Small Business SEO คืออะไร เหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็กยังไง เริ่มต้นที่ไหน ?

Small Business SEO

Small Business SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็กคืออะไร? สามารถเป็นแหล่งรายได้มหาศาลสำหรับธุรกิจขนาดเล็กของคุณได้ ไปกับ

SEO (Search Engine Optimization) สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงตัวตนบนโลกออนไลน์ของธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้ติดอันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหาอย่าง Google

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

เพราะผู้คนจำนวนมากกำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณมีอยู่แล้ว สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะหาธุรกิจของคุณเจอในผลการค้นหานั่นเอง

Table of Contents

SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กับ SEO ท้องถิ่น มีความแตกต่างที่สำคัญ

แม้ว่า SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business SEO) และ SEO ท้องถิ่น (Local SEO) จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน

 SEO ท้องถิ่น (Local SEO)

  • ช่วยให้ธุรกิจที่มีหน้าร้านจริงติดอันดับเมื่อลูกค้าค้นหาคำที่มีตำแหน่งที่ตั้ง เช่น “หมอฟันใกล้ฉัน” หรือ “ร้านกาแฟในตัวเมือง”
  • Google เคยกล่าวไว้ว่า 46% ของการค้นหาทั้งหมดบน Google เป็นการค้นหาข้อมูลในท้องถิ่น

SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business SEO)

  • ครอบคลุมกว้างกว่า
  • ใช้ได้กับธุรกิจขนาดเล็กทุกประเภท ไม่ว่าจะมีหน้าร้านจริงหรือไม่ก็ตาม

นี่คือตารางเปรียบเทียบ

Small Business SEOLocal SEO
เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ทุกประเภท ไม่ว่าจะมีหน้าร้านหรือไม่ก็ตามเหมาะสำหรับธุรกิจที่มี หน้าร้านจริง ที่ลูกค้าสามารถเดินทางไปได้
มุ่งเน้นการใช้คีย์เวิร์ดที่กว้างขึ้นและเฉพาะเจาะจงในพื้นที่เน้นการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ เช่น “ร้านอาหาร [ชื่อเมือง]” หรือ “ช่างซ่อมคอม [ใกล้ฉัน]”
แข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นแข่งขันหลักๆ ในตลาดท้องถิ่นเท่านั้น

ธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ทั้งสองอย่าง SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและ SEO ที่เน้นพื้นที่

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทบัญชีแห่งหนึ่งอาจใช้ SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้ติดอันดับในการค้นหาอย่าง “วิธีลดหย่อนภาษี” หรือ “เคล็ดลับการจัดการกระแสเงินสด” วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขาสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้เชี่ยวชาญในสายงานและดึงดูดลูกค้าได้ในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับการค้นหาที่เจาะจงพื้นที่ เช่น “ผู้สอบบัญชีใกล้ฉัน” หรือ “ที่ปรึกษาด้านภาษีในเดนเวอร์” โดยหลักแล้วการแข่งขันจะอยู่ในตลาดท้องถิ่น

ถ้าหากสนใจอยากจะ เรียน SEO ที่ไหนดี ได้จากที่ไหนบ้าง มาอ่านเพิ่มเติม

Seo marketing research

ทำไม Small Business SEO ถึงสำคัญกับธุรกิจขนาดเล็ก

SEO หรือ Search Engine Optimization หรือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหา เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้มีโอกาสสูงที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีขึ้น

