เจาะลึก Ahrefs คืออะไร? ผ่านคู่มือฉบับสมบูรณ์ ที่ช่วยให้การทำ SEO ดีขึ้น

Ahrefs

นี่คือคู่มือที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับ Ahrefs!

ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเครื่องมือ SEO ยอดนิยมนี้ ไม่ว่าจะเป็น:

  • ฟีเจอร์เด่น
  • วิธีการใช้งานในสถานการณ์จริง
  • เคล็ดลับขั้นสูง
  • การเปรียบเทียบ Ahrefs กับเครื่องมือ SEO อื่นๆ เช่น Semrush
  • และข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากมาย

ถ้าคุณกำลังคิดจะสมัครใช้ Ahrefs หรือแค่อยากเรียนรู้วิธีใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด พวกเราทีมงาน SEOGURU มั่นใจว่า คู่มือนี้เหมาะสำหรับคุณ!

พร้อมหรือยัง? มาเริ่มกันเลย!

Ahrefs – The definitive guide

Table of Contents

สารบัญ

Intro to Ahrefs
1. แนะนำ Ahrefs
Ahrefs Terms and Metrics
2. คำศัพท์และตัวชี้วัดใน Ahrefs
Backlink Analysis
3. การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ
Keywords Explorer
4. เครื่องมือ Keywords Explorer
Organic Keywords and Organic Search Traffic
5. คีย์เวิร์ดแบบออร์แกนิกและการวิเคราะห์ทราฟฟิก
Content Explorer
6. เครื่องมือสำรวจเนื้อหา
Helpful Ahrefs Features
7. ฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ใน Ahrefs
Advanced Ahrefs Tips and Untapped Features
8. เคล็ดลับขั้นสูงและฟีเจอร์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก

บทที่ 1: แนะนำ Ahrefs

Chapter – Intro to Ahrefs

Ahrefs คืออะไร?

Ahrefs คือซอฟต์แวร์ SEO ที่มีเครื่องมือหลากหลายสำหรับการสร้างลิงก์ วิเคราะห์คีย์เวิร์ด ตรวจสอบคู่แข่ง ติดตามอันดับ และตรวจสอบเว็บไซต์ ฟีเจอร์ส่วนใหญ่ใน Ahrefs ถูกออกแบบมาเพื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดโดยเฉพาะ

สรุปง่ายๆ: Ahrefs เป็นเครื่องมือ SEO ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นใน Google

Ahrefs ใช้ทำอะไรได้บ้าง?

Ahrefs เป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ ตรวจสอบอันดับคีย์เวิร์ด และประเมินสุขภาพ SEO ของเว็บไซต์

Ahrefs – Backlinko overview

นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้ Ahrefs เพื่อค้นคว้าคีย์เวิร์ดสำหรับ Google, YouTube และ Amazon

Ahrefs – Backlinko keyword overview

อีกทั้งยังช่วยค้นหาคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง (ในแง่ของการแชร์บนโซเชียลมีเดียหรือการได้รับลิงก์ย้อนกลับ)

Ahrefs – Content explorer

เมื่อ Ahrefs เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 จุดเด่นของมันคือ การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับของเว็บไซต์

Ahrefs – Old homepage

แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฟีเจอร์ของมันได้พัฒนาไปมาก

ปัจจุบัน Ahrefs ถูกใช้งานโดย:

  • เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ทำ SEO ให้เว็บไซต์ของตัวเอง
  • เอเจนซี่ SEO ที่ทำงานให้ลูกค้าหลายราย
  • นักการตลาดภายในองค์กร
  • นักการตลาดสาย Affiliate ที่มีเว็บไซต์หลายแห่ง
  • ที่ปรึกษา SEO ที่ให้คำแนะนำด้านกลยุทธ์

Ahrefs มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

ราคาของ Ahrefs ขึ้นอยู่กับแผนที่คุณเลือก และการเรียกเก็บเงินแบบรายเดือนหรือรายปี

(บอกตรงๆ ว่า ราคาของมันไม่ได้ชัดเจนมากนัก)

Ahrefs pricing

Ahrefs ปัจจุบัน ยังไม่มีการทดลองใช้ฟรี

Ahrefs หรือ Semrush ดีกว่ากัน?

Backlinko – Ahrefs vs Semrush

หากคุณต้องการเจาะลึกการเปรียบเทียบระหว่าง Ahrefs และ Semrush เราเคยเขียนบทวิจารณ์ไว้ ซึ่งแนะนำให้ลองอ่านเพิ่มเติม

แต่คำตอบสั้นๆ ก็คือ เราชอบ Semrush มากกว่า Ahrefs ทั้งสองเครื่องมือต่างมีข้อดี แต่ Semrush ให้ความคุ้มค่ามากกว่า

พร้อมเริ่มต้นเรียนรู้วิธีใช้งาน Ahrefs ให้เต็มศักยภาพแล้วหรือยัง? เปิดบทถัดไปได้เลย!

บทที่ 2: คำศัพท์และตัวชี้วัดใน Ahrefs

เมื่อคุณเริ่มใช้ Ahrefs ไม่ถึง 30 วินาที คุณจะพบกับคำศัพท์และตัวชี้วัดมากมาย

(เช่น “UR”, “Ahrefs Rank” และ “CTLDs distribution”)

ยอมรับเลยว่า Ahrefs อธิบายเรื่องพวกนี้ด้วยภาษาทางเทคนิคจนบางครั้งชวนปวดหัว

เช่น การอธิบาย Domain Rating (DR) ว่าเป็น:
“โปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับของ URL เป้าหมายในมาตรวัด 100 จุดแบบลอการิทึม (คะแนนสูง = แข็งแกร่ง)”

ฟังดูงงใช่ไหม?

