Small Business SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็กคืออะไร? สามารถเป็นแหล่งรายได้มหาศาลสำหรับธุรกิจขนาดเล็กของคุณได้ ไปกับ
SEO (Search Engine Optimization) สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงตัวตนบนโลกออนไลน์ของธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้ติดอันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหาอย่าง Google
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะผู้คนจำนวนมากกำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณมีอยู่แล้ว สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะหาธุรกิจของคุณเจอในผลการค้นหานั่นเอง
SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กับ SEO ท้องถิ่น มีความแตกต่างที่สำคัญ
แม้ว่า SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business SEO) และ SEO ท้องถิ่น (Local SEO) จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน
SEO ท้องถิ่น (Local SEO)
- ช่วยให้ธุรกิจที่มีหน้าร้านจริงติดอันดับเมื่อลูกค้าค้นหาคำที่มีตำแหน่งที่ตั้ง เช่น “หมอฟันใกล้ฉัน” หรือ “ร้านกาแฟในตัวเมือง”
- Google เคยกล่าวไว้ว่า 46% ของการค้นหาทั้งหมดบน Google เป็นการค้นหาข้อมูลในท้องถิ่น
SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business SEO)
- ครอบคลุมกว้างกว่า
- ใช้ได้กับธุรกิจขนาดเล็กทุกประเภท ไม่ว่าจะมีหน้าร้านจริงหรือไม่ก็ตาม
นี่คือตารางเปรียบเทียบ
Small Business SEO | Local SEO |
เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ทุกประเภท ไม่ว่าจะมีหน้าร้านหรือไม่ก็ตาม | เหมาะสำหรับธุรกิจที่มี หน้าร้านจริง ที่ลูกค้าสามารถเดินทางไปได้ |
มุ่งเน้นการใช้คีย์เวิร์ดที่กว้างขึ้นและเฉพาะเจาะจงในพื้นที่ | เน้นการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ เช่น “ร้านอาหาร [ชื่อเมือง]” หรือ “ช่างซ่อมคอม [ใกล้ฉัน]” |
แข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น | แข่งขันหลักๆ ในตลาดท้องถิ่นเท่านั้น |
ธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ทั้งสองอย่าง SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและ SEO ที่เน้นพื้นที่
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทบัญชีแห่งหนึ่งอาจใช้ SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้ติดอันดับในการค้นหาอย่าง “วิธีลดหย่อนภาษี” หรือ “เคล็ดลับการจัดการกระแสเงินสด” วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขาสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้เชี่ยวชาญในสายงานและดึงดูดลูกค้าได้ในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับการค้นหาที่เจาะจงพื้นที่ เช่น “ผู้สอบบัญชีใกล้ฉัน” หรือ “ที่ปรึกษาด้านภาษีในเดนเวอร์” โดยหลักแล้วการแข่งขันจะอยู่ในตลาดท้องถิ่น
ถ้าหากสนใจอยากจะ เรียน SEO ที่ไหนดี ได้จากที่ไหนบ้าง มาอ่านเพิ่มเติม

ทำไม Small Business SEO ถึงสำคัญกับธุรกิจขนาดเล็ก
SEO หรือ Search Engine Optimization หรือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหา เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้มีโอกาสสูงที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีขึ้น
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ SEO มีประโยชน์อย่างยิ่ง
