประการแรก URL ที่สั้นอาจนำไปสู่ค่า CTR (Click-Through Rate) แบบออร์แกนิกที่สูงขึ้น จากการศึกษาเกี่ยวกับ CTR แบบออร์แกนิกในวงกว้างของเรา พบว่า URL สั้นมีค่า CTR สูงกว่า URL ยาว
ประการที่สอง URL ที่สั้นอาจช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าคุณได้ง่ายขึ้น
สุดท้าย URL ที่ยาวมักชี้ไปยังหน้าที่อยู่ห่างจากหน้าแรกของเว็บไซต์หลายคลิก ซึ่งมักหมายความว่ามีการส่งผ่านความน่าเชื่อถือน้อยลงไปยังหน้านั้น และความน่าเชื่อถือที่น้อยลงหมายถึงอันดับที่ต่ำลง
ตัวอย่างเช่น URL นี้ที่ชี้ไปยังหน้าสินค้าแจกัน แสดงถึงหน้าที่อยู่ห่างไกลจากหน้าแรกที่มีความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
ข้อสรุปสำคัญ: URL ที่สั้นกว่ามีความสัมพันธ์กับอันดับที่สูงขึ้น โดย URL เฉลี่ยบนหน้าแรกของกูเกิลมีความยาว 66 ตัวอักษร
Schema Markup ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุมชน SEO มีการพูดถึง Schema กันอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม กูเกิลเองก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของ Schema ต่อการจัดอันดับ
หลายคนเชื่อว่า Schema markup ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น ซึ่งความเข้าใจที่ลึกซึ้งนี้จะกระตุ้นให้พวกเขานำเสนอเว็บไซต์ของคุณให้กับผู้คนมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (structured data) เพื่อให้กูเกิลรู้ว่าเมื่อคุณใช้คำว่า “Toy Story” คุณกำลังหมายถึงชื่อภาพยนตร์ต้นฉบับ… ไม่ใช่แฟรนไชส์โดยทั่วไป
หลายเว็บไซต์ใช้ Schema เพื่อให้ได้ Rich Snippets ในผลการค้นหา (SERPs)
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประโยชน์เหล่านี้ แต่เราพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ Schema นั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย
เราค้นพบว่า มีเพียง 72.6% ของหน้าเว็บในหน้าแรกของกูเกิล ที่ใช้ Schema
และจากการวิเคราะห์ของเรา การใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (structured data) ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับในกูเกิล
ข้อสรุปสำคัญ: การใช้ Schema markup อาจมีประโยชน์ในบางกรณี แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดอันดับที่สูงขึ้นในกูเกิล
เว็บไซต์ที่มี คนใช้งานอยู่บนเว็บไซต์นาน มักจะมีอันดับที่สูงกว่าในกูเกิล
หลายคนในวงการ SEO ได้คาดเดาว่ากูเกิลใช้ “สัญญาณจากประสบการณ์ของผู้ใช้” (เช่น อัตราการออกจากหน้า (bounce rate), เวลาอยู่บนเว็บไซต์, อัตราการคลิกออร์แกนิก, และการกลับมาที่หน้าเดิม (pogosticking)) เป็นปัจจัยในการจัดอันดับ
เพื่อทดสอบทฤษฎีนี้ เราได้ทำการทดสอบกับโดเมนบางส่วนในชุดข้อมูลของเราโดยใช้ Alexa เพื่อตรวจสอบเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้บนเว็บไซต์ จากนั้นเราก็ตรวจสอบดูว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างเวลาอยู่บนเว็บไซต์กับการจัดอันดับในหน้าแรกของกูเกิล หรือไม่
เราพบว่ามีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างเวลาอยู่บนเว็บไซต์และการจัดอันดับ
โดยเฉพาะ เราค้นพบว่าเวลาอยู่บนเว็บไซต์มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
โดยทั่วไป เฉลี่ยแล้วเวลาอยู่บนเว็บไซต์สำหรับผลลัพธ์ในหน้าแรกของกูเกิล คือ 2.5 นาที
โปรดจำไว้ว่าเราไม่ได้แนะนำว่าเวลาอยู่บนเว็บไซต์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
แน่นอนว่า กูเกิลอาจใช้บางอย่าง เช่น เวลาอยู่บนเว็บไซต์หรืออัตราการออกจากหน้า (bounce rate) เป็นสัญญาณในการจัดอันดับ (แม้ว่าพวกเขาจะเคยปฏิเสธเรื่องนี้มาก่อน) หรืออาจเป็นเพราะเนื้อหาคุณภาพสูงทำให้ผู้คนมีส่วนร่วมมากขึ้น ดังนั้นเวลาอยู่บนเว็บไซต์ที่สูงอาจเป็นผลพลอยได้จากเนื้อหาคุณภาพสูง ซึ่งทางกูเกิลจะวัดผล
เนื่องจากนี่เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ จึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุจากข้อมูลของเราเพียงอย่างเดียว
ข้อสรุปสำคัญ: เวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์สำหรับผลลัพธ์ในหน้าแรกของกูเกิล คือ 2.5 นาที
เราได้พบว่ามีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างเวลาอยู่บนเว็บไซต์และการจัดอันดับในกูเกิล แต่ยังไม่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์นี้เป็นแค่ความสัมพันธ์หรือการเชื่อมโยงที่เป็นสาเหตุ
สรุป
ขอขอบคุณ Ahrefs ที่ให้ข้อมูลดิบที่ทำให้การศึกษานี้เป็นไปได้
นอกจากนี้หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่เรารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล สามารถดูวิธีการศึกษาของเราได้ที่ลิงก์นี้ และเรายังอัปโหลดข้อมูลดิบที่ใช้ในการวิเคราะห์นี้ไปที่ GitHub
ตอนนี้ฉันอยากได้ความคิดเห็นจากคุณ:
บทเรียนสำคัญที่คุณได้จากการวิเคราะห์นี้คืออะไร?
หรืออาจจะมีคำถามเกี่ยวกับผลการศึกษา
ไม่ว่ากรณีใด โปรดทิ้งความคิดเห็นไว้ด้านล่างตอนนี้เลย