ดังนั้น ก่อนที่เราจะลงลึกถึงฟีเจอร์สำคัญของ Ahrefs เรามาเรียนรู้ภาษาของ Ahrefs กันก่อน พร้อมทั้งแปลความหมายทางเทคนิคให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

Chapter – Ahrefs terms and metrics

คำศัพท์ที่พบบ่อยใน Ahrefs

URL Rating (UR): คะแนนความน่าเชื่อถือของลิงก์ในแต่ละหน้าเว็บ คำนวณจากคุณภาพและปริมาณของลิงก์ย้อนกลับ

Domain Rating (DR): เหมือน UR แต่ครอบคลุมทั้งเว็บไซต์ (เปรียบได้กับ Moz Domain Authority หรือ Semrush Authority Score)

Anchors: การวิเคราะห์ข้อความที่ใช้เป็นลิงก์ในโปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์

Referring Domains: จำนวนเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกันที่ลิงก์มายังหน้าเว็บหรือเว็บไซต์ ยิ่งมีมาก มักสัมพันธ์กับอันดับที่สูงขึ้นใน Google

CTLDs Distribution: การแจกแจงลิงก์ของเว็บไซต์ตามโดเมนระดับสูง เช่น .com, .edu, .de เป็นต้น

Ahrefs Rank: อันดับทั่วโลกของโปรไฟล์ลิงก์ ยิ่งตัวเลขต่ำ แสดงว่าโปรไฟล์ลิงก์แข็งแกร่ง

Parent Topic: หัวข้อกว้างที่คีย์เวิร์ดนั้นอยู่ภายใต้ เช่น “link building” อยู่ภายใต้หัวข้อหลัก “SEO”

Traffic Potential: ปริมาณทราฟฟิกที่คุณจะได้รับหากติดอันดับ 1 สำหรับคีย์เวิร์ดนั้น

Keyword Difficulty: ระดับความยาก-ง่ายในการติดอันดับหน้าแรกของ Google สำหรับคีย์เวิร์ดนั้น

Also Rank For: รายการคีย์เวิร์ดที่ผลลัพธ์ 10 อันดับแรกจัดอันดับได้เช่นกัน เช่น หน้าเว็บที่จัดอันดับสำหรับ “content marketing” อาจจัดอันดับสำหรับ “what is content marketing” ด้วย

ทีนี้ ลองมาดูคุณสมบัติกันเลย!

บทที่ 3: การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ (Backlink Analysis)

เหมือนกับ Semrush ที่ Ahrefs มีฐานข้อมูลลิงก์ขนาดใหญ่ที่อัปเดตเป็นประจำ

และเครื่องมือนี้ช่วยให้คุณทำอะไรได้หลากหลาย ตั้งแต่การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับของคู่แข่งไปจนถึงการค้นหาลิงก์ที่อาจส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ของคุณ

ในบทนี้ เราจะพาคุณไปดูวิธีใช้ฟีเจอร์นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

Chapter – Backlink analysis

Backlink Profile: เริ่มต้นง่ายๆ

เพียงกรอก URL ของหน้าเว็บหรือโฮมเพจที่คุณต้องการใน Site Explorer

Ahrefs – Backlinko overview

แล้วคุณจะได้แดชบอร์ดที่เต็มไปด้วยข้อมูลลิงก์ย้อนกลับ ตัวชี้วัด และทราฟฟิกแบบออร์แกนิก

Ahrefs – Backlinko overview

หากต้องการลงลึกในโปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์นั้น ให้กดที่เมนู Backlinks ด้านข้าง

Ahrefs – Backlinks sidebar button

และคุณจะได้รับรายการทั้งหมด

Ahrefs – Site explorer – Backlinks

หากเว็บไซต์มีลิงก์ย้อนกลับจำนวนมาก ให้เลือกกรองเฉพาะลิงก์ Dofollow

Ahrefs – Site explorer – Dofollow filter

เพื่อคัดลิงก์ที่มีคุณค่ามากที่สุด (ลิงก์ที่ช่วยในการจัดอันดับ) เช่น เว็บไซต์ของฉันมีลิงก์ย้อนกลับ 412,401 ลิงก์

Backlinko – Ahrefs – Number of backlinks

แต่เมื่อกรองเฉพาะ Dofollow เหลือเพียง 299,576 ลิงก์

Backlinko – Ahrefs – Dofollow backlinks

เพื่อให้ง่ายขึ้นอีก

ลองใช้ฟิลเตอร์ One link per domain หรือ Group similar links

ซึ่งช่วยลดความซ้ำซ้อนและแสดงข้อมูลภาพรวมว่าใครลิงก์มาหาคุณ และเหตุผลที่ลิงก์มา

ดังนั้น:

เมื่อคุณมีรายการลิงก์ Dofollow ที่ครบถ้วนแล้ว คุณจะทำอะไรกับข้อมูลนี้ได้บ้าง?

คุณสามารถทำอะไรได้บ้างจากรายงาน

รายงานลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks Report) ของ Ahrefs เป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าอย่างมาก ต่อไปนี้คือสองวิธีหลักที่คุณสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้

1. ค้นหาเพจที่ลิงก์ไปยังคู่แข่งของคุณ… และอาจลิงก์มาหาคุณด้วย

ลองดูตัวอย่าง เมื่อฉันวิเคราะห์ลิงก์ที่ชี้ไปยัง Ahrefs.com ฉันพบหน้าเพจหนึ่งที่น่าสนใจ:

Smashing Magazine – Technical SEO article

เมื่อเข้าไปดูเนื้อหาในหน้านั้น เราพบว่ามันลิงก์ไปยังเว็บไซต์มากมาย

Smashing Magazine – Article links

(โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่เขียนเกี่ยวกับ SEO ทางเทคนิค)

ดังนั้น หากมีบทความเกี่ยวกับ Technical SEO บนเว็บไซต์ของเรา เราจะติดต่อเจ้าของเพจนั้นเพื่อเสนอเนื้อหาของเราให้พวกเขาลิงก์ถึง

ทำซ้ำขั้นตอนนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ของคู่แข่งจนหมด

2. ใช้โปรไฟล์ลิงก์ของคู่แข่งเพื่อเข้าใจว่า “ทำไม” คนถึงลิงก์ไปที่เว็บไซต์นั้น

ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันดูโปรไฟล์ลิงก์ของ Moz

Ahrefs – Moz backlinks

เราสังเกตเห็นว่าลิงก์จำนวนมาก ชี้ไปยังงานวิจัยที่พวกเขาเผยแพร่บนบล็อกของพวกเขา

Moz backlinks to studies

นี่เป็นบทเรียนสำคัญ:

การสร้างข้อมูลต้นฉบับและการวิจัยที่ลึกซึ้ง เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการดึงดูดลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ

เมื่อคุณเข้าใจภาพรวมของโปรไฟล์ลิงก์แล้ว ก็ถึงเวลาใช้ฟีเจอร์อื่น ๆ ของ Ahrefs เพื่อเจาะลึกลงไปในข้อมูล

Link Intersect

ฟีเจอร์นี้หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จัก

แต่มันมีประโยชน์มาก

วิธีการใช้ Link Intersect

ไปที่เมนูนำทางด้านบน แล้วเลือก “More” → “Link Intersect”

Ahrefs – Link intersect – Menu

ใส่ชื่อเว็บไซต์คู่แข่งสองหรือมากกว่าลงในฟิลด์

Ahrefs – Link intersect – Input sites

Ahrefs จะสร้างรายการเว็บไซต์ที่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์คู่แข่งทั้งหมดที่คุณใส่

Ahrefs – Link intersect – Results

ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้คืออะไร?