- ได้ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันลูกค้าค้นหาสินค้าหรือบริการตลอดเวลา และการที่ธุรกิจของคุณได้รับการปรับแต่งมาอย่างดีจะทำให้สามารถปรากฏและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ตลอด 24 ชั่วโมง Google มีการประมวลผลการค้นหากว่า 9.5 ล้านครั้งต่อนาที นั่นหมายถึงมีโอกาสมากมายที่ธุรกิจของคุณจะถูกค้นพบ
- เริ่มต้นได้ฟรีต่างจากการโฆษณาแบบเสียเงิน SEO ต้องการเพียงแค่เวลาและความพยายาม ไม่ต้องใช้เงินไปกับการลงโฆษณา
- ช่วยสร้างแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อคุณปรากฏในผลการค้นหาอย่างสม่ำเสมอในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง จะช่วยสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือ ทำให้ธุรกิจของคุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่คุณทำอยู่
- ให้ผลลัพธ์ในระยะยาวในขณะที่โฆษณาแบบเสียเงินจะหยุดทำงานทันทีที่คุณหยุดจ่ายเงิน แต่ SEO จะยังคงดึงดูดผู้เข้าชมและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปีหลังจากที่คุณเริ่มต้นทำไปแล้วก็ตาม
9 ขั้นตอนในการทำ ธุรกิจขนาดเล็ก Small Business SEO
คุณสามารถทำตามขั้นตอน Small Business SEO มีเทคนิคทั้งหมด 9 ลำดับ เหล่านี้เพื่อปรับปรุง SEO ให้กับธุรกิจขนาดเล็กของคุณได้ ถ้าพร้อมแล้วทางทีมงาน SEOGURU ขออาสาพามาเจาะลึกรายละเอียดกัน
1. ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
เริ่มต้นจากการหา คีย์เวิร์ด keywords (คำที่ใช้ค้นหา) ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณใช้เมื่อต้องการค้นหาธุรกิจแบบเดียวกับคุณ ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะคุณต้องปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้น เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ให้บริการ บอดี้การ์ด VIP สำหรับบุคคลสำคัญทั่วประเทศ ลองนึกถึงคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าของคุณอาจจะใช้ค้นหาบริการของคุณ ลองคิดจากมุมมองของลูกค้าว่าพวกเขาจะอธิบายถึงบริการของคุณอย่างไรบ้าง
คุณอาจจะได้คำต่างๆ เหล่านี้
- บริการบอดี้การ์ด
- บริการรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้บริหาร
- รักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล
- บริการรักษาความปลอดภัยงานอีเวนต์
- บริการคุ้มครองบุคคลสำคัญ
- บอดี้การ์ดดารา
หลังจากนั้นคุณจะต้องตรวจสอบและหาคีย์เวิร์ดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดอย่าง Keyword Overview ได้เลย เพียงแค่เปิดเครื่องมือนี้ขึ้นมา ใส่คีย์เวิร์ดแรกที่คุณคิดได้ (“bodyguard services”) แล้วกด “Search”

คุณจะเห็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนี้

โดยเฉพาะ ให้ดูที่
- ปริมาณการค้นหา Volume : ตัวเลขนี้บอกจำนวนคนโดยเฉลี่ยที่ค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ในแต่ละเดือน เป็นตัวชี้วัดความสนใจโดยรวมในคีย์เวิร์ดนั้น
- เจตนาในการค้นหา Search intent : ข้อมูลนี้จะบอกว่าทำไมคนถึงค้นหาคำนี้ เนื่องจาก “bodyguard services” (บริการบอดี้การ์ด) เป็นคำเชิงพาณิชย์ คีย์เวิร์ดของคุณจึงดึงดูดคนที่กำลังมองหาและต้องการจะจ้างบริการอารักขาจริงๆ
- ความยากของคีย์เวิร์ด Keyword difficulty : นี่คือคะแนนที่บอกว่าการจะติดอันดับ 1 ใน 10 ของ Google สำหรับคีย์เวิร์ดนี้จะยากแค่ไหน ในฐานะธุรกิจขนาดเล็ก คุณควรเน้นคีย์เวิร์ดที่มีคะแนนความยากต่ำๆ เพราะคุณจะไปสู้กับเว็บไซต์ใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงในคำที่มีการแข่งขันสูงมากๆ ได้ยาก “Bodyguard services” มีคะแนนความยากอยู่ที่ 15 ซึ่งเป็นระดับที่เว็บไซต์ขนาดเล็กส่วนใหญ่สามารถทำอันดับได้ไม่ยาก