นี่คือเหตุผลที่ทำให้ SEO มีประโยชน์อย่างยิ่ง

  • ได้ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันลูกค้าค้นหาสินค้าหรือบริการตลอดเวลา และการที่ธุรกิจของคุณได้รับการปรับแต่งมาอย่างดีจะทำให้สามารถปรากฏและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ตลอด 24 ชั่วโมง Google มีการประมวลผลการค้นหากว่า 9.5 ล้านครั้งต่อนาที นั่นหมายถึงมีโอกาสมากมายที่ธุรกิจของคุณจะถูกค้นพบ
  • เริ่มต้นได้ฟรีต่างจากการโฆษณาแบบเสียเงิน SEO ต้องการเพียงแค่เวลาและความพยายาม ไม่ต้องใช้เงินไปกับการลงโฆษณา
  • ช่วยสร้างแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อคุณปรากฏในผลการค้นหาอย่างสม่ำเสมอในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง จะช่วยสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือ ทำให้ธุรกิจของคุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่คุณทำอยู่
  • ให้ผลลัพธ์ในระยะยาวในขณะที่โฆษณาแบบเสียเงินจะหยุดทำงานทันทีที่คุณหยุดจ่ายเงิน แต่ SEO จะยังคงดึงดูดผู้เข้าชมและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปีหลังจากที่คุณเริ่มต้นทำไปแล้วก็ตาม

9 ขั้นตอนในการทำ ธุรกิจขนาดเล็ก Small Business SEO

คุณสามารถทำตามขั้นตอน Small Business SEO มีเทคนิคทั้งหมด 9 ลำดับ เหล่านี้เพื่อปรับปรุง SEO ให้กับธุรกิจขนาดเล็กของคุณได้ ถ้าพร้อมแล้วทางทีมงาน SEOGURU ขออาสาพามาเจาะลึกรายละเอียดกัน

1. ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

เริ่มต้นจากการหา คีย์เวิร์ด keywords (คำที่ใช้ค้นหา) ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณใช้เมื่อต้องการค้นหาธุรกิจแบบเดียวกับคุณ ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะคุณต้องปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้น เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ให้บริการ บอดี้การ์ด VIP สำหรับบุคคลสำคัญทั่วประเทศ ลองนึกถึงคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าของคุณอาจจะใช้ค้นหาบริการของคุณ ลองคิดจากมุมมองของลูกค้าว่าพวกเขาจะอธิบายถึงบริการของคุณอย่างไรบ้าง

คุณอาจจะได้คำต่างๆ เหล่านี้

  • บริการบอดี้การ์ด
  • บริการรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้บริหาร
  • รักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล
  • บริการรักษาความปลอดภัยงานอีเวนต์
  • บริการคุ้มครองบุคคลสำคัญ
  • บอดี้การ์ดดารา

หลังจากนั้นคุณจะต้องตรวจสอบและหาคีย์เวิร์ดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดอย่าง Keyword Overview ได้เลย เพียงแค่เปิดเครื่องมือนี้ขึ้นมา ใส่คีย์เวิร์ดแรกที่คุณคิดได้ (“bodyguard services”) แล้วกด “Search”

Keyword is entered into the tool.

คุณจะเห็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนี้

Metrics include search volume, keyword difficulty, search intent, trend, CPC, and more.

โดยเฉพาะ ให้ดูที่

  • ปริมาณการค้นหา Volume : ตัวเลขนี้บอกจำนวนคนโดยเฉลี่ยที่ค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ในแต่ละเดือน เป็นตัวชี้วัดความสนใจโดยรวมในคีย์เวิร์ดนั้น
  • เจตนาในการค้นหา Search intent : ข้อมูลนี้จะบอกว่าทำไมคนถึงค้นหาคำนี้ เนื่องจาก “bodyguard services” (บริการบอดี้การ์ด) เป็นคำเชิงพาณิชย์ คีย์เวิร์ดของคุณจึงดึงดูดคนที่กำลังมองหาและต้องการจะจ้างบริการอารักขาจริงๆ
  • ความยากของคีย์เวิร์ด Keyword difficulty : นี่คือคะแนนที่บอกว่าการจะติดอันดับ 1 ใน 10 ของ Google สำหรับคีย์เวิร์ดนี้จะยากแค่ไหน ในฐานะธุรกิจขนาดเล็ก คุณควรเน้นคีย์เวิร์ดที่มีคะแนนความยากต่ำๆ เพราะคุณจะไปสู้กับเว็บไซต์ใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงในคำที่มีการแข่งขันสูงมากๆ ได้ยาก “Bodyguard services” มีคะแนนความยากอยู่ที่ 15 ซึ่งเป็นระดับที่เว็บไซต์ขนาดเล็กส่วนใหญ่สามารถทำอันดับได้ไม่ยาก

คุณควรใช้ส่วน “ไอเดียคีย์เวิร์ด Keyword ideas” เพื่อหาคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่คุณอาจต้องการนำไปใช้ได้ด้วย

Keyword variations are listed by search volume.