หากเว็บไซต์ลิงก์ไปยังคู่แข่งของคุณคนเดียว อาจเป็นเพราะพวกเขามีความสัมพันธ์พิเศษกับเว็บไซต์นั้น หรืออาจจะเป็นเรื่องโชค

แต่ถ้าเว็บไซต์ลิงก์ไปยัง 3 เว็บไซต์คู่แข่งของคุณ (แต่ยังไม่ลิงก์ถึงคุณ) นั่นหมายความว่าเว็บไซต์นั้นมีแนวโน้มที่จะลิงก์ไปยังเว็บไซต์ในหมวดหมู่ของคุณ

คุณสามารถใช้วิธีเดียวกับที่คู่แข่งใช้ในการรับลิงก์ และลองติดต่อเพื่อให้เว็บไซต์นั้นลิงก์ถึงคุณ

Best By Links

Best By Links คือฟีเจอร์ที่ช่วยแสดงว่าเพจใดในเว็บไซต์มีจำนวนลิงก์ย้อนกลับมากที่สุด

ตัวอย่างการใช้งาน Best By Links

เมื่อไม่กี่ปีก่อน เราลองใส่เว็บไซต์คู่แข่งลงใน Ahrefs และเปิดรายงาน “Best By Links”

Ahrefs – Best by links – Moz

สิ่งที่พบทำให้เราตกใจมาก

เพราะหน้าที่มีลิงก์มากที่สุดของพวกเขาคือ ไกด์เนื้อหาขนาดใหญ่ (Ultimate Guide)

ตัวอย่างเช่น หน้าหนึ่งของพวกเขาที่เกี่ยวกับ SEO

Moz – Beginners guide to SEO

มีลิงก์มากถึง 114,000 ลิงก์ย้อนกลับ

Moz – Beginners guide to SEO – Backlinks

(มากกว่าลิงก์ที่ทั้งเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะมีเสียอีก!)

จากนั้น เราก็ได้บทเรียนสำคัญ: “เราต้องสร้างไกด์ที่สมบูรณ์แบบบ้าง!”

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เราได้เผยแพร่ไกด์ขนาดใหญ่ของตัวเองในชื่อ “ค้นหาคีย์เวิร์ด Keyword Research สำหรับ SEO – คู่มือฉบับสมบูรณ์

ค้นหาคีย์เวิร์ด

ผลลัพธ์? มันกลายเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่!

ปัจจุบัน ไกด์นี้มีลิงก์ย้อนกลับกว่า 4,450 ลิงก์ จาก 1,470 โดเมน

Keyword research guide – Backlinks and referring domains

ที่น่าสนใจคือ หลายเว็บไซต์ที่เคยลิงก์ไปยังคู่แข่งของเรา ตอนนี้ก็ลิงก์มายังไกด์ของเราด้วย!

Ahrefs – Link intersect – Moz vs Backlinko

วิธีการนี้ได้ผลดีมาก จนเราเริ่มเน้นไปที่คู่มือเชิงลึกมากขึ้น

LINK Building
Mobile SEO
On Page SEO

กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มทราฟฟิกแบบออร์แกนิกให้เว็บไซต์ของเรากว่า 19.92% ภายใน 8 เดือน

Backlinko – Traffic increase

และทุกอย่างเริ่มต้นจากข้อมูลในรายงาน Best By Links ของ Ahrefs

New Backlinks

ฟีเจอร์นี้จะแสดงรายชื่อเว็บไซต์ที่เพิ่งเชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ของคุณ หรือเว็บไซต์ของคู่แข่ง

Ahrefs – New backlinks

ทำไมวิธีนี้ถึงมีประโยชน์ ?

เพราะมันช่วยให้คุณเห็นโอกาสในการสร้างลิงค์ที่กำลังได้ผลในตอนนี้

ตัวอย่างเช่น นี่คือลิงค์เก่าที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ

Backlinko – Old backlink

ลิงค์นั้นผมได้มาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณอาจจะลองขอลิ้งค์จากหน้าเพจนั้นดูบ้าง

แต่เมื่อเวลาผ่านไป โอกาสที่คนคนนั้นจะย้อนกลับไปหน้าเก่าๆ แล้วเพิ่มลิงก์ให้เราก็ลดลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ เทคนิค SEO ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ใช้กันมากเกินไปจนไม่ได้ผลแล้ว

นั่นหมายความว่า วิธีการที่ผมใช้ในการสร้างลิงค์นั้น อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว

ในทางกลับกัน นี่คือลิงค์ใหม่เอี่ยมที่เพิ่งได้มา

Kyliesaunder – Backlinko backlink

คนที่เขียนบทความใหม่นั้น จะมีโอกาสยอมรับลิงค์ของคุณมากกว่าคนที่เขียนบทความเมื่อ 5 ปีก่อน

สรุปง่ายๆ คือ ลิงค์ใหม่ๆ สามารถช่วยคุณหาโอกาสสร้างลิงค์ใหม่ๆ ที่สามารถใช้ได้ทันที นอกจากนี้ ยังช่วยให้คุณเห็นว่าเทคนิคการสร้างลิงค์แบบไหนกำลังได้ผลดีที่สุดในตอนนี้

Lost Backlinks

ลิงค์ย้อนกลับที่หายไป หมายความว่าอะไร ?

ง่ายๆ เลยก็คือ คุณเคยมีเว็บไซต์อื่นๆ หลายแห่งที่เชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ของคุณ (เหมือนเป็นการแนะนำเว็บไซต์คุณให้คนอื่นรู้จัก) แต่ตอนนี้ เว็บไซต์เหล่านั้นกลับลบการเชื่อมโยงนั้นออกไปแล้วครับ

Ahrefs – Lost backlinks

อันนี้มีประโยชน์สำหรับการ เรียกคืนลิงค์ … หรือดึงลิงก์ที่หายไปกลับคืนมา

ตัวอย่าง ผมเคยพลาดลิงค์นี้ ไปเมื่อนานมาแล้ว

Cision growth hack article backlink

ถ้าผมรู้สาเหตุที่คนๆ นั้นลบลิงก์ของผม ผมก็อาจจะสามารถกู้คืนลิงก์นั้นกลับมาได้

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียลิงค์เป็นเรื่องปกติ บางครั้งเว็บไซต์ที่ขูดข้อมูลอาจลบหน้าเว็บ หรือบางคนอาจอัปเดตโพสต์และลบลิงก์ของคุณเพราะไม่เกี่ยวข้องอีกต่อไป ความคิดหลักคืออย่าหมกมุ่นกับลิงก์ที่หายไป แต่ให้ใช้โอกาสนี้เพื่อกู้คืนลิงก์ที่หายไปอย่างถูกต้อง

