สิ่งที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ Search Engine Ranking และ SEO

สิ่งที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ Search Engine Ranking

เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการวิเคราะห์ผลการค้นหา Search Engine Ranking ของ Google จำนวน 11.8 ล้านรายการ เพื่อตอบคำถามว่า

ปัจจัยใดบ้างที่สัมพันธ์กับการจัดอันดับในหน้าแรกของ Google

สิ่งที่สำคัญอันดับแรกได้แก่เนื้อหา , ต่อด้วยลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) และรวมถึงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

และจากข้อมูลที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ Ahrefs ทำให้ได้รับข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง

และวันนี้เราจะมาแบ่งปันสิ่งที่เราค้นพบกับทุกคน

1search-engine-ranking-hero

Table of Contents

สรุปผลการค้นพบสำคัญเกี่ยวกับ Search Engine Ranking และ SEO

  1. ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า อำนาจของลิงก์ (Link Authority) ของเว็บไซต์โดยรวม (ที่วัดจาก Ahrefs Domain Rating) มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
  2. หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับจำนวนมาก จะมีอันดับดีกว่าหน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการค้นหาอันดับ 1 ใน Google มีลิงก์ย้อนกลับเฉลี่ยมากกว่าผลการค้นหาหมายเลข 2-10 ถึง 3.8 เท่า
  3. เนื้อหาที่ครอบคลุม พร้อมทำ “SEO Content” ที่มีคุณภาพ จะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเนื้อหาที่ไม่ครอบคลุมหัวข้ออย่างละเอียด
  4. ไม่มีความสัมพันธ์ ระหว่างความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการจัดอันดับในหน้าแรกของ Google
  5. การได้ลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่แตกต่างกันหลายแห่ง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO เราพบว่า จำนวนโดเมนที่เชื่อมโยงกับหน้าเว็บ มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ
  6. เกือบทั้งหมดของ Title Tags ใน Google มีการตรงกับคำค้นหาที่หน้าเว็บจัดอันดับอยู่ แต่เราพบว่า ไม่พบความสัมพันธ์ ระหว่างการใช้คำหลักใน Title Tag กับการจัดอันดับที่สูงขึ้นในหน้าแรก
  7. Page Authority (วัดจาก Ahrefs URL Rating) มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับการจัดอันดับ
  8. เราค้นพบว่า จำนวนคำ ในหน้าเว็บมีการกระจายอย่างเท่าเทียมกันใน 10 อันดับแรก โดยผลการค้นหาบนหน้าแรกของ Google มีคำเฉลี่ย 1,447 คำ
  9. ขนาดของ HTML ของหน้าเว็บไม่สัมพันธ์กับการจัดอันดับ กล่าวคือ หน้าเว็บที่มีขนาดใหญ่ไม่ต่างจากหน้าเว็บที่มีขนาดเล็กในการจัดอันดับ
  10. เราพบความสัมพันธ์เล็กน้อยระหว่าง ความยาวของ URL กับการจัดอันดับ โดยเฉพาะ URL ที่สั้นกว่ามักจะมีโอกาสอันดับสูงกว่า URL ที่ยาวกว่า
  11. ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า การใช้ Schema markup ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงขึ้น
  12. เว็บไซต์ที่มี “เวลาอยู่บนเว็บไซต์” เฉลี่ยสูงกว่า มักจะมีการจัดอันดับที่สูงกว่าใน Google โดยเฉพาะการเพิ่มเวลาบนเว็บไซต์ 3 วินาทีสามารถช่วยให้เว็บไซต์นั้นมีโอกาสจัดอันดับขึ้นไปอีกหนึ่งตำแหน่งในผลการค้นหา

ข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ละเอียด เกี่ยวกับผลการค้นหา

โดเมนที่มีอำนาจสูงมักจะมีอันดับที่สูงกว่าในผลการค้นหาของ Google

เราได้พบว่า อำนาจลิงก์โดยรวม ของเว็บไซต์ (ใช้การวัด Domain Rating โดย Ahrefs) มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับในหน้าแรกของ Google