ทำกระบวนการค้นคว้าแบบนี้ซ้ำไปในแต่ละคำหลัก keyword มีกี่ประเภท ที่อยู่ในรายการของคุณ ในไม่ช้าคุณก็จะมีไอเดียคำหลักจำนวนมาก จากนั้นก็ถึงเวลาที่จะนำคำหลักเหล่านี้มาใช้กับเว็บไซต์ของคุณ

2. สร้างหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง

วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้คือการสร้างหน้าเว็บแยกสำหรับแต่ละบริการที่คุณนำเสนอ

ตัวอย่างเช่น คุณอาจสร้างหน้าเว็บต่างๆ ดังนี้

  • หน้าบริการอารักขาผู้บริหาร Executive protection services – มุ่งเป้าไปที่คำหลัก “executive protection” และคำที่ใกล้เคียง
  • หน้าบริการบอดี้การ์ดสำหรับดารา Celebrity bodyguard services – มุ่งเป้าไปที่คำหลัก “celebrity bodyguard” และคำที่ใกล้เคียง
  • หน้าบริการรักษาความปลอดภัยงานอีเวนต์ Event security – มุ่งเป้าไปที่คำหลัก “event security services” และคำที่ใกล้เคียง

หน้าบริการแต่ละหน้าควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • อธิบายบริการที่คุณนำเสนออย่างชัดเจน
  • ใส่คำรับรองจากลูกค้า testimonials หรือกรณีศึกษา case studies ถ้าเป็นไปได้
  • มีข้อมูลติดต่อและคำกระตุ้นการตัดสินใจ CTAs ที่ชัดเจน
  • ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในจุดสำคัญต่างๆ เช่น Title tag, meta description, URL slug, H1, หัวข้อย่อย subheadings และเนื้อหาหลัก body content ซึ่งสิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา

นอกจากนี้ คุณควรพิจารณาสร้างหน้าเว็บเฉพาะสำหรับแต่ละพื้นที่ location-specific pages หากธุรกิจของคุณให้บริการในหลายพื้นที่

ในตัวอย่างสมมตินี้ เนื่องจากบริษัทรักษาความปลอดภัยให้บริการทั่วรัฐนิวยอร์ก การสร้างหน้าเว็บที่เจาะจงสำหรับพื้นที่มหานครใหญ่ๆ ที่มีความต้องการสูงจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

หน้าเว็บต่างๆ เช่น “Bodyguard Services in New York City” บริการบอดี้การ์ดในนิวยอร์กซิตี้ หรือ “Executive Protection in Buffalo” บริการอารักขาผู้บริหารในบัฟฟาโล สามารถช่วยให้คุณติดอันดับในการค้นหาในพื้นที่ได้

3. ปรับปรุงโครงสร้างและการนำทางของเว็บไซต์

เมื่อคุณสร้างหน้าสำหรับบริการและตำแหน่งที่ตั้งเรียบร้อยแล้ว คุณต้องจัดระเบียบหน้าเหล่านั้นให้มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบและสมเหตุสมผล เพื่อให้ทั้งผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย

ทำให้ทุกอย่างเรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่า

  • ทุกหน้าเข้าถึงได้ง่ายจากหน้าหลัก : เครื่องมือค้นหาจะสามารถรวบรวมและจัดทำดัชนีหน้าทั้งหมดของคุณได้อย่างง่ายดาย โดยไม่หลงทางในเส้นทางการนำทางที่ซับซ้อน
  • โครงสร้างเอื้อต่อการขยายในอนาคต : คุณสามารถเพิ่มหน้าบริการหรือหน้าเมืองใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องจัดระเบียบเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมด

4. สร้างเนื้อหาบล็อกที่เป็นประโยชน์

การสร้างเนื้อหาเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการดึงดูดลูกค้าและสร้างความเชี่ยวชาญในธุรกิจของคุณ เป้าหมายคือเพื่อให้ผู้ใช้พบเนื้อหาของคุณจากผลการค้นหา มีส่วนร่วมกับเนื้อหา และจดจำธุรกิจของคุณได้เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะตัดสินใจซื้อ

แต่จะหาไอเดียสำหรับหัวข้อบล็อกได้อย่างไร?