หมายเหตุ บางครั้ง Ahrefs อาจแสดงว่า “ลิงค์ถูกลบ” แม้ว่าลิงก์นั้นยังคงอยู่ ดังนั้นตรวจสอบหน้าเว็บเพื่อยืนยันว่าลิงก์ของคุณถูกลบจริง

บทที่ 4 : เครื่องมือสำรวจคำค้นหา (Keywords Explorer)

Keyword Explorer คือเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของ Ahrefs

ถึงแม้จะไม่ลึกซึ้งเท่าชุดเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของ Semrush แต่ Keyword Explorer ก็ทำงานได้ดี

Keywords Explorer

Keyword Overview

เมื่อคุณพิมพ์คำหลัก keyword ลงในเครื่องมือ Keywords Explorer คุณจะเห็นการ์ดหลายใบอยู่ด้านบนของหน้าจอ

Ahrefs – Keywords explorer – Features

นี่คือส่วน “ภาพรวม” ที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับคำที่คุณค้นหา

ถ้าคุณเคยใช้เครื่องมือคีย์เวิร์ดมาก่อน คุณน่าจะคุ้นเคยกับข้อมูลเหล่านี้ เช่น ปริมาณการค้นหาและการแข่งขันของคีย์เวิร์ด

Ahrefs – Keyword difficulty and volume

ข้อมูลสรุปนี้ มีประโยชน์มากเวลาเลือกคำหลักสำหรับ SEO หรือตัดสินใจเลือกคำหลักระหว่างสองคำ

แต่สิ่งที่ทำให้ Keywords Explorer มีประโยชน์มากขึ้นคือ คุณสามารถเห็นจำนวนคลิกของคำหลักนั้นได้ด้วย

Ahrefs – Keywords explorer – Clicks

ค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ผู้ใช้คลิก

Ahrefs – Keywords explorer – CPC

จำนวนครั้งที่คลิกต่อการค้นหาหนึ่งครั้ง

Ahrefs – Keywords explorer – Clicks per search

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ ?

หรือพูดอีกอย่างคือ ทำไมเราไม่ดูแค่ ปริมาณการค้นหาของคำค้นหา ?

คำอธิบายคือ

อย่างที่คุณคงสังเกตเห็น Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ในหน้าผลการค้นหา (SERP) ทุกปี

อย่างเช่น Featured Snippets, “คนอื่นๆ ยังถามถึง…” กล่องโฆษณาเพิ่มเติม, video carousels และอื่นๆ อีกมากมาย

เนื่องจากฟีเจอร์ SERP ใหม่เหล่านี้ Google พบว่า “การค้นหาที่ไม่คลิก” เพิ่มขึ้นอย่างมาก

Sparktoro – Data on no-click searches

หมายความว่า คุณไม่สามารถพิจารณาเพียงแค่ปริมาณการค้นหาของคำหลักเท่านั้น คุณยังต้องดูว่ามีกี่คนที่คลิกผลการค้นหาแบบธรรมชาติด้วย เพราะในหลายๆ กรณี จำนวนทั้งสองนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตัวอย่างเช่น คำหลัก “Mount Everest height”

จากเครื่องมือ Keywords Explorer คำนี้มีการค้นหาประมาณ 9,600 ครั้งต่อเดือน

Mount Everest height – Searches

แต่แม้ว่าจะมีคนค้นหาคำค้นหานี้ถึง 9,600 ครั้งต่อเดือน แต่กลับมีเพียง 1,600 ครั้งเท่านั้นที่คลิกเข้ามา

Mount Everest height – Clicks

นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หลายคนจึงหันมาให้ความสำคัญกับ “จำนวนคลิก” มากกว่า “ปริมาณการค้นหา” แบบเดิม

Keyword Ideas

นี่คือ รายชื่อไอเดียคำหลักที่เกี่ยวข้องกับคำหลักหลักที่คุณค้นหา

Ahrefs – Keywords explorer – Keyword ideas

ตามความคิดของเรา Keyword Explorer ไม่ค่อยเก่งในการสร้างไอเดียคำหลักใหม่ๆ มันมักจะให้คำหลักที่เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากคำหลักหลักที่เราใส่เข้าไป

Ahrefs – Keywords explorer – Similar keywords

จริงๆ แล้ว นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ผมชอบใช้ Semrush ฟีเจอร์ Keyword Magic Tool ของมันเก่งมากในการคิดหาไอเดียคำหลักและหัวข้อต่างๆ

แต่ถ้าคุณอยากหาคำหลักแบบ Long-tail (คำหลักยาว) ฟีเจอร์นี้ ก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน

นอกจากนี้ คุณยังสามารถคลิกที่ลิงก์ All keyword ideas ในแถบข้างได้ด้วย

Ahrefs – All keyword ideas menu

ซึ่งบางครั้ง ก็ดึงเอาคำสำคัญที่น่าสนใจออกมาได้หลายคำ

How to get backlinks – Keyword

SERP Overview

ที่ด้านล่างของหน้า คุณจะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับหน้าเว็บที่ติดอันดับใน SERP สำหรับคำค้นหาที่คุณกำลังดู

อันดับแรก คุณจะเห็น ประวัติ SERP

Ahrefs – Keywords explorer – SERP history

นี่คือ การแบ่งประเภทของการเปลี่ยนแปลงอันดับตั้งแต่ Ahrefs เริ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหานั้น (ซึ่งเริ่มต้นในปี 2016 สำหรับคำค้นหาส่วนใหญ่)

ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้เห็นภาพรวมว่าหน้าเว็บต่างๆ เข้ามาและออกไปจากหน้าแรกอย่างไร

นอกจากนี้ คุณยังสามารถเห็นได้ว่าผลการค้นหาเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใดเมื่อเวลาผ่านไป

ดังที่คุณเห็นด้านบน คำค้นหา “link building” ค่อนข้างคงที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (และมันก็คงที่มากในปีที่ผ่านมา)

แต่ถ้าคุณดูคำค้นหาอย่าง “creatine” ผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไปทั่วทุกที่