2ahrefs-domain-rating-correlates-with-higher-first-page-google-rankings

โดยทั่วไป Domain Rating เฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นตามตำแหน่งใน SERP

3average-domain-rating-increases-by-serp-position

กล่าวอีกอย่างคือ ยิ่งตำแหน่งในหน้าแรกสูงขึ้น Domain Rating ก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

ในความเป็นจริง อำนาจโดยรวมของเว็บไซต์ มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่ากับการจัดอันดับมากกว่าอำนาจของหน้าเว็บเอง (ที่วัดโดย URL Rating)

สรุป : เว็บไซต์ที่มี Domain Rating สูง จะมีอันดับที่สูงขึ้นในหน้าแรกของ Google ดังนั้นโดเมนที่มีอำนาจสูง จะมีข้อได้เปรียบในผลการค้นหาของ SERPs

หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับมากมักจะมีอันดับสูงกว่าหน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อย

หนึ่งในผลการค้นพบที่น่าสนใจจากการวิเคราะห์นี้คือ หน้าเว็บส่วนใหญ่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับเลย

เราได้พบว่า ประมาณ 95% ของหน้าเว็บทั้งหมด ไม่มีลิงก์ย้อนกลับเลย

4the-vast-majority-of-pages-have-zero-backlinks

ผลการค้นพบนี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ Backlinko-BuzzSumo ที่ศึกษาบล็อกโพสต์จำนวน 912 ล้านโพสต์ ซึ่งพบว่า 94% ของเนื้อหาทั้งหมดไม่มีลิงก์ย้อนกลับ

ในความเป็นจริง หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับน้อยมาก จนทำให้ “หน้าเว็บที่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับ” เริ่มทำให้ข้อมูลมีความเบี่ยงเบน ดังนั้นสำหรับปัจจัยการจัดอันดับบน Search Engine Ranking นี้ เราจึงตัดสินใจทำการวิเคราะห์โดยการ ไม่รวมหน้าเว็บที่ไม่มีลิงก์ย้อนกลับ

เราค้นพบว่า หน้าเว็บที่มีลิงก์ย้อนกลับจำนวนมากที่สุด มักจะมีอันดับที่ดีที่สุดใน Google

5 top-ranking-pages-have-more-backlinks-than-lower-ranking-page

เรายังพบว่า ผลการค้นหาอันดับ 1 มีแบล็คลิงก์เฉลี่ยมากกว่าผลการค้นหาหมายเลข 2-10 ถึง 3.8 เท่า

6the-number-one-result-in-google-has-almost-4x-more-backlinks-than-position-2

สรุป : แม้ว่า Google จะยังคงเพิ่มความหลากหลายให้กับอัลกอริธึมของมัน, แต่ดูเหมือนว่าการทำแบล็คลิงก์ยังคงเป็นสัญญาณการจัดอันดับที่สำคัญ

เนื้อหาครอบคลุมมีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หลายๆคนอ้างว่า เนื้อหาที่ครอบคลุม จะทำผลงานได้ดีที่สุดใน Google

กล่าวอีกอย่างคือเนื้อหาที่ครอบคลุมหัวข้อทั้งหมดในหน้าเดียว อาจมีความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการจัดอันดับ

มีการทดสอบสมมติฐาน Search Engine Ranking โดยการใช้ชุดข้อมูล URL จำนวน 11.8 ล้านรายการผ่านเครื่องมือการวิเคราะห์เนื้อหา Clearscope.io.