คุณสามารถใช้เครื่องมือ Topic Research ของ Semrush ได้ เพียงแค่ใส่หัวข้อกว้างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เช่น “การอารักขาบุคคลสำคัญ” สำหรับตัวอย่างบริษัทรักษาความปลอดภัย แล้วคลิก “Get content ideas” รับไอเดียเนื้อหา

Topic is entered into the tool.

คุณจะเห็นไอเดียหัวข้อที่จัดหมวดหมู่ไว้ใน “การ์ด” ต่างๆ แต่ละการ์ดจะแสดงข้อมูลต่อไปนี้

  • ปริมาณการค้นหารายเดือน : จำนวนครั้งที่มีคนค้นหาหัวข้อนี้ในแต่ละเดือน
  • หัวข้อข่าวจากหน้าเว็บอันดับสูงสุด : ตัวอย่างหัวข้อจากหน้าเว็บที่ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหาหัวข้อนี้
  • คำถามที่เกี่ยวข้องที่พบบ่อย : คำถามทั่วไปที่ผู้คนมักจะถามเกี่ยวกับหัวข้อนี้
Topic card is opened to show more metrics and content ideas.

ในการสร้างเนื้อหาจริง ๆ นี่คือเคล็ดลับบางประการที่คุณควรปฏิบัติตาม

  • ทำให้เนื้อหามีประโยชน์อย่างแท้จริง ผู้อ่านควรรู้และเข้าใจหัวข้อนั้น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์หลังจากอ่านบทความของคุณ
  • ทำให้อ่านง่าย แบ่งเนื้อหาออกเป็นย่อหน้าสั้น ๆ มีหัวข้อย่อย และใช้สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย bullet points เพราะคนส่วนใหญ่มักจะกวาดสายตาดูเนื้อหาเพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
  • แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้ E-E-A-T ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณถูกสร้างโดยผู้ที่มีประสบการณ์จริงในสาขาที่คุณเขียน และใส่คุณสมบัติหรือข้อมูลรับรองในประวัติผู้เขียน และอ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนข้อความที่คุณกล่าวอ้างในบทความ

5. ค้นหาและแก้ไขปัญหา เชิงเทคนิค Technical SEO

การค้นหาและแก้ไขปัญหาเชิง เทคนิค SEO เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เครื่องมือค้นหา Search Engines สามารถ คลาน crawl หรือหาหน้าเว็บของคุณ, ทำความเข้าใจ understand เนื้อหา และ จัดทำดัชนี index หรือจัดเก็บหน้าเว็บของคุณได้อย่างง่ายดาย

สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะแม้แต่เนื้อหาที่ยอดเยี่ยมก็ไม่สามารถติดอันดับได้ หากเครื่องมือค้นหาไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างถูกต้อง

  • อย่าเพิ่งกังวลกับคำว่า “เชิงเทคนิค” เพราะปัญหาส่วนใหญ่แก้ไขได้ง่ายมาก
  • ยิ่งไปกว่านั้น เว็บไซต์ของคุณยังเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ซึ่งหมายความว่าคุณอาจจะไม่ได้มีปัญหามากมาย
  • หากต้องการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีปัญหา Technical SEO หรือไม่ ให้ใช้เครื่องมือ Site Audit ของ Semrush

ตั้งค่าการคลานเว็บไซต์ของคุณ แล้วปล่อยให้เครื่องมือสแกนหน้าเว็บของคุณ เครื่องมือจะตรวจจับปัญหาทางเทคนิคโดยอัตโนมัติ และจัดเรียงตามระดับความรุนแรง

เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น ให้ไปที่แท็บ Issues ปัญหา เพื่อดูรายการปัญหาที่ถูกจัดหมวดหมู่ไว้

Site Audit issues include broken internal links, invalid structured data items, duplicate meta descriptions, and more.