Ahrefs – SERP history – Creatine

ทำไมข้อมูลนี้ถึงมีประโยชน์? ถ้าคุณเห็นผลการค้นหา SERP ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยในรอบ 12 เดือน โอกาสที่คุณจะเข้าไปแทรกตัวและเปลี่ยนแปลงอันดับค่อนข้างต่ำ (ยกเว้นว่าเว็บไซต์ของคุณมีอำนาจสูงมาก)

ในทางกลับกัน ถ้าคุณเจอผลการค้นหาที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นั่นหมายความว่า Google ยังไม่เจอ 10 ผลลัพธ์ที่พวกเขาพอใจ ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสที่จะติดอันดับ 10 ได้

นอกจากประวัติของผลการค้นหาแล้ว Ahrefs ยังแบ่งผลการค้นหา 10 อันดับแรกตามคะแนนโดเมน คะแนน URL จำนวน Backlink และอื่นๆ

Ahrefs – Keywords explorer – SERP overview

นี่คือการแบ่งส่วนประกอบทั่วไปของผลการค้นหา (SERP) ที่เราใช้กันในการทำ SEO สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษในตารางนี้คือ คอลัมน์ คีย์เวิร์ดหลัก

SERP overview – Top keyword

ตรงนี้จะแสดงให้คุณเห็นว่า คำค้นหาใดที่นำทราฟฟิกเข้ามายังหน้าเว็บนั้นมากที่สุด ในหลายๆ ครั้ง มันจะเป็นคำค้นหาที่คุณกำลังวิเคราะห์อยู่ แต่ในหลายกรณี คุณอาจค้นพบคำค้นหาที่คุณไม่เคยคิดจะค้นหามาก่อน

ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันค้นหา “SEO tips” ผลการค้นหา 10 อันดับแรก ล้วนมี “SEO tips” เป็นคำค้นหาหลัก

SEO tips – Top keyword overview

ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่

แต่เมื่อเราค้นหาว่า “วิธีทำ SEO” เราจะได้รายชื่อคำค้นหาหลักๆ ที่ฉันอาจจะไม่เคยเจอมาก่อน

How to do SEO – Keyword overview

Keyword Research For Other Search Engines

เครื่องมือค้นหาคำหลักของ Ahrefs รองรับเครื่องมือค้นหาหลายตัว

เช่นเดียวกับเครื่องมือวิเคราะห์คำหลักอื่นๆ คุณสามารถค้นหาข้อมูลคำหลักสำหรับหลายประเทศ (เช่น เยอรมนี และสหราชอาณาจักร)

Ahrefs – Keywords explorer – Country option

แต่จริงๆ แล้ว คุณสามารถใช้ Keywords Explorer เพื่อค้นหาคำหลักในเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ได้ด้วย เช่น

  • YouTube
  • Amazon
  • Bing
  • Yahoo
  • Yandex
  • Baidu

ดังนั้น หากคุณทำ SEO สำหรับเครื่องมือค้นหาเหล่านี้ คุณก็สามารถใช้ Keywords Explorer ได้เช่นกัน

Keywords Explorer Mini-Case Study

ผมจะยกตัวอย่างการใช้ Ahrefs Keywords Explorer ในชีวิตจริงให้ดู

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมลังเลใจว่าจะเลือกใช้คำหลัก “SEO Audit” หรือไม่

เพื่อช่วยตัดสินใจ ผมจึงนำคำหลักนั้นไปใส่ใน Ahrefs

Ahrefs – Keywords explorer – SEO audit

แค่หน้าเว็บเดียวนี้ ก็ให้ข้อมูลที่ผมต้องการครบถ้วนเลยครับ เพื่อตัดสินใจได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้ดูข้อมูลปริมาณการค้นหาของคำสำคัญ

SEO audit – Search volume

และในอุตสาหกรรมของผม (B2B) การค้นหา 4,800 ครั้งต่อเดือน ถือว่าเยอะพอสมควร ดังนั้นจึงเป็นสัญญาณที่ดี

ต่อไป ผมเห็นว่าความยากของคำค้นหานั้นอยู่ที่ระดับ 61 และผมจะต้องได้รับลิงก์ย้อนกลับจาก 134 เว็บไซต์ เพื่อติดอันดับ 10 สูงสุด

SEO audit – Keyword difficulty

ดังนั้น คีย์เวิร์ด นี้จึงมีความแข่งขัน แต่ก็ไม่ได้สูงเกินไป ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี

จากนั้น ผมก็ไปดูที่จำนวน คลิก และ คลิกต่อการค้นหา

SEO audit – Clicks and clicks per search

และตัวเลขทั้งสองนี้บอกผมว่า 91% ของคนที่ค้นหาคำนั้นสุดท้ายแล้วจะคลิกที่ผลการค้นหาแบบธรรมชาติ

SEO audit – Organic clicks

อีกหนึ่งสัญญาณที่ดีเลยครับ

จากนั้น ผมเห็นว่าค่าเฉลี่ยต่อคลิกสำหรับคำค้นหา “SEO audit” อยู่ที่ 19 ดอลลาร์

SEO audit – Cost per click

จากข้อมูลนี้ ผมพบว่าคำค้นหานี้มีความตั้งใจในการซื้อสูงมาก นั่นหมายความว่าคนที่ค้นหาคำนี้มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจเขียนบทความนี้โดยเน้นการทำ SEO รอบคำว่า SEO Audit

Backlinko – SEO site audit post

บทที่ 5 : คีย์เวิร์ดธรรมชาติ และปริมาณการเข้าชมจากการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Keywords and
Organic Search Traffic)

ฟีเจอร์นี้ของ Ahrefs จะค้นหาผลการค้นหาของ Google เป็นล้านๆ รายการ เพื่อดูว่าใครกำลังติดอันดับสำหรับคำค้นหาใดบ้าง

เมื่อคุณป้อนโดเมนหรือ URL ใดๆ ลงใน Ahrefs คุณจะเห็นรายการคำค้นหาที่เว็บไซต์นั้นติดอันดับ (และอันดับที่ติด)

ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณประเมินว่าเว็บไซต์ของคุณเทียบกับคู่แข่งได้อย่างไร

นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้มันเพื่อติดตามผลการทำงานของเว็บไซต์ของคุณเอง (ข้อมูลอัปเดตบ่อยมาก ฉันจึงใช้มันแทนการติดตามอันดับแบบเดิมๆ)