ผลการวิเคราะห์พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่าง “Content Grade” กับการจัดอันดับใน Google ทั้งในผลการค้นหาบนเดสก์ท็อปและมือถือ

7higher-clearscope-content-grades-correlate-with-higher-google-rankings

ในความเป็นจริง เมื่อพิจารณาผลการค้นหาทั้ง 30 อันดับแรก การเพิ่ม Content Grade ขึ้น 1 จะเท่ากับการเพิ่มอันดับขึ้น 1 ตำแหน่ง ซึ่งบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่สำคัญ

ตัวอย่างเช่น, ลองดูหน้านี้จาก PaleoLeap.com

8paleoleap-paleo-breakfast-ideas-post

หน้านี้มีคุณสมบัติหลายอย่างที่มักจะมีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงใน Google

ตัวอย่างเช่น หน้านี้ใช้คำหลักที่ตรงกับ Title Tag และ Heading tag และโดเมนก็มีอำนาจสูง (Ahrefs Domain Rating 73)

แต่หน้านี้จัดอันดับแค่ อันดับ 9 สำหรับคำค้นว่า: “Paleo diet breakfasts”

9paleoleap-post-google-serp

แน่นอน, หน้านี้ยังมี Content Grade ที่ค่อนข้างต่ำ

10paleo-breakfast-ideas-content-grade

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเนื้อหาที่ครอบคลุม จะส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรงหรือไม่

อาจเป็นไปได้ว่า Google มีความชอบเนื้อหาที่ครอบคลุม หรืออาจเป็นไปได้ว่าผู้ใช้พึงพอใจมากขึ้นกับผลการค้นหาที่ให้คำตอบที่ตรงกับคำถามของพวกเขา

เนื่องจากนี่เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ จึงไม่สามารถระบุเหตุผลที่แท้จริงจากข้อมูลได้เพียงอย่างเดียว

สรุป : การเขียนเนื้อหาที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง สามารถช่วยให้หน้าเว็บมีโอกาสจัดอันดับสูงขึ้นใน Google

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ

Google ได้ใช้ ความเร็วของเว็บไซต์ เป็นสัญญาณการจัดอันดับอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2010

และการอัปเดตล่าสุดของ Google ที่เกี่ยวข้องกับความเร็ว “Speed Update” ในปี 2018 ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ค้นหาผ่านมือถือได้หน้าเว็บที่โหลดเร็วขึ้น

11google-blog-using-page-speed-in-mobile-search

ความเร็วของเว็บไซต์มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับใน Google หรือไม่ ?

ได้มีการทดลองใช้  Alexa’s domain speed เพื่อวิเคราะห์เวลาการโหลดเฉลี่ย1 ล้านโดเมน

‘’เราไม่ได้วัดความเร็วในการโหลดของหน้าเว็บแต่ละหน้าในชุดข้อมูลโดยตรง แต่เรามองที่ความเร็วการโหลดเฉลี่ยของโดเมนทั้งหมดในชุดข้อมูล’’

โดยรวมพบว่า ‘’ไม่มีความสัมพันธ์’’ ระหว่างความเร็วของเว็บไซต์และการจัดอันดับใน Google

12page-loading-speed-does-not-correlate-with-first-page-google-rankings

ผลการค้นพบนี้อาจทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะอย่างที่ทราบกันว่า PageSpeed เป็นสัญญาณการจัดอันดับที่ได้รับการยืนยันจาก Google

คุณคงคาดหวังว่า หน้าเว็บที่โหลดเร็ว จะมีโอกาสจัดอันดับดีกว่าหน้าเว็บที่โหลดช้ากว่า

และเมื่อ Google ประกาศ Speed Update การอัพเดตมีผลต่อ หน้าเว็บที่โหลดช้ามากๆ

13speed-update-only-affecting-slow-pages

แต่โดยรวมแล้วการอัปเดตนี้อาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก

speed-update-only-affecting-small-percentage-of-queries

กล่าวโดยสรุป อัลกอริธึมของ Google ดูเหมือนจะลดอันดับหน้าเว็บที่โหลดช้ามาก ๆ ในขณะที่หน้าเว็บที่โหลดเร็วจะได้รับประโยชน์และมีอันดับที่เพิ่มสูงขึ้น