นี่คือปัญหาต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการแสดงผลของเว็บไซต์คุณในหน้าผลการค้นหา

สำหรับแต่ละปัญหา คุณจะเห็นลิงก์ “สาเหตุและวิธีแก้ไข” ซึ่งจะอธิบายถึงปัญหาและบอกวิธีแก้ไขที่ถูกต้องให้คุณทราบ

The pop up explains more about the problem and steps to fix it.

ตรวจสอบรายการและแก้ไขปัญหาทีละรายการ

6. การสร้าง Backlinks

Backlinks คือ ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่เชื่อมมายังเว็บไซต์ของคุณ

Other website features an external link to your website, and your website receives a backlink from the other website.

ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณการจัดอันดับที่ทรงพลังที่สุดของ Google เพราะเมื่อมีใครสักคนลิงก์มายังเว็บคุณ มันก็เหมือนกับการโหวตความน่าเชื่อถือให้คุณไปในตัว ยิ่งคุณมี Backlinks จากแหล่งที่มีคุณภาพมากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของคุณก็ยิ่งดูมีอำนาจและน่าไว้วางใจมากขึ้นในสายตาของเครื่องมือค้นหา

จากการศึกษาของ SEOGURU พบว่าหน้าเว็บที่ติดอันดับ 1 ใน Google มักมี Backlinks มากกว่าหน้าเว็บอื่นๆ ถึงเกือบ 4 เท่า! สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก คุณสามารถเริ่มสร้าง Backlinks ได้ง่าย ๆ ดังนี้:

  • ลงทะเบียนในไดเรกทอรีท้องถิ่น เช่น Yelp, BBB, เว็บไซต์หอการค้า หรือไดเรกทอรีเฉพาะกลุ่ม ลิงก์เหล่านี้หามาไม่ยาก และควรเริ่มสร้างจากตรงนี้ก่อน
  • ติดต่อสื่อท้องถิ่นหรือเว็บไซต์ในพื้นที่ เพื่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ เช่น การร่วมงานกับลูกค้าระดับโปรไฟล์สูง การเปิดตัวบริการใหม่ หรือการช่วยเหลือชุมชน หากพวกเขาสนใจนำเรื่องคุณไปลง ก็มักจะมีลิงก์กลับมาให้ด้วย
  • สนับสนุนหรือลงเป็นสปอนเซอร์กิจกรรมท้องถิ่น เพราะเว็บไซต์งานอีเวนต์มักจะลิงก์กลับไปยังสปอนเซอร์ ซึ่งถือว่าเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งคุณได้ Backlink คุณภาพ ส่วนเขาก็ได้การสนับสนุน

7. การสร้างและปรับแต่ง Google Business Profile

หากคุณเป็นธุรกิจท้องถิ่นที่ให้บริการลูกค้าในพื้นที่ Google Business Profile (GBP) คือเครื่องมือที่คุณ ห้ามพลาด เพราะมันจะช่วยให้ธุรกิจคุณติดอันดับใน Local Pack (แผนที่ที่แสดงผลเมื่อมีการค้นหาท้องถิ่น) และยังทำให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ทันที

Local pack lists local businesses with their star rating, city, phone number, review snippet, and more.