คุณควรใช้ส่วน “ไอเดียคีย์เวิร์ด Keyword ideas” เพื่อหาคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่คุณอาจต้องการนำไปใช้ได้ด้วย

ทำกระบวนการค้นคว้าแบบนี้ซ้ำไปในแต่ละคำหลัก keyword มีกี่ประเภท ที่อยู่ในรายการของคุณ ในไม่ช้าคุณก็จะมีไอเดียคำหลักจำนวนมาก จากนั้นก็ถึงเวลาที่จะนำคำหลักเหล่านี้มาใช้กับเว็บไซต์ของคุณ
2. สร้างหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้คือการสร้างหน้าเว็บแยกสำหรับแต่ละบริการที่คุณนำเสนอ
ตัวอย่างเช่น คุณอาจสร้างหน้าเว็บต่างๆ ดังนี้
- หน้าบริการอารักขาผู้บริหาร Executive protection services – มุ่งเป้าไปที่คำหลัก “executive protection” และคำที่ใกล้เคียง
- หน้าบริการบอดี้การ์ดสำหรับดารา Celebrity bodyguard services – มุ่งเป้าไปที่คำหลัก “celebrity bodyguard” และคำที่ใกล้เคียง
- หน้าบริการรักษาความปลอดภัยงานอีเวนต์ Event security – มุ่งเป้าไปที่คำหลัก “event security services” และคำที่ใกล้เคียง
หน้าบริการแต่ละหน้าควรมีคุณสมบัติดังนี้
- อธิบายบริการที่คุณนำเสนออย่างชัดเจน
- ใส่คำรับรองจากลูกค้า testimonials หรือกรณีศึกษา case studies ถ้าเป็นไปได้
- มีข้อมูลติดต่อและคำกระตุ้นการตัดสินใจ CTAs ที่ชัดเจน
- ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในจุดสำคัญต่างๆ เช่น Title tag, meta description, URL slug, H1, หัวข้อย่อย subheadings และเนื้อหาหลัก body content ซึ่งสิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา
นอกจากนี้ คุณควรพิจารณาสร้างหน้าเว็บเฉพาะสำหรับแต่ละพื้นที่ location-specific pages หากธุรกิจของคุณให้บริการในหลายพื้นที่
ในตัวอย่างสมมตินี้ เนื่องจากบริษัทรักษาความปลอดภัยให้บริการทั่วรัฐนิวยอร์ก การสร้างหน้าเว็บที่เจาะจงสำหรับพื้นที่มหานครใหญ่ๆ ที่มีความต้องการสูงจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
หน้าเว็บต่างๆ เช่น “Bodyguard Services in New York City” บริการบอดี้การ์ดในนิวยอร์กซิตี้ หรือ “Executive Protection in Buffalo” บริการอารักขาผู้บริหารในบัฟฟาโล สามารถช่วยให้คุณติดอันดับในการค้นหาในพื้นที่ได้
3. ปรับปรุงโครงสร้างและการนำทางของเว็บไซต์
เมื่อคุณสร้างหน้าสำหรับบริการและตำแหน่งที่ตั้งเรียบร้อยแล้ว คุณต้องจัดระเบียบหน้าเหล่านั้นให้มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบและสมเหตุสมผล เพื่อให้ทั้งผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย
ทำให้ทุกอย่างเรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่า
- ทุกหน้าเข้าถึงได้ง่ายจากหน้าหลัก : เครื่องมือค้นหาจะสามารถรวบรวมและจัดทำดัชนีหน้าทั้งหมดของคุณได้อย่างง่ายดาย โดยไม่หลงทางในเส้นทางการนำทางที่ซับซ้อน
- โครงสร้างเอื้อต่อการขยายในอนาคต : คุณสามารถเพิ่มหน้าบริการหรือหน้าเมืองใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องจัดระเบียบเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมด
4. สร้างเนื้อหาบล็อกที่เป็นประโยชน์
การสร้างเนื้อหาเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการดึงดูดลูกค้าและสร้างความเชี่ยวชาญในธุรกิจของคุณ เป้าหมายคือเพื่อให้ผู้ใช้พบเนื้อหาของคุณจากผลการค้นหา มีส่วนร่วมกับเนื้อหา และจดจำธุรกิจของคุณได้เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะตัดสินใจซื้อ
แต่จะหาไอเดียสำหรับหัวข้อบล็อกได้อย่างไร?