การวิเคราะห์ของเราพบว่า ความเร็วในการโหลดเฉลี่ยของหน้าเว็บที่ติดอันดับหน้าแรก อยู่ที่ 1.65 วินาที

median-page-loading-speed-for-googles-top-10-results-is-under-2-seconds

ก่อนหน้านี้เราพบว่า หน้าเว็บเฉลี่ยใช้เวลาในการโหลด 10 วินาทีในเดสก์ท็อป และ 27 วินาทีในมือถือ

mean-fully-loaded-speed-on-desktop-and-mobile

เมื่อเทียบกับมาตรฐานนี้ ความเร็วในการโหลดเฉลี่ย 1.65 วินาที ถือว่าเร็วมาก

และเนื่องจากผลการค้นหาทั้ง 10 อันดับแรกมักจะโหลดได้ค่อนข้างเร็ว จึงดูเหมือนว่าเว็บไซต์เหล่านี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการอัปเดตในเรื่องความเร็วต่างๆของ Google

สรุป : ผลการค้นหาหน้าแรกของ Google โดยเฉลี่ย หน้าเว็บมีความเร็วในการโหลด 1.65 วินาที

จำนวนโดเมนที่อ้างอิงถึงดูเหมือนจะมีผลต่อการจัดอันดับ

ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หลายคนเห็นด้วยว่าการได้รับแบ็คลิงก์หลายลิงก์จากโดเมนเดียวกันมีผลลดลงเมื่อเทียบกับการได้แบ็คลิงก์จากหลายโดเมน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การได้รับลิงก์ 10 ลิงก์จาก 10 เว็บไซต์ต่างกันย่อมดีกว่าการได้รับลิงก์ 10 ลิงก์จากโดเมนเดียวกัน

จากการวิเคราะห์ของเรา ดูเหมือนว่าข้อนี้จะเป็นจริง เราพบว่าความหลากหลายของโดเมนมีผลสำคัญต่อการจัดอันดับ

top-ranking-pages-have-more-referring-domains-than-lower-ranking-pages

เช่นเดียวกับแบ็คลิงก์ ผลการค้นหาอันดับต้นๆ มักมีโดเมนที่ลิงก์มายังมากกว่าผลลัพธ์ที่อยู่ช่วงล่างของหน้าแรก

the-number-1-result-in-google-has-3x-more-referring-domains-than-positions

ข้อสรุปสำคัญ: การได้รับลิงก์จากกลุ่มโดเมนที่หลากหลายดูเหมือนจะสำคัญต่อ SEO

แท็กชื่อเรื่องส่วนใหญ่บนหน้าผลการค้นหาของกูเกิ้ล มีคีย์เวิร์ดที่ตรงหรือใกล้เคียงกับคำค้นหานั้นๆ

ตั้งแต่ยุคแรกของเสิร์ชเอนจิน แท็กชื่อเรื่องถูกพิจารณาให้เป็นองค์ประกอบ SEO บนหน้าเว็บที่สำคัญที่สุด

เนื่องจากแท็กชื่อเรื่องของคุณให้ภาพรวมของหัวข้อบนหน้าเว็บแก่ผู้ใช้งาน (และเสิร์ชเอนจิน) คำที่ปรากฏในแท็กชื่อเรื่องจึงน่าจะมีผลต่อการจัดอันดับอย่างมีนัยสำคัญ

อันที่จริง คู่มือเริ่มต้นการทำ SEO ของกูเกิลแนะนำให้เขียนแท็กชื่อเรื่องที่อธิบายเนื้อหาของหน้านั้นอย่างชัดเจน

google-support-on-choosing-titles

แน่นอนว่า เราพบว่าแท็กชื่อเรื่องส่วนใหญ่บนหน้าแรกของกูเกิล มีคีย์เวิร์ดทั้งหมดหรือบางส่วนของคำที่พวกเขาติดอันดับ

most-titles-contain-65-to-85-percent-of-the-keyword

แม้ว่าส่วนใหญ่ของหน้าที่ติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดจะมีคีย์เวิร์ดนั้นอยู่ในแท็กชื่อเรื่อง แต่การปรับแท็กชื่อเรื่องให้มีคีย์เวิร์ดไม่ได้ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์กับอันดับที่สูงขึ้นบนหน้าแรก

keyword-optimized-title-tags-dont-correlate-with-higher-first-page-google-rankings