มาดูรายละเอียดของฟีเจอร์ที่มีประโยชน์นี้กัน

Chapter – Organic keywords and organic search traffic

Organic Keywords and Organic Traffic

ฟีเจอร์ Organic Keywords และ Organic Search Traffic ของ Ahrefs จะแสดงให้เห็นถึงทุกคำที่เว็บไซต์หนึ่งๆ ติดอันดับในผลการค้นหา… รวมถึงปริมาณการเข้าชมจากเครื่องมือค้นหาที่เว็บไซต์นั้นได้รับในขณะนี้

Ahrefs – Organic keywords and traffic

คุณยังสามารถดูการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัดเหล่านี้ตามเวลาผ่านไปได้จากกราฟนี้

Organic keywords and traffic charts

พูดตรงๆ เลยว่า คุณไม่สามารถทำอะไรได้มากนักกับข้อมูลนี้ มันเป็นแค่การเปรียบเทียบเว็บไซต์ของคุณกับเว็บไซต์อื่นๆ

ประโยชน์จริงๆ อยู่ที่รายการคำหลักทั้งหมดที่คู่แข่งของคุณติดอันดับ

Ahrefs – Organic keywords report

คุณยังได้รับประมาณการว่าแต่ละคำค้นหานั้น นำมาซึ่งปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากน้อยแค่ไหนด้วย

Ahrefs – Organic keywords traffic

ดังนั้น หากเว็บไซต์ของคุณมี Domain Authority (DA) คล้ายกัน คุณก็มีโอกาสที่จะติดอันดับค้นหา สำหรับคำหลักเหล่านั้นเช่นกัน

ในหลายๆ ด้าน นี่เป็นการย่นระยะเวลาในการวิจัยคำหลักทั้งหมด แทนที่จะพิมพ์คำหลักแบบสุ่มๆ ลงในเครื่องมือ คุณจะได้รับโปรไฟล์คำหลักทั้งหมดของเว็บไซต์นั้น

Traffic Value

ฟีเจอร์ที่ถูกมองข้ามนี้ จะแสดงค่าประมาณของปริมาณการเข้าชมทั้งหมดที่เว็บไซต์ได้รับจากการค้นหา

Ahrefs – Traffic value

ยิ่งตัวเลขนี้สูง ยิ่งบอกว่าคุณภาพของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณสูงตามไปด้วย

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?

มันต่างกันมากระหว่างการมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ 1 ล้านคนต่อเดือนจาก Google กับการมีผู้เข้าชม 1 หมื่นคนต่อเดือน แต่เป็นผู้เข้าชมที่มีความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการสูง ถ้าผู้เข้าชมส่วนใหญ่มาจากคำค้นหาที่ไม่ค่อยมีมูลค่าทางการค้า (เช่น สภาพอากาศวันนี้) มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่

ในทางกลับกัน ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีผู้เข้าชมเพียง 10,000 คนต่อเดือน แต่เป็นผู้เข้าชมที่มีความต้องการซื้อสูง (เช่น ซื้อโทรศัพท์มือถือที่ดีที่สุด) ตัวเลข Traffic Value จะสูงขึ้น

จริงๆ แล้ว ผมมักจะให้ความสำคัญกับตัวเลข Traffic Value มากกว่าตัวเลขอื่นๆ เพราะถ้าตัวเลขนี้สูงขึ้น แสดงว่าคุณภาพของผู้เข้าชมจากการค้นหาของคุณดีขึ้น

Example of How I Used This Feature to Find an Awesome Keyword

อย่างที่คุณอาจทราบ เว็บไซต์ของผมอยู่ในวงการ SEO และการตลาดดิจิทัล

และเนื่องจากเว็บไซต์ของผมเปิดมากว่า 6 ปีแล้ว ผมจึงได้ครอบคลุมคำหลักหลักๆ ในวงการของผมไปแล้ว เช่น “การสร้างลิงก์” และ “การทำ SEO ภายในหน้าเว็บ page SEO

Link building and on page SEO guides

ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม ผมถึงคอยตามหาคำหลักทางการตลาดที่ไม่ชัดเจนมากนัก

ด้วยฟีเจอร์คีย์เวิร์ดจากการค้นหาตามธรรมชาติ (Organic keywords) ใน Ahrefs ทำให้ผมเจอคำหลักดีๆ มาหนึ่งคำ

แรกเริ่ม ผมนำเว็บไซต์ของคู่แข่งไปวิเคราะห์ใน Ahrefs

Ahrefs – Coschedule overview

และเมื่อผมไปดูคำค้นหาที่ได้รับความนิยมสูงสุดของพวกเขา ผมก็เจอคำหนึ่งที่มีคนค้นหาเยอะมาก และมีราคาต่อคลิกสูงด้วย

Coschedule – How to write a press release keyword

ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจเขียนบทความบล็อก โดยเน้นไปที่คำค้นหาว่า “วิธีเขียนข่าวประชาสัมพันธ์”

Backlinko – Write a press release

แม้ว่าข่าวประชาสัมพันธ์จะเกี่ยวข้องกับ SEO แต่ก็เป็นหนึ่งในคำหลักที่ผมไม่เคยคิดถึงเลย ถ้าไม่ได้วิเคราะห์คำหลักของเว็บไซต์อื่น

บทที่ 6 : เครื่องมือสำรวจเนื้อหา (Content Explorer)

Ahrefs Content Explorer ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงเนื้อหาที่ได้รับการแชร์บนโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นลิงค์ย้อนกลับ

(พูดง่ายๆ ก็คือ เวอร์ชันย่อของ BuzzSumo)

และในบทนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการทำงานของฟีเจอร์นี้

Chapter – Content explorer

ค้นหาเนื้อหาที่ถูกแชร์มากที่สุด

นี่คือเหตุผลหลักที่ผู้คนใช้ Content Explorer

สิ่งที่คุณต้องทำคือ ใส่คำค้นหาหรือหัวข้อที่คุณสนใจลงใน Content Explorer…

ahrefs-content-explorer-paleo-diet

แล้วคุณจะได้รับรายการบทความที่มีการแชร์จำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย

ahrefs-content-explorer-paleo-diet-results

หากเครือข่ายโซเชียลมีเดียใดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณ คุณสามารถจัดเรียงตามจำนวนการแชร์ในเว็บไซต์นั้นได้

ahrefs-content-explorer-sort-by-social-shares

มิฉะนั้น คุณเพียงแค่ดูผ่านรายการเพื่อให้ได้ไอเดียทั่วไปว่าอะไรที่ได้ผลดี หรือเพื่อค้นหาเนื้อหาเฉพาะสำหรับใช้กับ The Skyscraper Technique