คุณสามารถใช้เครื่องมือ Topic Research ของ Semrush ได้ เพียงแค่ใส่หัวข้อกว้างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เช่น “การอารักขาบุคคลสำคัญ” สำหรับตัวอย่างบริษัทรักษาความปลอดภัย แล้วคลิก “Get content ideas” รับไอเดียเนื้อหา

คุณจะเห็นไอเดียหัวข้อที่จัดหมวดหมู่ไว้ใน “การ์ด” ต่างๆ แต่ละการ์ดจะแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ปริมาณการค้นหารายเดือน : จำนวนครั้งที่มีคนค้นหาหัวข้อนี้ในแต่ละเดือน
- หัวข้อข่าวจากหน้าเว็บอันดับสูงสุด : ตัวอย่างหัวข้อจากหน้าเว็บที่ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหาหัวข้อนี้
- คำถามที่เกี่ยวข้องที่พบบ่อย : คำถามทั่วไปที่ผู้คนมักจะถามเกี่ยวกับหัวข้อนี้

ในการสร้างเนื้อหาจริง ๆ นี่คือเคล็ดลับบางประการที่คุณควรปฏิบัติตาม
- ทำให้เนื้อหามีประโยชน์อย่างแท้จริง ผู้อ่านควรรู้และเข้าใจหัวข้อนั้น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์หลังจากอ่านบทความของคุณ
- ทำให้อ่านง่าย แบ่งเนื้อหาออกเป็นย่อหน้าสั้น ๆ มีหัวข้อย่อย และใช้สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย bullet points เพราะคนส่วนใหญ่มักจะกวาดสายตาดูเนื้อหาเพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
- แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้ E-E-A-T ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณถูกสร้างโดยผู้ที่มีประสบการณ์จริงในสาขาที่คุณเขียน และใส่คุณสมบัติหรือข้อมูลรับรองในประวัติผู้เขียน และอ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนข้อความที่คุณกล่าวอ้างในบทความ
5. ค้นหาและแก้ไขปัญหา เชิงเทคนิค Technical SEO
การค้นหาและแก้ไขปัญหาเชิง เทคนิค SEO เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เครื่องมือค้นหา Search Engines สามารถ คลาน crawl หรือหาหน้าเว็บของคุณ, ทำความเข้าใจ understand เนื้อหา และ จัดทำดัชนี index หรือจัดเก็บหน้าเว็บของคุณได้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะแม้แต่เนื้อหาที่ยอดเยี่ยมก็ไม่สามารถติดอันดับได้ หากเครื่องมือค้นหาไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างถูกต้อง
- อย่าเพิ่งกังวลกับคำว่า “เชิงเทคนิค” เพราะปัญหาส่วนใหญ่แก้ไขได้ง่ายมาก
- ยิ่งไปกว่านั้น เว็บไซต์ของคุณยังเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ซึ่งหมายความว่าคุณอาจจะไม่ได้มีปัญหามากมาย
- หากต้องการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีปัญหา Technical SEO หรือไม่ ให้ใช้เครื่องมือ Site Audit ของ Semrush
ตั้งค่าการคลานเว็บไซต์ของคุณ แล้วปล่อยให้เครื่องมือสแกนหน้าเว็บของคุณ เครื่องมือจะตรวจจับปัญหาทางเทคนิคโดยอัตโนมัติ และจัดเรียงตามระดับความรุนแรง
เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น ให้ไปที่แท็บ Issues ปัญหา เพื่อดูรายการปัญหาที่ถูกจัดหมวดหมู่ไว้

นี่คือปัญหาต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการแสดงผลของเว็บไซต์คุณในหน้าผลการค้นหา
สำหรับแต่ละปัญหา คุณจะเห็นลิงก์ “สาเหตุและวิธีแก้ไข” ซึ่งจะอธิบายถึงปัญหาและบอกวิธีแก้ไขที่ถูกต้องให้คุณทราบ

ตรวจสอบรายการและแก้ไขปัญหาทีละรายการ
6. การสร้าง Backlinks
Backlinks คือ ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่เชื่อมมายังเว็บไซต์ของคุณ

ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณการจัดอันดับที่ทรงพลังที่สุดของ Google เพราะเมื่อมีใครสักคนลิงก์มายังเว็บคุณ มันก็เหมือนกับการโหวตความน่าเชื่อถือให้คุณไปในตัว ยิ่งคุณมี Backlinks จากแหล่งที่มีคุณภาพมากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของคุณก็ยิ่งดูมีอำนาจและน่าไว้วางใจมากขึ้นในสายตาของเครื่องมือค้นหา
จากการศึกษาของ SEOGURU พบว่าหน้าเว็บที่ติดอันดับ 1 ใน Google มักมี Backlinks มากกว่าหน้าเว็บอื่นๆ ถึงเกือบ 4 เท่า! สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก คุณสามารถเริ่มสร้าง Backlinks ได้ง่าย ๆ ดังนี้:
- ลงทะเบียนในไดเรกทอรีท้องถิ่น เช่น Yelp, BBB, เว็บไซต์หอการค้า หรือไดเรกทอรีเฉพาะกลุ่ม ลิงก์เหล่านี้หามาไม่ยาก และควรเริ่มสร้างจากตรงนี้ก่อน
- ติดต่อสื่อท้องถิ่นหรือเว็บไซต์ในพื้นที่ เพื่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ เช่น การร่วมงานกับลูกค้าระดับโปรไฟล์สูง การเปิดตัวบริการใหม่ หรือการช่วยเหลือชุมชน หากพวกเขาสนใจนำเรื่องคุณไปลง ก็มักจะมีลิงก์กลับมาให้ด้วย
- สนับสนุนหรือลงเป็นสปอนเซอร์กิจกรรมท้องถิ่น เพราะเว็บไซต์งานอีเวนต์มักจะลิงก์กลับไปยังสปอนเซอร์ ซึ่งถือว่าเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งคุณได้ Backlink คุณภาพ ส่วนเขาก็ได้การสนับสนุน
7. การสร้างและปรับแต่ง Google Business Profile
หากคุณเป็นธุรกิจท้องถิ่นที่ให้บริการลูกค้าในพื้นที่ Google Business Profile (GBP) คือเครื่องมือที่คุณ ห้ามพลาด เพราะมันจะช่วยให้ธุรกิจคุณติดอันดับใน Local Pack (แผนที่ที่แสดงผลเมื่อมีการค้นหาท้องถิ่น) และยังทำให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ทันที

ถ้าธุรกิจคุณมีหลายสาขา ต้องสร้างโปรไฟล์แยกสำหรับแต่ละสาขาเพื่อเพิ่มโอกาสให้ติดการค้นหาในทุกพื้นที่ และที่สำคัญคือ Google Business Profile ใช้ได้ฟรี 100% โดยมี 2 วิธีเริ่มต้นใช้งาน:
- หากธุรกิจคุณมีอยู่แล้วใน Google Maps หรือ Search เพียงแค่ อ้างสิทธิ์ธุรกิจ
- หากยังไม่มี ให้สร้างโปรไฟล์ใหม่ที่ business.google.com