อันที่จริง แบบจำลองเชิงเส้นของเราทำนายว่าความสัมพันธ์ระหว่างการใช้คีย์เวิร์ดในแท็กชื่อเรื่องกับการจัดอันดับนั้นน้อยมาก (มีความแตกต่างเพียง 1% ระหว่างผลลัพธ์อันดับที่ 1 และอันดับที่ 10)

ดูเหมือนว่าแท็กชื่อเรื่องที่มีคีย์เวิร์ดอาจเป็นเหมือน “ตั๋วเข้าร่วม” ที่ช่วยให้คุณติดอยู่บนหน้าแรกได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณอยู่บนหน้าแรกแล้ว การใช้คีย์เวิร์ดตรงๆ ในแท็กชื่อเรื่องดูเหมือนจะไม่ช่วยให้คุณไต่อันดับสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยอื่นๆ เช่น แบ็คลิงก์ สัญญาณประสบการณ์ผู้ใช้ และค่า Domain Authority จะมีบทบาทสำคัญมากกว่า

ข้อสรุปสำคัญ: หน้าเว็บที่อยู่ในผลลัพธ์ 10 อันดับแรกของกูเกิล มีคีย์เวิร์ดที่พวกเขาติดอันดับอยู่ในแท็กชื่อเรื่องประมาณ 65% ถึง 85% อย่างไรก็ตาม เราพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างการใช้แท็กชื่อเรื่องที่มีคีย์เวิร์ดกับการมีอันดับสูงขึ้นในหน้าแรกมีน้อยมาก (ถ้ามี)

การใช้แท็ก H1 ที่มีคีย์เวิร์ดไม่ได้สัมพันธ์กับการมีอันดับสูงขึ้นบนหน้าแรก

คล้ายกับสิ่งที่เราพบเกี่ยวกับแท็กชื่อเรื่อง หน้าเว็บส่วนใหญ่ในผลการค้นหาของกูเกิล มีคีย์เวิร์ดที่ตรงกันในแท็ก H1 ของหน้า

most-h1-tags-contain-60-to-80-percent-of-the-keyword

นอกจากนี้การใช้ H1 ที่มีคีย์เวิร์ดตรงกันแทบไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับที่สูงขึ้นในกูเกิลอีกด้วย

keyword-optimized-h1-tags-dont-correlate-with-higher-first-page-google-rankings

ข้อสรุปสำคัญ: เช่นเดียวกับการเพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อเรื่อง H1 อาจเป็น “ตั๋วเข้าร่วม” ที่ช่วยให้คุณติดหน้าแรกของกูเกิลได้ แต่การใช้ H1 ที่มีคีย์เวิร์ดมากอาจไม่ใช่สัญญาณการจัดอันดับที่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยให้หน้าเว็บขยับอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาหน้าแรก

ความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บ (URL Rating) มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น

นอกจากการพิจารณาค่าความน่าเชื่อถือของโดเมน (Domain Rating) เรายังต้องการตอบคำถามว่า:

ความน่าเชื่อถือของลิงก์โดยรวมของหน้าหนึ่ง ๆ มีผลต่อการจัดอันดับหรือไม่?

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การได้รับแบ็คลิงก์ไปยังหน้าเฉพาะสำคัญกว่า หรือความน่าเชื่อถือของโดเมนโดยรวมของเว็บไซต์สำคัญกว่า?