ถ้าธุรกิจคุณมีหลายสาขา ต้องสร้างโปรไฟล์แยกสำหรับแต่ละสาขาเพื่อเพิ่มโอกาสให้ติดการค้นหาในทุกพื้นที่ และที่สำคัญคือ Google Business Profile ใช้ได้ฟรี 100% โดยมี 2 วิธีเริ่มต้นใช้งาน:

  1. หากธุรกิจคุณมีอยู่แล้วใน Google Maps หรือ Search เพียงแค่ อ้างสิทธิ์ธุรกิจ
  2. หากยังไม่มี ให้สร้างโปรไฟล์ใหม่ที่ business.google.com

เมื่อได้โปรไฟล์แล้ว ขั้นต่อไปคือการปรับแต่งเพื่อให้โดดเด่นที่สุด:

  • กรอกข้อมูลให้ครบทุกส่วน เช่น เวลาทำการ เบอร์โทร เว็บไซต์ และรายละเอียดธุรกิจ เพราะตามข้อมูลของ Google ธุรกิจที่กรอกข้อมูลครบถ้วน มีโอกาสถูกเข้าชมมากขึ้นถึง 70%
  • ใส่ภาพถ่ายคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน ทีมงาน สินค้า หรือบรรยากาศบริการจริงๆ เพราะโปรไฟล์ที่มีรูปภาพจะได้การคลิกและการขอเส้นทางมากกว่า
  • เลือกหมวดหมู่ให้เหมาะสม หมวดหมู่หลักส่งผลโดยตรงต่อการค้นหา ส่วนหมวดหมู่รองช่วยบอกบริการอื่นๆ ที่คุณมี
  • เปิดใช้ระบบข้อความ (Messaging) ให้ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้ทันที พร้อมตั้งค่าข้อความตอบกลับอัตโนมัติสำหรับคำถามที่พบบ่อย
  • อัปเดตข่าวสารและโปรโมชันเป็นประจำ ผ่าน Google Posts เพื่อบอกให้ลูกค้าและ Google รู้ว่าธุรกิจคุณยังคง เคลื่อนไหวและเปิดให้บริการ

8. การสร้าง Local NAP Citations

NAP citations คือการถูกกล่าวถึงทางออนไลน์ที่มีการระบุชื่อธุรกิจ (Name) ที่อยู่ (Address) และเบอร์โทรศัพท์ (Phone number) ของคุณ โดยมักปรากฏอยู่บนไดเรกทอรีท้องถิ่นหรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ

Google ใช้ NAP citations เพื่อยืนยันว่าธุรกิจของคุณมีอยู่จริงและน่าเชื่อถือ หากข้อมูลของคุณถูกแสดงตรงกันในหลายๆ เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ Google ก็จะมองว่าธุรกิจคุณน่าไว้วางใจมากขึ้น แต่ถ้าข้อมูลไม่ตรงกัน เช่น เบอร์โทรไม่เหมือนกัน ที่อยู่สะกดต่างกันนิดหน่อย หรือชื่อธุรกิจมีการเขียนไม่เหมือนกัน สิ่งนี้จะทำให้เกิดความสับสน และความสับสนนั้นอาจทำให้อันดับการค้นหาแบบ Local ของคุณตกลงได้

วิธีง่ายที่สุดในการจัดการ NAP citations ก็คือการใช้เครื่องมือ Semrush’s Listing Management เพียงใส่ชื่อธุรกิจของคุณ แล้วเลือกบริษัทจากผลลัพธ์ คุณก็จะได้รายงานที่บอกว่า:

Tools start is shown.
  • จำนวนลิสต์ธุรกิจที่มีอยู่แล้วทั้งหมด
  • ลิสต์ที่ต้องแก้ไขข้อมูล
  • ค่าเฉลี่ยการรีวิวดาวจากแพลตฟอร์มต่างๆ
This small business has poor online presence, many listings to fix, and no reviews.

เครื่องมือจะชี้ให้คุณเห็นจุดที่ผิดพลาดในข้อมูลปัจจุบัน

Directories are listed with statuses like no address, wrong phone number, not present, and more.

แล้วคุณสามารถอัปเดตข้อมูลธุรกิจในแต่ละแพลตฟอร์มที่มีปัญหาได้เอง หรือจะใช้ระบบอัตโนมัติของเครื่องมือกระจายข้อมูลที่ถูกต้องไปยังหลายแพลตฟอร์มพร้อมกันก็ได้

Distribute business info is highlighted.