เมื่อได้โปรไฟล์แล้ว ขั้นต่อไปคือการปรับแต่งเพื่อให้โดดเด่นที่สุด:
- กรอกข้อมูลให้ครบทุกส่วน เช่น เวลาทำการ เบอร์โทร เว็บไซต์ และรายละเอียดธุรกิจ เพราะตามข้อมูลของ Google ธุรกิจที่กรอกข้อมูลครบถ้วน มีโอกาสถูกเข้าชมมากขึ้นถึง 70%
- ใส่ภาพถ่ายคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน ทีมงาน สินค้า หรือบรรยากาศบริการจริงๆ เพราะโปรไฟล์ที่มีรูปภาพจะได้การคลิกและการขอเส้นทางมากกว่า
- เลือกหมวดหมู่ให้เหมาะสม หมวดหมู่หลักส่งผลโดยตรงต่อการค้นหา ส่วนหมวดหมู่รองช่วยบอกบริการอื่นๆ ที่คุณมี
- เปิดใช้ระบบข้อความ (Messaging) ให้ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้ทันที พร้อมตั้งค่าข้อความตอบกลับอัตโนมัติสำหรับคำถามที่พบบ่อย
- อัปเดตข่าวสารและโปรโมชันเป็นประจำ ผ่าน Google Posts เพื่อบอกให้ลูกค้าและ Google รู้ว่าธุรกิจคุณยังคง เคลื่อนไหวและเปิดให้บริการ
8. การสร้าง Local NAP Citations
NAP citations คือการถูกกล่าวถึงทางออนไลน์ที่มีการระบุชื่อธุรกิจ (Name) ที่อยู่ (Address) และเบอร์โทรศัพท์ (Phone number) ของคุณ โดยมักปรากฏอยู่บนไดเรกทอรีท้องถิ่นหรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ
Google ใช้ NAP citations เพื่อยืนยันว่าธุรกิจของคุณมีอยู่จริงและน่าเชื่อถือ หากข้อมูลของคุณถูกแสดงตรงกันในหลายๆ เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ Google ก็จะมองว่าธุรกิจคุณน่าไว้วางใจมากขึ้น แต่ถ้าข้อมูลไม่ตรงกัน เช่น เบอร์โทรไม่เหมือนกัน ที่อยู่สะกดต่างกันนิดหน่อย หรือชื่อธุรกิจมีการเขียนไม่เหมือนกัน สิ่งนี้จะทำให้เกิดความสับสน และความสับสนนั้นอาจทำให้อันดับการค้นหาแบบ Local ของคุณตกลงได้
วิธีง่ายที่สุดในการจัดการ NAP citations ก็คือการใช้เครื่องมือ Semrush’s Listing Management เพียงใส่ชื่อธุรกิจของคุณ แล้วเลือกบริษัทจากผลลัพธ์ คุณก็จะได้รายงานที่บอกว่า:

- จำนวนลิสต์ธุรกิจที่มีอยู่แล้วทั้งหมด
- ลิสต์ที่ต้องแก้ไขข้อมูล
- ค่าเฉลี่ยการรีวิวดาวจากแพลตฟอร์มต่างๆ

เครื่องมือจะชี้ให้คุณเห็นจุดที่ผิดพลาดในข้อมูลปัจจุบัน

แล้วคุณสามารถอัปเดตข้อมูลธุรกิจในแต่ละแพลตฟอร์มที่มีปัญหาได้เอง หรือจะใช้ระบบอัตโนมัติของเครื่องมือกระจายข้อมูลที่ถูกต้องไปยังหลายแพลตฟอร์มพร้อมกันก็ได้

แถมคุณยังสามารถส่งข้อมูลธุรกิจไปยังไดเรกทอรีใหม่ๆ ที่ยังไม่มีลิสต์ของคุณได้อีกด้วย
9. การติดตามความก้าวหน้า SEO
สิ่งที่คุณไม่วัดผล คุณก็ไม่มีวันพัฒนาได้ การติดตามผลงาน SEO จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาว โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องใช้ทุกโอกาสให้คุ้มค่า
แล้วควรดูตัวเลขอะไรบ้าง? ลองโฟกัส 5 เมตริกหลักนี้:
- จำนวนลูกค้าเป้าหมาย (Leads) : ติดตามว่ามีการโทร การกรอกฟอร์ม หรือการขอใบเสนอราคามาจากการค้นหาธรรมชาติ (Organic Search) กี่ครั้ง ตั้งค่าการติดตาม Conversion ใน Google Analytics และดูสถิติ Phone Calls ใน Google Business Profile เพื่อตรวจสอบสายโทรเข้า
- การเติบโตของ Organic Traffic : ดูจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากเสิร์ชเอนจินผ่าน Google Analytics หรือ Google Search Console
- อันดับคีย์เวิร์ด (Keyword Rankings) : ตรวจสอบว่าเว็บไซต์คุณติดอันดับที่ไหนในคีย์เวิร์ดเป้าหมาย ใช้เครื่องมือ Position Tracking ของ Semrush โดยเลือก 20–30 คีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับบริการและพื้นที่ของคุณ
- จำนวนคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับ (Organic Keyword Growth) : บอกว่ามีคีย์เวิร์ดกี่คำที่เว็บไซต์คุณปรากฏในผลการค้นหา Google Search Console ให้ข้อมูลส่วนหนึ่ง แต่ถ้าอยากเห็นภาพใหญ่ ใช้ Semrush’s Organic Research จะช่วยให้ครบถ้วน เมื่อคุณเพิ่มคอนเทนต์และปรับแต่ง SEO ตัวเลขนี้ควรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- โปรไฟล์ Backlink (Backlink Profile) : ตรวจสอบว่ามีเว็บไซต์ไหนบ้างที่ลิงก์มายังเว็บคุณ ใช้ Semrush’s Backlink Analytics ในการติดตามและวิเคราะห์
ข้อผิดพลาด SEO ที่ธุรกิจขนาดเล็กมักพลาด (และควรหลีกเลี่ยง)
หลายธุรกิจขนาดเล็กมักทำผิดพลาดเรื่อง SEO โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสการมองเห็นบน Google ไปแบบน่าเสียดาย ลองเช็กกันดูว่าคุณกำลังพลาดข้อไหนอยู่บ้าง:
- ละเลย Google Business Profile : หลายธุรกิจเปิดโปรไฟล์ครั้งเดียวแล้วปล่อยทิ้งไว้ ทั้งที่ Google ชอบโปรไฟล์ที่ มีชีวิต เช่น มีการอัปเดตบ่อยๆ ตอบรีวิวลูกค้า และแก้ไขข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- ข้อมูล ธุรกิจออนไลน์ ไม่ตรงกัน : เบอร์โทรหรือที่อยู่ไม่ตรงกันในแต่ละไดเรกทอรี ทำให้ Google และลูกค้าสับสน ตรวจสอบให้มั่นใจว่า NAP (Name, Address, Phone) ของคุณเหมือนกันทุกที่
- เลือกคีย์เวิร์ดที่แข่งสูงเกินไป : พยายามติดอันดับคำที่ใหญ่และโหดเกินกำลังตั้งแต่แรก เป็นไปได้ยาก ให้เริ่มจากคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจและมีโอกาสติดอันดับจริงก่อน
- สร้างคอนเทนต์ที่บางและไม่มีประโยชน์ : เขียนคอนเทนต์แบบขอไปทีโดยไม่มีคุณค่า ลูกค้าอ่านแล้วไม่ได้อะไร Google ก็ไม่ให้ความสำคัญ
- ไม่สนใจความเร็วและประสบการณ์มือถือ : ถ้าเว็บโหลดเกิน 3 วินาที หรือใช้งานบนมือถือไม่ดี คุณจะเสียลูกค้าไปทันที และอันดับก็อาจร่วงด้วย เพราะการค้นหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนมือถือ
พร้อมเริ่มหรือยัง? แผนปฏิบัติการ SEO 30 วันสำหรับธุรกิจเล็ก
เข้าใจว่า SEO ดูเหมือนจะเยอะไปหมดจนปวดหัว แต่ไม่ต้องกังวล มีแผนง่ายๆ 30 วัน มาให้คุณเริ่มแบบทีละก้าว
สัปดาห์ที่ 1: วางรากฐาน
- ตั้งค่า (หรืออ้างสิทธิ์) Google Business Profile และปรับแต่งให้สมบูรณ์
- หา 20–30 คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ
- ตรวจสอบ NAP citations ที่มีอยู่ และส่งข้อมูลธุรกิจไปยังไดเรกทอรีใหม่ๆ
สัปดาห์ที่ 2: สร้างทรัพย์สินหลักด้าน SEO
- สร้างเพจบริการต่างๆ โดยใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
- ทำ Landing Page แยกตามพื้นที่ ถ้ามีหน้าร้านจริง
- เขียนบล็อก 1–2 บทความเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
- ปรับ โครงสร้างเว็บไซต์ ให้อ่านง่ายและเป็นระบบ
สัปดาห์ที่ 3: แก้ปัญหาและสร้างความน่าเชื่อถือ
- ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์
- สร้าง Backlinks ชุดแรก
- เพิ่มบทความใหม่ๆ ในบล็อก
สัปดาห์ที่ 4: ติดตามและปรับแต่ง
- วัดผล Leads, Organic Traffic, Keyword Rankings และเมตริกสำคัญอื่นๆ
- ตรวจสอบ Google Business Profile ว่าอัปเดตอยู่เสมอ
- สร้าง Backlinks ต่อเนื่อง
- เพิ่มบทความใหม่อย่างสม่ำเสมอ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO สำหรับธุรกิจเล็ก
- SEO ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล?
ส่วนใหญ่ธุรกิจเล็กจะเริ่มเห็นผลภายใน 3–6 เดือน และจะชัดเจนขึ้นมากในช่วง 6–12 เดือน หากทำต่อเนื่อง SEO อาจช้า แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าที่สุด - ทำ SEO เองได้ไหม หรือควรจ้าง?
คุณสามารถทำ SEO เบื้องต้นเองได้ เช่น การตั้งค่าโปรไฟล์และเขียนบล็อก แล้วค่อยจ้างฟรีแลนซ์ช่วยในงานเชิงเทคนิค หรือการสร้าง Backlinks ตามความจำเป็น - ควรตั้งงบ SEO เท่าไร?
เตรียมงบสำหรับเครื่องมือ SEO อย่าง Semrush ซึ่งเริ่มต้นที่ $139.95/เดือน (ประมาณ 5,000 บาท+) ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่เลือก
ถ้าจ้างฟรีแลนซ์ ส่วนมากคิดเป็นรายชั่วโมงหรือรายโปรเจกต์ โดยในสหรัฐฯ ราคามักอยู่ระหว่าง $25–$150 ต่อชั่วโมง งานอย่างการเขียนคอนเทนต์หรือสร้างลิงก์ มักคิดเป็นเหมาจ่าย ตั้งแต่ $500–$2,000+ ต่อครั้ง - แนะนำบริษัทที่รับทำ SEO ได้ไหม?
หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้ แนะนำ SEOGURU บริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการทำ SEO มามากกว่า 10 ปี มีทีมงานมืออาชีพที่คอยวิเคราะห์ วางกลยุทธ์ และปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับได้จริง พร้อมทั้งยัง SEOGURU ให้คำปรึกษาฟรี เพื่อช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ ของคุณเติบโตบนโลกออนไลน์อย่างมั่นใจ