เพื่อหาคำตอบ เราได้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความน่าเชื่อถือของหน้า (วัดโดย Ahrefs URL Rating) กับการจัดอันดับ

แม้ว่าเราจะพบว่า URL Rating และการจัดอันดับมีความสัมพันธ์กัน แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เล็กน้อย

pages-ranked-1-6-have-a-median-url-rating-of-12-the-median-url-rating

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ติดอันดับใน 6 อันดับแรกมีค่า URL Rating ที่สูงกว่านิดหน่อย (ค่า 12) เมื่อเทียบกับหน้าที่อยู่ในอันดับ 7-10 (ค่า 11)

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่แข็งแกร่งเท่ากับผลกระทบของค่า Domain Rating ของเว็บไซต์ที่มีต่อการจัดอันดับ

โดยรวมแล้ว ค่า URL Rating ของหน้าเว็บใน 10 อันดับแรกมีความใกล้เคียงกัน

url-rating-is-similiar-among-the-top-10-results-in-google-11-on-average

จากข้อมูลทั้งหมด เราพบว่าค่าเฉลี่ยของ URL Rating สำหรับผลลัพธ์บนหน้าแรกของกูเกิลอยู่ที่ 11.2

ข้อสรุปสำคัญ: ความน่าเชื่อถือของลิงก์ในแต่ละหน้าเว็บบนเว็บไซต์ของคุณดูเหมือนจะมีผลต่อการจัดอันดับน้อยกว่าเมื่อเทียบกับความน่าเชื่อถือโดยรวมของโดเมนเว็บไซต์ของคุณ

จำนวนคำเฉลี่ยของผลลัพธ์หน้าแรกบนกูเกิลคือ 1,447 คำ

เนื้อหาที่ยาวมีประสิทธิภาพดีกว่าโพสต์บล็อกสั้น ๆ 200 คำหรือไม่?

การศึกษาในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นการศึกษานี้พบว่าเนื้อหาที่ยาวมักสะสมแบ็คลิงก์ได้มากกว่าโพสต์บล็อกสั้น

long-form-content-generates-more-backlinks-than-short-blog-posts

จริงๆแล้วเราพบว่าเนื้อหาที่ติดอันดับในกูเกิล มักจะเป็นเนื้อหาที่มีความยาว

โดยรวมแล้ว จำนวนคำเฉลี่ยของผลลัพธ์ใน 10 อันดับแรกของกูเกิล คือ 1,447 คำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเนื้อหาที่ยาวจะเหมาะสำหรับการสร้างลิงก์ แต่เรากลับไม่พบความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างจำนวนคำกับการจัดอันดับ

average-content-word-count-of-the-10-results-is-evenly-distributed

สิ่งนี้อาจเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า เช่นเดียวกับแท็กชื่อเรื่องที่ปรับคีย์เวิร์ด เนื้อหาที่ยาวสามารถช่วยให้คุณติดหน้าแรกได้ แต่จะไม่ได้ช่วยให้อันดับดีขึ้นเมื่อคุณอยู่บนหน้าแรกแล้ว

เนื่องจากเป็นการศึกษาเชิงความสัมพันธ์ เราจึงไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดเนื้อหาที่ยาวจึงมักปรากฏในหน้าแรกของกูเกิล

ข้อสรุปสำคัญ: หน้าเว็บที่มีจำนวนคำมากดูเหมือนจะมีโอกาสติดอันดับสูงบนหน้าแรกเท่ากับหน้าเว็บที่มีจำนวนคำน้อย โดยจำนวนคำเฉลี่ยของผลลัพธ์หน้าแรกของกูเกิลคือ 1,447 คำ

ขนาด HTML ของหน้าเว็บไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ

ขนาดหน้าเว็บ (ในแง่ของจำนวนไบต์ทั้งหมด) มีผลต่อการจัดอันดับในกูเกิล หรือไม่?

จากการวิเคราะห์นี้ คำตอบคือ “ไม่”

เราไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของหน้าเว็บกับการจัดอันดับ

page-html-size-has-no-relationship-with-rankings

ในชุมชน SEO มีการคาดเดาว่าหน้าเว็บที่มีขนาดใหญ่และ HTML ที่ซับซ้อนอาจเสียเปรียบในการจัดอันดับ

seo-community-on-bloated-html

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์หน้าที่เราศึกษา พบว่าขนาดของหน้าเว็บไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับ

ข้อสรุปสำคัญ: ขนาดของหน้าเว็บดูเหมือนจะไม่มีผลต่อการจัดอันดับในกูเกิล

URL สั้นมีแนวโน้มที่จะจัดอันดับได้ดีกว่า URL ยาว

กูเกิลแนะนำให้ใช้ “URL ที่เรียบง่าย” และระบุอย่างชัดเจนว่าไม่ควรใช้ “URL ที่ยาวเกินไป”

google-support-on-simple-headlines

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำเหล่านี้ดูเหมือนจะเน้นไปที่การปรับ URL เพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้มากกว่าการทำ SEO

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเริ่มศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความยาวของ URL กับการจัดอันดับ

เราได้พบว่า URL ที่สั้นมีอันดับที่สูงกว่า URL ที่ยาว

short-urls-tend-to-outrank-long-urls

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง URL ที่อยู่อันดับที่ 1 จะสั้นกว่า URL ที่อยู่อันดับที่ 10 โดยเฉลี่ย 9.2 ตัวอักษร

urls-at-position-1-are-9-characters-shorter-vs-urls-that-rank

และความยาวเฉลี่ยของ URL สำหรับผลลัพธ์ใน 10 อันดับแรกของกูเกิล คือ 66 ตัวอักษร

อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว URL ส่วนใหญ่ในหน้าแรกของกูเกิล มีความยาวใกล้เคียงกันอยู่ที่ประมาณ 40 ถึง 100 ตัวอักษร

most-urls-on-googles-first-page-are-between-40-100-characters

URL ที่สั้นอาจช่วยปรับปรุง SEO ได้ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้:

ประการแรก URL ที่สั้นอาจนำไปสู่ค่า CTR (Click-Through Rate) แบบออร์แกนิกที่สูงขึ้น จากการศึกษาเกี่ยวกับ CTR แบบออร์แกนิกในวงกว้างของเรา พบว่า URL สั้นมีค่า CTR สูงกว่า URL ยาว

ประการที่สอง URL ที่สั้นอาจช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าคุณได้ง่ายขึ้น

สุดท้าย URL ที่ยาวมักชี้ไปยังหน้าที่อยู่ห่างจากหน้าแรกของเว็บไซต์หลายคลิก ซึ่งมักหมายความว่ามีการส่งผ่านความน่าเชื่อถือน้อยลงไปยังหน้านั้น และความน่าเชื่อถือที่น้อยลงหมายถึงอันดับที่ต่ำลง

ตัวอย่างเช่น URL นี้ที่ชี้ไปยังหน้าสินค้าแจกัน แสดงถึงหน้าที่อยู่ห่างไกลจากหน้าแรกที่มีความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

david-jones-long-url-example

ข้อสรุปสำคัญ: URL ที่สั้นกว่ามีความสัมพันธ์กับอันดับที่สูงขึ้น โดย URL เฉลี่ยบนหน้าแรกของกูเกิลมีความยาว 66 ตัวอักษร

Schema Markup ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุมชน SEO มีการพูดถึง Schema กันอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม กูเกิลเองก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของ Schema ต่อการจัดอันดับ

shema-markup-discussion-tweet

หลายคนเชื่อว่า Schema markup ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น ซึ่งความเข้าใจที่ลึกซึ้งนี้จะกระตุ้นให้พวกเขานำเสนอเว็บไซต์ของคุณให้กับผู้คนมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (structured data) เพื่อให้กูเกิลรู้ว่าเมื่อคุณใช้คำว่า “Toy Story” คุณกำลังหมายถึงชื่อภาพยนตร์ต้นฉบับ… ไม่ใช่แฟรนไชส์โดยทั่วไป

toy-story-structured-data

หลายเว็บไซต์ใช้ Schema เพื่อให้ได้ Rich Snippets ในผลการค้นหา (SERPs)

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประโยชน์เหล่านี้ แต่เราพบว่าเว็บไซต์ที่ใช้ Schema นั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย

เราค้นพบว่า มีเพียง 72.6% ของหน้าเว็บในหน้าแรกของกูเกิล ที่ใช้ Schema

และจากการวิเคราะห์ของเรา การใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (structured data) ไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดอันดับในกูเกิล

there-is-no-correlation-between-schema-markup-and-rankings

ข้อสรุปสำคัญ: การใช้ Schema markup อาจมีประโยชน์ในบางกรณี แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดอันดับที่สูงขึ้นในกูเกิล

เว็บไซต์ที่มี คนใช้งานอยู่บนเว็บไซต์นาน มักจะมีอันดับที่สูงกว่าในกูเกิล

หลายคนในวงการ SEO ได้คาดเดาว่ากูเกิลใช้ “สัญญาณจากประสบการณ์ของผู้ใช้” (เช่น อัตราการออกจากหน้า (bounce rate), เวลาอยู่บนเว็บไซต์, อัตราการคลิกออร์แกนิก, และการกลับมาที่หน้าเดิม (pogosticking)) เป็นปัจจัยในการจัดอันดับ

เพื่อทดสอบทฤษฎีนี้ เราได้ทำการทดสอบกับโดเมนบางส่วนในชุดข้อมูลของเราโดยใช้ Alexa เพื่อตรวจสอบเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้บนเว็บไซต์ จากนั้นเราก็ตรวจสอบดูว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างเวลาอยู่บนเว็บไซต์กับการจัดอันดับในหน้าแรกของกูเกิล หรือไม่

เราพบว่ามีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างเวลาอยู่บนเว็บไซต์และการจัดอันดับ

website-time-on-site-correlates-with-higher-google-rankings

โดยเฉพาะ เราค้นพบว่าเวลาอยู่บนเว็บไซต์มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น

โดยทั่วไป เฉลี่ยแล้วเวลาอยู่บนเว็บไซต์สำหรับผลลัพธ์ในหน้าแรกของกูเกิล คือ 2.5 นาที

average-time-on-site-for-a-google-first-page-result-is-150-seconds

โปรดจำไว้ว่าเราไม่ได้แนะนำว่าเวลาอยู่บนเว็บไซต์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจัดอันดับที่สูงขึ้น

แน่นอนว่า กูเกิลอาจใช้บางอย่าง เช่น เวลาอยู่บนเว็บไซต์หรืออัตราการออกจากหน้า (bounce rate) เป็นสัญญาณในการจัดอันดับ (แม้ว่าพวกเขาจะเคยปฏิเสธเรื่องนี้มาก่อน) หรืออาจเป็นเพราะเนื้อหาคุณภาพสูงทำให้ผู้คนมีส่วนร่วมมากขึ้น ดังนั้นเวลาอยู่บนเว็บไซต์ที่สูงอาจเป็นผลพลอยได้จากเนื้อหาคุณภาพสูง ซึ่งทางกูเกิลจะวัดผล

เนื่องจากนี่เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ จึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุจากข้อมูลของเราเพียงอย่างเดียว

ข้อสรุปสำคัญ: เวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์สำหรับผลลัพธ์ในหน้าแรกของกูเกิล คือ 2.5 นาที

เราได้พบว่ามีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างเวลาอยู่บนเว็บไซต์และการจัดอันดับในกูเกิล แต่ยังไม่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์นี้เป็นแค่ความสัมพันธ์หรือการเชื่อมโยงที่เป็นสาเหตุ

สรุป

ขอขอบคุณ Ahrefs ที่ให้ข้อมูลดิบที่ทำให้การศึกษานี้เป็นไปได้

นอกจากนี้หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่เรารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล สามารถดูวิธีการศึกษาของเราได้ที่ลิงก์นี้ และเรายังอัปโหลดข้อมูลดิบที่ใช้ในการวิเคราะห์นี้ไปที่ GitHub

ตอนนี้ฉันอยากได้ความคิดเห็นจากคุณ:

บทเรียนสำคัญที่คุณได้จากการวิเคราะห์นี้คืออะไร?

หรืออาจจะมีคำถามเกี่ยวกับผลการศึกษา

ไม่ว่ากรณีใด โปรดทิ้งความคิดเห็นไว้ด้านล่างตอนนี้เลย