จัดเรียงตามมูลค่าทราฟฟิก

อย่างที่ผมกล่าวไว้ในบทที่ 5 ผมเป็นแฟนตัวยงของการใช้มูลค่าทราฟฟิก (Traffic Value) เป็นตัวชี้วัดว่าประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์เป็นอย่างไร

และสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับ Content Explorer คือคุณสามารถจัดเรียงผลลัพธ์ตามมูลค่าทราฟฟิกได้ วิธีนี้ คุณจะไม่ได้เห็นแค่เนื้อหาที่มีการแชร์มากมายเท่านั้น แต่ยังเห็นเนื้อหาที่ปัจจุบันยังคงนำทราฟฟิกที่มีคุณค่ามาได้อีกด้วย

ahrefs-content-explorer-sort-by-traffic-value

ค้นหาโพสต์ที่ถูกเผยแพร่ซ้ำ

มีเมนูแบบเลื่อนลงเล็กๆ ซ่อนอยู่ที่มุมซ้ายบนของหน้าจอ ซึ่งช่วยให้คุณค้นหาเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ซ้ำได้

ahrefs-content-explorer-republished-menu

(พูดอีกแบบคือ: เนื้อหาที่มีการอัปเดตบน URL เดิม)

สิ่งนี้ช่วยให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้นว่าทำไมเนื้อหาบางชิ้นถึงประสบความสำเร็จอย่างมาก

ตัวอย่างเช่น เมื่อผมค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ “เคล็ดลับ SEO” ผมสังเกตเห็นว่าผลลัพธ์นี้ได้รับการแชร์อย่างล้นหลาม:

ahrefs-content-explorer-seo-tips

และเมื่อผมใช้ฟีเจอร์ “เผยแพร่ซ้ำ” โพสต์นั้นก็ยังคงเป็นผลลัพธ์อันดับ 1 ใน Content Explorer

ahrefs-content-explorer-seo-tips-republished

บอกผมว่าเพจนี้ได้รับการอัปเดตและเผยแพร่ใหม่อย่างสม่ำเสมอเมื่อเวลาผ่านไป

บทที่ : 7 ฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ใน Ahrefs

ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะพูดถึงฟีเจอร์เด็ดๆ ของ Ahrefs ที่ไม่เข้ากับหมวดหมู่ที่เรากล่าวถึงมาก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึง:

  • การตรวจสอบเว็บไซต์เชิง SEO (SEO site audits)
  • การค้นหาคู่แข่ง
  • ฟีเจอร์สำหรับ PPC
  • การเปรียบเทียบโดเมนโดยตรง
  • และอื่นๆ

ไปดูกันเลย!

chapter-helpful-ahrefs-features

โดเมนคู่แข่ง (Competing Domains)

รายงานนี้จะแสดงรายการโดเมนที่พยายามจัดอันดับสำหรับคำค้นหาเดียวกันกับคุณ

ตัวอย่างเช่น รายงานนี้ช่วยให้ผมทราบว่าเว็บไซต์ใดบ้างที่กำลังแข่งขันกับผมในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกของ Google:

ahrefs-competing-domains-report

ดังนั้นผมเลยจดไว้ว่า “เกลียด” เว็บไซต์เหล่านั้น 🙂

แต่พูดจริงๆ นะ ฟีเจอร์นี้ไม่ได้มีประโยชน์มากนักสำหรับเว็บไซต์ของคุณเอง เพราะคุณคงรู้จักคู่แข่ง SEO ของคุณดีอยู่แล้ว

Competing Domains จะเป็นประโยชน์มากกว่าในกรณีที่คุณเพิ่งเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ หรือรับลูกค้าใหม่เข้ามาดูแล

นั่นเป็นเพราะรายงานนี้ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของการแข่งขัน SEO สำหรับเว็บไซต์นั้น

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถดูได้ว่าคู่แข่งของคุณเป็นเพียงบล็อกเล็กๆ หรือเป็นบริษัทระดับ Fortune 500

นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้รายงาน “Best By Links” เพื่อดูข้อมูลของบางเว็บไซต์คู่แข่งได้อีกด้วย

ahrefs-best-by-links-backlinko

ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถเรียนรู้ว่าเนื้อหาแบบใดที่ทำงานได้ดีที่สุดในพื้นที่นี้

ช่องว่างเนื้อหา (Content Gap)

Content Gap จะแสดงคำค้นหาที่คู่แข่งของคุณจัดอันดับได้… แต่คุณยังไม่ได้จัดอันดับ

จากประสบการณ์ของผม ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์มากกว่าการวิเคราะห์เว็บไซต์เพียงเว็บไซต์เดียว เพราะหากคุณพบว่ามีเว็บไซต์คู่แข่ง สองแห่ง ที่จัดอันดับคำค้นหาเดียวกันได้ นั่นหมายความว่าคุณมีโอกาสสูงที่จะจัดอันดับคำค้นหานั้นได้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น ผมใส่เว็บไซต์ของคู่แข่งสองรายลงในฟีเจอร์นี้:

ahrefs-content-gap-input-competitors

และฉันยังต้องแน่ใจว่าได้ใส่เว็บไซต์ของฉันในช่อง “แต่เป้าหมายต่อไปนี้ไม่อยู่ในอันดับ

ahrefs-content-gap-input-own-site

และ บูมมม !

ahrefs-content-gap-report

การตรวจสอบไซต์ (Site Audit)

นี่คือเครื่องมือที่คล้ายกับ Screaming Frog แต่ปรับให้ง่ายขึ้น

วิธีใช้งานคือ ใส่หน้าโฮมเพจของเว็บไซต์คุณลงไป:

ahrefs-site-audit-input-website

แล้วปล่อยให้เครื่องมือ Site Auditor ทำงานของมัน

(ระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับจำนวนหน้าบนเว็บไซต์ของคุณ อาจใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง)

เมื่อเสร็จแล้ว คุณจะได้รับรายงานด้านเทคนิคที่ละเอียดเกี่ยวกับทุกหน้าของเว็บไซต์คุณ:

ahrefs-site-audit-report

รวมถึงหน้าที่ถูกรีไดเรกต์ (redirected), ถูกบล็อกโดย Robots.txt, หรือมีแท็ก noindex ใช้งานอยู่ด้วยครับ

ahrefs-site-audit-internal-pages-repor

การค้นหาแบบชำระเงิน (Paid Search)

แม้ว่า Ahrefs จะออกแบบมาเพื่อ SEO เป็นหลัก แต่ก็มีฟีเจอร์บางอย่างที่ช่วยสนับสนุนแคมเปญ PPC (โฆษณาแบบจ่ายเงิน)