แถมคุณยังสามารถส่งข้อมูลธุรกิจไปยังไดเรกทอรีใหม่ๆ ที่ยังไม่มีลิสต์ของคุณได้อีกด้วย

9. การติดตามความก้าวหน้า SEO

สิ่งที่คุณไม่วัดผล คุณก็ไม่มีวันพัฒนาได้ การติดตามผลงาน SEO จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาว โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องใช้ทุกโอกาสให้คุ้มค่า

แล้วควรดูตัวเลขอะไรบ้าง? ลองโฟกัส 5 เมตริกหลักนี้:

  1. จำนวนลูกค้าเป้าหมาย (Leads) : ติดตามว่ามีการโทร การกรอกฟอร์ม หรือการขอใบเสนอราคามาจากการค้นหาธรรมชาติ (Organic Search) กี่ครั้ง ตั้งค่าการติดตาม Conversion ใน Google Analytics และดูสถิติ Phone Calls ใน Google Business Profile เพื่อตรวจสอบสายโทรเข้า
  2. การเติบโตของ Organic Traffic : ดูจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากเสิร์ชเอนจินผ่าน Google Analytics หรือ Google Search Console
  3. อันดับคีย์เวิร์ด (Keyword Rankings) : ตรวจสอบว่าเว็บไซต์คุณติดอันดับที่ไหนในคีย์เวิร์ดเป้าหมาย ใช้เครื่องมือ Position Tracking ของ Semrush โดยเลือก 20–30 คีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับบริการและพื้นที่ของคุณ
  4. จำนวนคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับ (Organic Keyword Growth) : บอกว่ามีคีย์เวิร์ดกี่คำที่เว็บไซต์คุณปรากฏในผลการค้นหา Google Search Console ให้ข้อมูลส่วนหนึ่ง แต่ถ้าอยากเห็นภาพใหญ่ ใช้ Semrush’s Organic Research จะช่วยให้ครบถ้วน เมื่อคุณเพิ่มคอนเทนต์และปรับแต่ง SEO ตัวเลขนี้ควรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  5. โปรไฟล์ Backlink (Backlink Profile) : ตรวจสอบว่ามีเว็บไซต์ไหนบ้างที่ลิงก์มายังเว็บคุณ ใช้ Semrush’s Backlink Analytics ในการติดตามและวิเคราะห์

ข้อผิดพลาด SEO ที่ธุรกิจขนาดเล็กมักพลาด (และควรหลีกเลี่ยง)

หลายธุรกิจขนาดเล็กมักทำผิดพลาดเรื่อง SEO โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสการมองเห็นบน Google ไปแบบน่าเสียดาย ลองเช็กกันดูว่าคุณกำลังพลาดข้อไหนอยู่บ้าง:

  • ละเลย Google Business Profile : หลายธุรกิจเปิดโปรไฟล์ครั้งเดียวแล้วปล่อยทิ้งไว้ ทั้งที่ Google ชอบโปรไฟล์ที่ มีชีวิต เช่น มีการอัปเดตบ่อยๆ ตอบรีวิวลูกค้า และแก้ไขข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
  • ข้อมูล ธุรกิจออนไลน์ ไม่ตรงกัน : เบอร์โทรหรือที่อยู่ไม่ตรงกันในแต่ละไดเรกทอรี ทำให้ Google และลูกค้าสับสน ตรวจสอบให้มั่นใจว่า NAP (Name, Address, Phone) ของคุณเหมือนกันทุกที่
  • เลือกคีย์เวิร์ดที่แข่งสูงเกินไป : พยายามติดอันดับคำที่ใหญ่และโหดเกินกำลังตั้งแต่แรก เป็นไปได้ยาก ให้เริ่มจากคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจและมีโอกาสติดอันดับจริงก่อน
  • สร้างคอนเทนต์ที่บางและไม่มีประโยชน์ : เขียนคอนเทนต์แบบขอไปทีโดยไม่มีคุณค่า ลูกค้าอ่านแล้วไม่ได้อะไร Google ก็ไม่ให้ความสำคัญ
  • ไม่สนใจความเร็วและประสบการณ์มือถือ : ถ้าเว็บโหลดเกิน 3 วินาที หรือใช้งานบนมือถือไม่ดี คุณจะเสียลูกค้าไปทันที และอันดับก็อาจร่วงด้วย เพราะการค้นหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนมือถือ

พร้อมเริ่มหรือยัง? แผนปฏิบัติการ SEO 30 วันสำหรับธุรกิจเล็ก

เข้าใจว่า SEO ดูเหมือนจะเยอะไปหมดจนปวดหัว แต่ไม่ต้องกังวล มีแผนง่ายๆ 30 วัน มาให้คุณเริ่มแบบทีละก้าว

สัปดาห์ที่ 1: วางรากฐาน

  • ตั้งค่า (หรืออ้างสิทธิ์) Google Business Profile และปรับแต่งให้สมบูรณ์
  • หา 20–30 คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ
  • ตรวจสอบ NAP citations ที่มีอยู่ และส่งข้อมูลธุรกิจไปยังไดเรกทอรีใหม่ๆ

สัปดาห์ที่ 2: สร้างทรัพย์สินหลักด้าน SEO

  • สร้างเพจบริการต่างๆ โดยใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
  • ทำ Landing Page แยกตามพื้นที่ ถ้ามีหน้าร้านจริง
  • เขียนบล็อก 1–2 บทความเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
  • ปรับ โครงสร้างเว็บไซต์ ให้อ่านง่ายและเป็นระบบ

สัปดาห์ที่ 3: แก้ปัญหาและสร้างความน่าเชื่อถือ

  • ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์
  • สร้าง Backlinks ชุดแรก
  • เพิ่มบทความใหม่ๆ ในบล็อก

สัปดาห์ที่ 4: ติดตามและปรับแต่ง

  • วัดผล Leads, Organic Traffic, Keyword Rankings และเมตริกสำคัญอื่นๆ
  • ตรวจสอบ Google Business Profile ว่าอัปเดตอยู่เสมอ
  • สร้าง Backlinks ต่อเนื่อง
  • เพิ่มบทความใหม่อย่างสม่ำเสมอ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO สำหรับธุรกิจเล็ก

  1. SEO ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล?
    ส่วนใหญ่ธุรกิจเล็กจะเริ่มเห็นผลภายใน 3–6 เดือน และจะชัดเจนขึ้นมากในช่วง 6–12 เดือน หากทำต่อเนื่อง SEO อาจช้า แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าที่สุด
  2. ทำ SEO เองได้ไหม หรือควรจ้าง?
    คุณสามารถทำ SEO เบื้องต้นเองได้ เช่น การตั้งค่าโปรไฟล์และเขียนบล็อก แล้วค่อยจ้างฟรีแลนซ์ช่วยในงานเชิงเทคนิค หรือการสร้าง Backlinks ตามความจำเป็น
  3. ควรตั้งงบ SEO เท่าไร?
    เตรียมงบสำหรับเครื่องมือ SEO อย่าง Semrush ซึ่งเริ่มต้นที่ $139.95/เดือน (ประมาณ 5,000 บาท+) ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่เลือก
    ถ้าจ้างฟรีแลนซ์ ส่วนมากคิดเป็นรายชั่วโมงหรือรายโปรเจกต์ โดยในสหรัฐฯ ราคามักอยู่ระหว่าง $25–$150 ต่อชั่วโมง งานอย่างการเขียนคอนเทนต์หรือสร้างลิงก์ มักคิดเป็นเหมาจ่าย ตั้งแต่ $500–$2,000+ ต่อครั้ง
  4. แนะนำบริษัทที่รับทำ SEO ได้ไหม?
    หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้ แนะนำ SEOGURU บริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการทำ SEO มามากกว่า 10 ปี มีทีมงานมืออาชีพที่คอยวิเคราะห์ วางกลยุทธ์ และปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับได้จริง พร้อมทั้งยัง SEOGURU ให้คำปรึกษาฟรี เพื่อช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ ของคุณเติบโตบนโลกออนไลน์อย่างมั่นใจ