วิธีใช้คือ ใส่เว็บไซต์คู่แข่งลงใน Ahrefs และคลิกที่ “Paid Search”:

ahrefs-paid-search-moz

และคุณสามารถดูได้ว่าโฆษณาใดสร้างการเข้าชมไซต์นั้นได้มากที่สุด

ahrefs-paid-search-moz-ads

(นี่เป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเขียนโฆษณาของคุณเอง)

คำค้นหาที่ส่งทราฟฟิกแบบชำระเงินมากที่สุดให้กับพวกเขา:

ahrefs-moz-paid-keywords-report

และหน้า Landing Page ที่ผู้เยี่ยมชมที่จ่ายเงินส่วนใหญ่ไปพบ:

การแจ้งเตือน (Alerts)

การแจ้งเตือนเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ หากคุณต้องการติดตามลิงก์และอันดับของเว็บไซต์อย่างใกล้ชิด

เพราะคุณสามารถตั้งค่าให้ Ahrefs ส่งอีเมลถึงคุณทุกครั้งที่คุณหรือเว็บไซต์คู่แข่งได้รับแบ็กลิงก์ใหม่… หรือเริ่มจัดอันดับสำหรับคำค้นหาใหม่ๆ

ahrefs-alerts

การเปรียบเทียบโดเมน (Domain Comparison)

นี่คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณเปรียบเทียบเว็บไซต์ 2-5 แห่งแบบตัวต่อตัวได้โดยตรงครับ!

ahrefs-domain-comparison

ทำไมฟีเจอร์นี้ถึงมีประโยชน์?

เพื่อดูว่าเว็บไซต์ของคุณเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างไร

ตัวอย่างเช่น เมื่อผมใส่เว็บไซต์คู่แข่งหลักบางแห่งลงในเครื่องมือ Domain Comparison ผมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผมยังตามหลังอยู่ในส่วนของ “referring domains” (จำนวนโดเมนที่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของผม):

ahrefs-domain-comparison-report

ดังนั้น แทนที่จะสร้างเนื้อหาเพิ่ม ผมอาจต้องการใช้เวลาไปกับการสร้างลิงก์ให้มากขึ้น

ถ้าผมมองจำนวนลิงก์ของเว็บไซต์ตัวเองแบบแยกออกจากบริบท ผมคงคิดว่า “มีโดเมนที่อ้างอิงถึง 21,000 โดเมน นี่ถือว่าเยอะแล้ว!”

แต่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอย่างบ้าคลั่ง เช่น SEO และการตลาดดิจิทัล จำนวนโดเมนที่อ้างอิง 21,000 โดเมนถือว่าดี… แต่ยังไม่พอที่จะครองอันดับในผลการค้นหาได้ครับ!

บทที่ 8 : บทโบนัส เคล็ดลับการใช้ Ahrefs ขั้นสูงและฟีเจอร์ที่ยังไม่ได้ใช้งาน

นี่คือสิ่งเจ๋งๆ หลายอย่างที่คุณสามารถทำได้ด้วย Ahrefs ซึ่งผมได้เรียนรู้มาตลอดหลายปี

ดังนั้น หากคุณต้องการดึงมูลค่าสูงสุดจากการสมัครใช้งาน Ahrefs บทนี้เหมาะสำหรับคุณ!

chapter-advanced-ahrefs-tips-and-untapped-features

ค้นหาลิงก์เสียได้ง่ายๆ

Ahrefs ช่วยลดงานหนักในการสร้างลิงก์เสีย (Broken Link Building) ได้มาก เพราะ Ahrefs จะแสดงลิงก์เสียทั้งหมดของเว็บไซต์ให้คุณเห็น

ahrefs-broken-links-report

(ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเรียกใช้ Check My Links เป็นล้านครั้ง)

วิเคราะห์ข้อความแอนเคอร์ (Anchor Text)

ข้อความแอนเคอร์ที่มีคำหลัก (Keyword-rich anchor text) สามารถช่วยปรับปรุงอันดับใน Google ของคุณได้… แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม หากข้อความแอนเคอร์ของคุณถูกปรับให้เหมาะสมมากเกินไป คุณอาจเสี่ยงต่อการถูกลงโทษโดย Google

ahrefs-anchors-report

ดังนั้น ลองตรวจสอบรายงาน “Anchors” เพื่อให้แน่ใจว่าข้อความแอนเคอร์ส่วนใหญ่ของคุณเป็นแบบทั่วไป (generic) และมีแบรนด์ (branded anchors):

Best By Links Growth

ฟีเจอร์นี้จะแสดงหน้าเว็บที่กำลังได้รับลิงก์ในขณะนี้ (โดยเฉพาะภายในช่วงวัน สัปดาห์ หรือเดือนที่ผ่านมา)

ahrefs-best-by-links-growth-backlinko

การวิเคราะห์แบบชุด (Batch Analysis)

หากคุณกำลังทำ SEO ในระดับที่มีขนาดใหญ่ ฟีเจอร์ Batch Analysis เหมาะสำหรับคุณ เพราะแทนที่จะวิเคราะห์ URL ทีละรายการ คุณสามารถวิเคราะห์ได้มากถึง 200 URL พร้อมกันในครั้งเดียว:

ahrefs-quick-batch-analysis

ค้นหาโอกาสในการเขียนบทความรับเชิญ (Guest Post Opportunities)

คุณรู้หรือไม่ว่าคุณสามารถใช้ Ahrefs เพื่อค้นหาเว็บไซต์ในกลุ่มของคุณที่ยอมรับบทความรับเชิญได้? ใช่แล้ว คุณทำได้! วิดีโอนี้จะแนะนำขั้นตอนให้คุณทราบครับ:

เนื้อหายอดนิยม (Top Content)

นี่คือฟีเจอร์ที่คล้ายกับ “Best By Links” แต่สำหรับการแชร์บนโซเชียลมีเดีย พูดง่ายๆ คือ คุณสามารถดูได้ว่าหน้าเว็บใดถูกแชร์บ่อยที่สุดบนโซเชียลมีเดีย:

ahrefs-top-content-report

บทสรุป

วังว่าคุณจะเพลิดเพลินกับคู่มือใหม่เกี่ยวกับ Ahrefs ของพวกเรา SEOGURU นะครับ

ตอนนี้ผมอยากได้ยินจากคุณบ้าง:

คุณใช้ Ahrefs อยู่แล้วหรือเปล่า? หรือคุณเป็นสาย Semrush มากกว่า?

บอกให้ผมรู้ได้เลย โดยแสดงความคิดเห็นด้านล่างตอนนี้ครับ!

ahrefs-guide-conclusion